ตี้หยูเอ๋อร์กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก ตอนที่ตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนก่อความวุ่นวายในสวรรค์ นางไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จึงไม่รู้ความหนักเบาของเรื่องราว
ยิ่งมิได้เห็นตี้เสียทรงรับบาดเจ็บกับตา
สำหรับนางแล้ว ฟู่หวังทรงแข็งแกร่งที่สุด พระองค์แค่บาดเจ็บเล็กน้อย อีกไม่กี่วันก็สมควรหายดี
ดังนั้นตี้หยูเอ๋อร์จึงมองแต่ว่าเรื่องนี้เป็นโอกาสอันดี
พี่ชายเทพสงครามดีต่อนางเสมอมา แสดงว่าในใจของเขาก็คงจะชอบนางอยู่บ้างเช่นกันใช่ไหม?
เพียงแต่ว่าเขาคือเทพสงคราม มีบางครั้งบางคำพูดไม่สะดวกเอ่ยออกมา แต่ไม่เป็นไร รอให้ฟู่หวังตื่นขึ้นมา ค่อยทูลขอให้ทรงพระราชทานงานมงคล เขาจะได้ไม่ต้องลำบากใจไป
พอตี้หยูเอ๋อร์พูดออกมาเช่นนี้ ฮว๋ายยู่ก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรอีก
นางรู้ดีว่าซือเป่ยไม่คิดจะปล่อยคนกลับไป เด็กน้อยอย่างหยูเอ๋อร์ไม่มีความคิดซับซ้อน เกรงว่าคงถูกซือเป่ยตะล่อมไว้แต่แรกแล้ว
“ในเมื่อเจ้าจะรั้งอยู่ เช่นนั้นทุกๆวันก็ต้องมาอยู่ข้างกายข้า ไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว เช่นนี้ข้าจะได้สบายใจ”
ฮว๋ายยู่เอ่ยเช่นนี้ ใบหน้าของตี้หยูเอ๋อร์ก็ถึงกับแข็งค้างไป….
ไม่ให้ห่างแม้แต่ก้าวเดียว เช่นนี้แล้วนางกับพี่ชายเทพสงครามจะสานสัมพันธ์กันได้อย่างไร?
ซือเป่ยหยีตาลงน้อยๆ “องค์หญิงสมควรหาเวลาเสด็จไปดูพระอาการเทียนตี้บ้างนะพะยะค่ะ”
คำพูดของซือเป่ย ทำเอาหัวใจของตี้หยูเอ๋อร์พองฟู เห็นหรือไม่ พี่ชายเทพสงครามเองก็คิดถึงนางเช่นกัน ดูท่าเขาเองก็คงต้องการจะหาโอกาสใกล้ชิดกับนางอยู่เหมือนกัน ถึงได้ช่วยนางหาข้ออ้าง
นางมองไปที่ซือเป่ย หัวใจก็ยิ่งเบิกบานกว่าเดิม
ในหกภพภูมินี้ มีบุรุษมาเข้าแถวรอคอยจะประจบเอาใจนางอยู่มากมาย แต่ว่านางกลับไม่เคยเหลียวแลพวกเขา
มีเพียงพี่ชายเทพสงคราผู้เดียวที่เข้าตา
“นั่นแน่นอน ข้าย่อมต้องไปดูแลฟู่หวังอยู่แล้ว ยาที่ท่านอาจารย์เทียนจุนให้มา มีแต่หยูเอ๋อร์เท่านั้นที่สามารถปรุงออกมาได้ ยานี้ต้องไปปรุงที่ข้างกายฟู่หวัง จึงจะได้ผลที่สุด”
เพื่อจะได้มีโอกาสอยู่ลำพังกับซือเป่ยมากขึ้น ตี้หยูเอ๋อร์ยินดีเหนื่อยยาก
ฮว๋ายยู่หลอมเหล็กกล้าไม่สำเร็จ[1] ต้องโกรธจนลมหายใจติดขัด นางที่เฉลียวฉลาดมีไหวพริบ ทำไมถึงได้มีลูกสาวที่ตาบอดเช่นนี้
ดูไม่ออกหรือว่าจิตใจของซือเป่ยนั้นต่ำช้าถึงเพียงไหน?
