พอได้รับคำตอบจากเขา หัวใจของหยวนเมิ่งก็เจ็บปวดราวถูกแทงไปครั้งหนึ่ง ความเจ็บปวดนี้ ทำเอานางแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา
เดิมทีนางเคยคิดว่า….อย่างน้อยๆ เขาก็อาจจะชอบนางบ้างสักเล็กน้อย
ที่แท้ก็เป็นเพราะนางคิดมากไปฝ่ายเดียว
นางฝืนยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร น้ำใจของท่านแม่ทัพหยวนเมิ่งเข้าใจแล้ว”
หากจะบอกให้ชัดเจนยิ่งกว่านี้ก็คือ ต่อให้นางยังคงเฝ้าคนึงหาต่อไป ก็ยังคงไม่เกิดผล ทั้งยังต้องทรมานใจ
ที่เขาปฏิเสธนางเช่นนี้ ก็คงจะเป็นเพราะว่ารักองค์หญิงใหญ่อย่างลึกล้ำสินะ…..
หยวนเมิ่งรู้สึกอิจฉาจีฉุนจริงๆ มิว่านางจะเปลี่ยนไปเช่นไร ก็ยังคงได้รับความรักจากคนผู้หนึ่งอยู่เสมอ ช่างเป็นเรื่องที่โชคดีเสียจริงๆ
นางเงยหน้าขึ้น สูดลมหายใจพร้อมอาการที่ชวนให้แสบจมูกกลับลงไป
สตรีชาวหนานเจียงเช่นพวกนาง ย่อมไม่หลั่งน้ำตาโดยง่าย
ไม่มีบุรุษก็ไม่เป็นไร ยังมิใช่เรื่องใหญ่ขนาดที่ว่าฟ้าจะถล่มลงมาเสียหน่อย
เขาย่อมมีสิทธิ์ที่จะเลือก นางสมควรจะอวยพรให้เขามีความสุขจากใจจริง
ตู๋กูจุนเห็นท่าทางของนาง ก็ไม่รู้ว่าทำไม ในใจถึงได้เกิดความเจ็บปวดขึ้นมา
เขาเห็นแต่ภาพที่หยวนเมิ่งหัวเราะเฮฮาเสียจนเคยชิน พอได้เห็นนางฝืนยิ้มออกมาเช่นนี้ ในใจก็ต้องรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองช่างชั่วร้ายเลวทรามเหลือเกิน
เขาอ้าปากขึ้นมา คิดจะปลอบใจนาง แต่พอคำพูดมาถึงริมฝีปาก ก็ไม่รู้ว่าจะปลอบอย่างไรดี
เขามิได้มีความคิดในเชิงชู้สาวกับหยวนเมิ่ง ย่อมไม่อาจปลอบประโลมนาง ด้วยการยอมพูดว่าตนเองชอบนาง กระมั้ง?
เช่นนั้นย่อมไม่ยุติธรรมต่อหยวนเมิงแล้ว
“ท่านแม่ทัพไม่จำเป็นจะต้องหนักใจ” ครู่หนึ่ง หยวนเมิ่งก็ยิ้มออกมาอย่างสดชื่นได้อีกครั้ง “ท่านช่วยชีวิตของข้าเอาไว้ หยวนเมิ่งจดจำความดีของท่านได้ การชอบท่านเป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับท่าน”
ว่าแล้ว นางก็ยกจอกสุราขึ้นมาในมือ เทจนเต็ม “จอกนี้ขอดื่มให้กับท่านแม่ทัพ ขอให้ท่านประสบแต่ความสุขและความสงบตลอดชีวิต”
พอสิ้นเสียง ก็เงยหน้าดื่มลงไปจนหมด
จากนั้นนางก็รินสุราให้กับตนเองจนเต็มจอกอีกครั้ง “จอกนี้ ขออวยพรให้ท่านแม่ทัพและองค์หญิง อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า รักกันไม่เสื่อมคลาย”
พอดื่มหมดจอก
ก็เทสุราอีกครั้ง “สุดท้านย่อมต้องดื่มให้กับตัวข้าเอง”
ชั่วชีวิตที่เหลือนี้ไร้รักไร้ชัง ไม่ขอรักชอบผู้ใดอีกแล้ว
เพราะว่ามัน….ช่างเจ็บปวดเหลือเกิน
สุราลงท้องไปสามจอก ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นมา ต่อให้ฝืนเอาไว้ ก็ยังสังเกตได้ว่าหางตาของนางมีรอยแดงๆ
ตู๋กูจุนเห็นนางดื่มเหล่าติดๆกันไปสามจอก ทุกคำพูดของหยวนเมิ่ง หล่นทับใส่หัวใจของเขาจนหนักอึ้ง ราวกับหินก้อนใหญ่ที่ทับซ้อนๆกันลงไป
ศีรษะของเขาก็ปวดแปลบ อาการปวดศีรษะพลันกำเริบขึ้นมาอีก
ตู๋กูจุนพยายามฝืนเอาไว้ จนหน้าผากมีแต่เม็ดเหงื่อละเอียดไหลซึมออกมา ในทันใดนั้นเอง ในสมองพลันเกิดภาพบางอย่างขึ้นมาแวบหนึ่ง