“ยามที่องค์หญิงทรงปรุงยา ข้าแม่ทัพจะคอยคุ้มครองอยู่ด้านข้างด้วยตนเอง จะไม่ปล่อยให้เกิดเหตุใดขึ้นกับองค์หญิงอย่างเด็ดขาด”
คำพูดของซือเป่ยทำเอาใบหน้าของหยูเอ๋อร์ถึงกับแดงก่ำ พี่ชายเทพสงครามห่วงใยนางจริงๆด้วย
อีกไม่นาน พวกนางก็คงจะได้แต่งงานกัน
พอแต่งงานแล้ว จะต้องมีลูกสักหลายๆคน ไม่แน่ว่า ลูกของนาง อาจจะมีอายุห่างจากน้องชายในท้องของหมู่โฮว่เพียงหนึ่งหรือสองปีเท่านั้นก็เป็นได้
พอคิดถึงตรงนี้ หัวใจของตี้หยูเอ๋อร์ก็หวานล้ำไปหมด
ฮว๋ายยู่เองก็รู้ทันความคิดของซือเป่ย เห็นชัดๆว่าเขาต้องการวางเบ็ดล่อเหยื่อ
นางแม้จะขมวดคิ้ว แต่ก็คร้านที่จะพูดให้มากความ
นางเชื่อมั่นในองค์ตี้เสีย
พระองค์เป็นถึงเทพยุคบรรพกาล ครั้งนี้แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่มีทางถึงชีวิต นางจะเฝ้ารอ ไม่ช้าไม่นานตี้เสียจะต้องทรงตื่นขึ้นมา
ผู้ที่นางคิดถึงอยู่ตลอดเวลา มีแต่เพียงตี้เสียเท่านั้น
ซือเป่ยมองดูนาง ประกายในแววตาก็ลึกล้ำกว่าเดิม
“เวลาไม่เช้าแล้ว เทียนโฮ่วทรงพักผ่อนเถอะ ที่ประทับของพระองค์คือเรือนหลักฝั่งตะวันออก ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้พร้อมแล้วพะยะคะ”
ฝั่งตะวันออก คือที่พักของซือเป่ย
เรือนหลัก นั่นก็คือเรือนนอนของเขาเอง
ในเรือนนอนหลังนั้นมีเส้นทางลับอยู่เท่าไหร่ มีกลไกใดบ้าง เขาย่อมรู้อย่างแจ่มชัด หากคิดจะเล็ดลอดเข้าไปอย่างเงียบเชียบโดยมิให้ผู้ใดรู้ จากนั้นก็กระทำเรื่องที่ีไม่สมควรบอกผู้ใดกับฮว๋ายยู่ แน่นอนว่าต้องง่ายดายอย่างยิ่ง
เขาชอบนาง ชอบมานานมากแล้วด้วย หลังจากค่ำคืนนั้น ก็ได้แต่คิดถึงรสชาตินั้นอยู่ตลอด ปรารถนาอยู่เสมอ
พอซือเป่ยพูดจบ นางกำนัลสองคนก็เข้ามาคอยรับใช้ฮว๋ายยู่
ฮว๋ายยู่เดินออกไปก้าวหนึ่ง ก็หยุดเท้าลง เอ่ยเรียกตี้หยูเอ๋อร์ไว้ “เจ้ามานี่ คืนนี้มานอนเป็นเพื่อนข้า”
ตี้หยูเอ๋อร์ตะลึงไปเล็กน้อย “หมู่โฮว่ ละ ลูก….ลูกคุ้นเคยกับการนอนคนเดียว….”
“มานี่!” ฮว๋ายยู่ไม่ให้โอกาสนางได้ต่อรอง น้ำเสียงยิ่งเข้มงวดและขุ่นเคืองขึ้นมาอีกหลายส่วน
ตี้หยูเอ๋อร์ไม่อาจขัดพระทัยนาง ได้แต่ตามไปอย่างเชื่อฟัง
ซือเป่ยมิได้ตามไป เพียงใช่สายตามองส่งสองแม่ลูกจากไป
ประกายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ร่างของฮว๋ายยู่เพียงผู้เดียว
จนกระทั่งเมื่อคนทั้งสองหายลับไปแล้ว ควันดำสายหนึ่งค่อยๆปรากฏขึ้นมาและกลายเป็นเงาร่างคนผู้หนึ่งที่ข้างกายเขา
“ท่านประมุข” เงาดำนั้นคุกเข่าลงไปข้าหนึ่งตรงหน้าเขา น้ำเสียงแหบต่ำ คล้ายดังขึ้นที่ริมหูของเขา “มีข่าวดีเรื่องหนึ่ง”
ซือเป่ย “ว่ามา”
“องค์หญิงเผ่ามาร อยู่ในโลกมนุษย์ พวกปีศาจน้อยในเผ่ามารสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของนาง”
“อยู่ที่ใด?” นัยตาของซือเป่ยพลันทอประกายขึ้นมากกว่าเดิม
หากว่าองค์หญิงของเผ่ามารยังอยู่ละก็ เช่นนั้นการจะปลดผนึกมาร ปล่อยเผ่ามารออกมา ก็จะสามารถทำได้เร็วกว่าเดิม
ใช่….หากใช้โลหิตจากหัวใจของนางเป็นเครื่องสังเวย ก็จะสามารถปลุกชีพจอมมารได้
สิ่งที่เขาต้องการ ก็คือพลังของจอมมาร
ที่เขาเฝ้ารอมาเนิ่นนาน ปูทาง วางหมาก วางแผนการ ทั้งเกลี้ยกล่อมและล่อลวงจิตใจผู้คนในดินแดนต่างๆไปตั้งมากมาย ก็เพราะต้องการให้จิตใจของพวกมนุษย์เกิดจิตมาร ให้เผ่ามารที่สาบสูญไปเนิ่นนานหลายปีได้คืนกลับมา
ตัวเขามิใช่เทพในยุคบรรพกาล มิได้มีพละกำลังที่แข็งแกร่งดังเช่นตี้เสีย ยิ่งไม่อาจต่อสู้กับหมิงอ๋องที่ทรงอำนาจเหนือกาลเวลาและทุกอย่างได้….
แต่ว่าหากเขาได้พละกำลังของจอมมารและเผ่ามารทั้งหมดมาล่ะก็ ทุกอย่างก็จะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เดิมทีเรื่องนี้ช่างยุ่งยากและซับซ้อนนัก
แต่ว่าตอนนี้ เมื่อได้ข่าวว่าองค์หญิงเผ่ามารอยู่ในโลกมนุษย์ สำหรับซือเป่ยแล้วนี่นับว่าเป็นข่าวดีข่าวใหญ่ที่สุด
คนผู้นั้นคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น เอ่ยตอบอย่างนอบน้อมว่า “ตอนนี้เพียงแค่พบว่า อยู่ในดินแดนโบราณของโลกมนุษย์เท่านั้น แต่ว่าจะอยู่ที่ใด ผู้น้อยยังคงต้องนำพาพวกมารน้อยไปค้นหาให้ละเอียดต่อไป”
“ดินแดนโบราณ….”
พอได้ยินชื่อนั้น ก้นบึ้งในดวงตาของซือเป่ยก็มีประกายแสงราวเข็มสว่างวาบขึ้นมา
หากว่าเขาจำได้ไม่ผิดละก็ ตู๋กูซิงหลันคือฮ่องเต้หญิงแห่งดินแดนโบราณ
หลังจากที่ฮ่องเต้แห่งต้าโจวผู้นั้นพานางไปจากแดนสวรรค์ ดูเหมือนว่าจะไม่มีข่าวคราวอะไรอีกเลย และเพราะตนกำลังทุ่มเทสมาธิจิตใจไปกับการก่อกบฎ จึงไม่ทันได้ใส่ใจสองคนนั้น
ตอนนี้พอถูกย้ำเตือนขึ้นมา เขาจึงได้เอ่ยว่า “จับตาดูดินแดนโบราณ หากมีความเคลื่อนไหวอันใด ก็รีบมารายงาน”
“ขอรับ”
“ส่งซือหลินไปยังที่นั่น ให้ทุ่มเทเสาะหาร่องรอยขององค์หญิงเผ่ามารโดยเร็วที่สุด”
“ทันทีที่พบ ให้นำคนมาพบข้า”
ซือเป่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ซือหลิน คือ ไพ่ตายของตระกูลซือ ปกติแล้วเขาจะไม่นำคนผู้นี้ออกมาใช้งานง่ายๆ แต่ว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน องค์หญิงของเผ่ามารมีความสำคัญต่อแผนการของเขามาก
“รับบัญชา” คนผู้นั้นตอบรับ จากนั้นร่างก็สลายกลายเป็นควันสีดำ จางหายไปในชั่วพริบตา
ซือเป่ยเงยหน้าขึ้นมา มองดูทัศนียภาพอันงดงามของแดนสวรรค์ ก็หัวเราะออกมา
อีกไม่นาน ทั้งหมดนี้ ก็จะตกเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
…………………..
ต้นเดือนแปดมาถึง ทั่วทั้งแคว้นต้าโจวมีแต่ความคึกคัก
ฮ่องเต้หญิงจะทรงอภิเษกตี้โฮว่[2]แล้ว เหล่าพสกนิกรต่างก็พากันเฝ้ารอด้วยความยินดี ถึงแม้ว่าจนถึงตอนนี้แล้วพวกเขาก็ยังไม่เคยเห็นว่าตี้โฮว่ผู้นั้นจะมีรูปโฉมเช่นไรก็ตาม
แต่จะสนใจไยกัน ในเมื่อฮ่องเต้หญิงทรงต้องพระทัย ก็แสดงว่าจะต้องเป็นยอดบุรุษที่โดดเด่นอย่างแน่นอน!
ในวังหลวง ขณะที่ตู๋กูซิงหลันกำลังแทะขาหมูอยู่ ยันต์สื่อสารในถุงเฉียนคุนก็พลันดังขึ้นมา
…………………….
[1] 恨铁不成钢( hèn tiě bù chéng gāng): พ่อแม่ที่ตั้งความหวังกับลูกเอาไว้อย่างสูง อยากให้เหล็กกลายเป็นเหล็กกล้า แต่ลูกทำไม่สำเร็จ จึงได้แต่เจ็บใจตนเอง
[2] 帝后ตี้โฮว่: ปกติฮ่องเต้จะทรงอภิเษกฮองเฮา แต่ในเรื่องเนื่องจากตู๋กูซิงหลันเป็นฮ่องเต้หญิงจึงอภิเษกจีเฉวียนเข้าวังในตำแห่งตี้โฮว่ เทียบเท่าฮองเฮา