ในภาพนั้น มีเงาหลังของสตรีในชุดสีดำผู้หนึ่ง แต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น
…………………
ตู๋กูซิงหลันอิงแอบอยู่ในอ้อมอกของจีเฉวียน ดวงตาดอกท้อคู่นั้นมองดูหยวนเมิ่ง พอเห็นท่าทางเช่นนั้น ในหัวใจก็ต้องรู้สึกเคว้งคว้างขึ้นมา
นางล้วงลงใปในเสื้อในหยิบเอาลูกอมเม็ดหนึ่งออกมา ถลาเข้าไปส่งให้กับหยวนเมิ่ง “กินลูกอมก็จะไม่รู้สึกย่ำแย่แล้ว”
ถึงแม้ว่าสมองของนางจะเป็นเด็กวัยสามขวบ แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอเห็นท่าทางที่โศกเศร้าอย่างลึกซึ้งของหยวนเมิ่งก็ต้องรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย
“ไทเฮาน้อย ท่านยิ่งต้องมีความสุขยิ่งกว่า”
หยวนมิ่งรับลูกอมที่นางให้ ส่งเข้าปากไป นั่นเป็นความหวานจางๆที่ซึมเข้าสู่หัวใจ
“เจ้าอย่าได้เป็นทุกข์ พี่ใหญ่ไม่ต้องการเจ้า แต่ว่านู๋ต้องการเจ้านะ!” ตู๋กูซิงหลันยื่นมือไปกอดนาง “ข้าชอบเจ้านะ!”
น้ำเสียงบ้องแบ๊วของเด็กน้อย กลับสามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่เยียวยาผู้คนได้อย่างน่าประหลาด มันหลอมรวมเข้าไปในกระดูกพร้อมๆกับลูกอมเม็ดนั้น
หยวนเมิ่งชะงักไป ค่อยยิ้มออกมา
จีเฉวียนที่นั่งอยู่ห่างออกไปก็เห็นว่า ชั่วขณะที่ตู๋กูจุนปฏิเสธหยวนเมิ่งออกมานั้น ผลึกส่องมารที่อยู่ในอกของเขา ก็พลันเรืองแสงออกมา
หัวคิ้วของเขาพลันขมวดมุ่นขึ้นมา นี่คงจำต้องสำรวจดูต่อไป
…………………..
วังหลวงของแดนสวรรค์
นับตั้งแต่ที่เทียนตี้ทรงถูกดาบสีดำทองเล่มนั้นทะลวงพระทัย ก็ทรงสลบไสลอยู่ตลอดเวลา
เหล่าแพทย์สวรรค์ถูกเปลี่ยนตัวไปชุดแล้วชุดเล่า แต่ว่าพระอาการของเทียนตี้ ก็ไม่มีทีท่าจะดีขึ้นมาแต่อย่างใด
ในตำหนักบรรทม ฮว๋ายยู่ใช้มือข้างหนึ่งประคองครรภ์ของนางเอาไว้ เดินกลับไปกลับมาอยู่ที่ด้านหน้าเตียงบรรทมของเทียนตี้
แม้แต่แพทย์สวรรค์จิ้นหยุนก็ยังจนปัญญา เขาเอาแต่บอกว่าเทียนตี้ทรงถูกไอชั่วร้ายแทรกเข้าสู่พระวรกาย เส้นชีพจรบาดเจ็บอย่างรุนแรง ได้แต่ต้องพึ่งพาพละกำลังของพระองค์เองเพื่อผ่านพ้นไปให้จงได้
ฮว๋ายยู่ร้อนใจจนน้ำตาคลอหน่วย เป็นเพราะเทียนตี้ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกนางจึงไม่มีเวลาไปไล่ตามว่า คนร้ายที่แสนจะชั่วช้าสองคนนั้นหลบหนีไปอยู่ในที่ใด
จิ้นหยุนพึ่งจะทูลลาไป ซือเป่ยก็เดินเข้ามา
เขาถอดชุดเกราะนักรบสีทองเหลืองอร่ามออกไปแล้ว เปลี่ยนเป็นสวมใส่ชุดยาวสีน้ำเงินเข้มที่นุ่มลื่นแทน ช่วยลดทอนภาพลักษณ์ในยามปกติที่ดูโหดเหี้ยมเย็นชาลงไปมาก เพิ่มพูนความนุ่มนวลอ่อนโยนขึ้นมาอีกหลายส่วน
ที่สำคัญก็คือ เขาโกนหนวดเคราที่ไว้มาตั้งเนิ่นนานทิ้งไปแล้ว พอประกอบกับการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนี้ คนจึงเปลี่ยนจากเทพสงครามกลายเป็นคุณชายที่ดูหล่อเหลาไม่ธรรมดาผู้หนึ่ง
ฮว๋ายยู่พอมองเห็นเขา สีหน้าก็ยิ่งย่ำแย่กว่าเดิม
“ที่นี่คือตำหนักบรรทมในวังสวรรค์ หากมิได้เรียกหา เจ้าเข้ามาทำไม?”
ฮว๋ายยู่ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
ซือเป่ยกลับรุกคืบต่อไป
สายตาของเขากวาดมองออกไปทั่วๆ จากนั้นก็ไปเหลือบมองไปที่ตี้เสียซึ่งกำลังบรรทมอยู่บนแท่นบรรทมแวบหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นผลักฮว๋ายยู่ติดกับข้างกำแพง
“ที่ข้าแม่ทัพมายังที่นี่ ก็เพื่อมาหาเจ้า”
เขายิ้มอย่างร้ายกาจ มือข้างหนึ่งก็เชยคางของฮว๋ายยู่ขึ้นมา แขนเสื้อตัวยาวพลิ้วไปตามแรงลม
“ฮว๋ายยู่ ตอนนี้เหล่าเทพในแดนสวรรค์ต่างก็ต้องการรักษาตัวให้รอด มีแต่ข้าแม่ทัพเท่านั้นที่ยังแข็งแกร่งโดยมิได้ล้มลงไป ตี้เสียมันใช้การไม่ได้แล้ว เจ้าเป็นคนฉลาด ย่อมรู้จักเลือกสรร”
“บังอาจ!” ฮว๋ายยู่เกรี้ยวกราดขึ้นมา “นี่เจ้าคิดจะก่อกบฏอย่างงั้นหรือ?”
“ก่อกบฏ?” ซือเป่ยหัวเราะออกมาในทันที “ข้าแม่ทัพจะก่อกบฏไปทำไม? ตี้เสียทรงถูกดาบเล่มนั้นทะลวงหัวใจ จิตแห่งเทพได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส ทั่วทั้งแดนสวรรค์ต่างก็รู้ว่า เขาไม่อาาจตื่นขึ้นมาได้อีกแล้ว เจ้าคิดว่า ในช่วงเวลาเช่นนี้พวกเขาจะเลือกสรรผู้ใดมาเป็นจักรพรรดิสวรรค์คนใหม่ต่อไป?”
ฮว๋ายยู่กัดฟันกรอด ดวงตาลุกเป็นไฟ
“อย่าได้โกรธเคือง” ซือเป่ยผ่อนแรงที่เชยคางของนางเอาไว้ “เจ้าก็รู้ว่า ข้าชอบเจ้า”
“หากว่าข้าได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิสวรรค์องค์ใหม่ เจ้าก็ยังคงจะได้เป็นเทียนโฮ่วผู้สูงส่งเช่นเดิม ฮว๋ายยู่ ข้าจะดีกับเจ้า”
ซือเป่ยพูดพลาง ก็ขยับเข้าไปใกล้นางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะโอบร่างของฮว๋ายยู่เข้าไปในอ้อมอกอยูี่แล้ว
เขายื่นริมฝีปากออกไป คิดจะจูบนาง
ฮว๋ายยู่กลับผินหน้าออกไป นางหัวเราะเสียงเย็นชา “ต่อให้เจ้ากลายเป็นจักรพรรดิสวรรค์พระองค์ใหม่ เจ้ายังจะมีความสามารถจัดการกับปัญหาตรงหน้าได้ด้วยหรือ?”
“เทียนจุนทรงถูกคนสมคบคิด ถึงได้กลายเป็นบรรทมไม่ยอมตื่น แต่หากว่ากันด้วยเรื่องพละกำลัง เจ้าก็ยังห่างชั้นกับเทียนจุนอีกไกล!”
คำพูดของนางจุดโทสะให้กับซือเป่ย สายตาของซือเป่ยเคร่งขรึมลง ในดวงตาคู่นั้นมีไอหมอกสีดำปรากฏขึ้นมาอ่อนจาง ก่อนที่จะจางหายไปในชั่วพริบตา
ครู่ต่อมา เขาก็หัวเราะหึหึออกมา “อีกไม่นาน พลังของข้าแม่ทัพก็จะเหนือล้ำกว่าตี้เสีย ฮว๋ายยู่ เจ้าจงเปิดตาดูให้ชัดเจนเถอะ”
“ในหกภพภูมิ จะไม่มีผู้ใดสามารถเป็นคู่มือของข้าได้อีกแล้ว”
“หากจะถามถึงเรื่องความเก่งกาจ เจ้ามิใช่ว่าชัดเจนกว่าผู้ใดหรอกหรือ? ก็คืนนั้น ใครกันนะที่ร้องว่าอย่าหยุดอยู่ตลอดเวลา หืม?”
ประโยคนั้นของเขา ทำเอาฮว๋ายยู่หน้าแดงก่ำขึ้นมาในทันที
นางถลึงตามองเขา กำหมัดเอาไว้แบนแน่น
ซือเป่ยอารมณ์ดีอย่างยิ่ง ไม่ต้องรีบร้อน…..อีกไม่นาน แดนสวรรค์จะต้องตกเป็นของเขา ฮว๋ายยู่ก็จะต้องกลายเป็นของเขาด้วยเช่นกัน……
ทั่วทั้งหกภพภูมิ จะเป็นของเขา ซือเป่ย
จากนี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่ต้องอยู่ใต้บัญชาของผู้ใดอีก
………………………….