เดิมทีพวกนางเข้าใจว่า สีดำอมทองเป็นสีที่เหมาะสมกับเขาที่สุดแล้ว แต่ว่ายามเมื่อได้เห็นเขาสวมใส่ชุดสีแดง ความตื่นตะลึงอย่างไม่อาจจะบรรยายได้ก็กระแทกเข้าสู่หัวใจของทุกคน
ชั่วขณะนั้น ทั้งหมดต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดอยู่กับที่ ราวกับว่าได้สูญเสียเหตุผลและจิตวิญญาณไปแล้ว ดวงตาแต่ละคู่ได้แต่จับจ้องอยู่บนร่างของเขาอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้เลย
จนกระทั้งเมื่อเขาเดินมาจนถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน พวกนางถึงค่อยนึกได้ว่าจะต้องคุกเข่าลงไป
เมื่อมีเชียนเชียนเป็นผู้นำ ทั้งหมดก็คุกเข่าหมอบราบลงไป
ทั้งยังไม่มีใครกล้าหายใจโดยแรง ต่างเกรงว่าจะเป็นการรบกวนผู้ที่งดงามจนเลอเลิศทั้งสอง
ยามที่ตู๋กูซิงหลันมองเห็นเขานัยตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมา นางยกกระโปรงขึ้น วิ่งเท้าเปล่าออกไป
จนถึงด้านหน้าของจีเฉวียน ก็ยื่นมือไปหาจีเฉวียน เอ่ยอย่างออดอ้อนว่า “อุ้มๆ”
จีเฉวียนมองดูนาง นับตั้งแต่รู้จักซิงซิงเป็นต้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นนางใบแบบที่แตกต่างไปจากทุกครั้ง
รูปโฉมเช่นนี้ มิว่าผู้ใดได้เห็นล้วนต้องหัวใจสั่นสะท้าน
เขายื่นมือออกไป รับคนเข้ามาในอ้อมกอด จากนั้นก็ยังช่วยจัดแต่งพู่บนหมวกมงกุฏหงส์ ให้อีกรอบหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันเงยหน้ามองดูเขา พร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก
วันนี้พี่ชายคนงามช่างน่าดูเป็นพิเศษ
นางชมดูจนไม่อาจละสายตา
“แขกเหรื่อต่างมากันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว ข้าจะพาเจ้าออกไป” เขายิ้มให้อย่างอ่อนโยน ในแววตามีแต่ความรักใคร่เอาใจใส่
งานอภิเษกของฮ่องเต้หญิง ย่อมต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เดิมทีเต็มไปด้วยพิธีรีตองที่วุ่นวาย
แต่ว่าจิตใจของตู๋กูซิงหลันในตอนนี้เทียบเท่ากับเด็กสามขวบเท่านั้น จีเฉวียนจึงได้แต่ละกฏเกณท์เอาก่อน และมารับนางด้วยตนเอง
ทั่วทั้งเมืองหลวงแขวนผ้าแพรแดง สองข้างถนนหนทางมีกลีบดอกไม้โปรยปราย
ประชาชนนับพันนับหมื่นต่างก็มารออยู่ที่ปากประตูวัง เพื่อจะได้ชื่นชมพระบารมีของฮ่องเต้หญิงและตี้โฮว่
ใบหน้าของแต่ละคนแขวนไว้ด้วยรอยยิ้ม ต่างก็ร่วมยินดีกับฮ่องเต้หญิงจากใจจริง
ภายในวัง ยิ่งคึกคักรื่นเริงด้วยบรรยากาศมงคล
เหล่าขุนนางสวมเครื่องแต่งกายเต็มยศ น้อมคำนับอยู่ที่ด้านนอกของท้องพระโรง
ขุนนางนับพัน คุกเข่าอยู่เต็มลานชั้นนอก พวกเขาเฝ้ารอกันมาพักใหญ่แล้ว ยามนี้ยิ่งคอยืดคอยาวจนแทบจะอดใจไม่ไหว เฝ้ามองไปที่ตำหนักตี้หัวกงอยู่ตลอดเวลา
คนในตระกูลตู๋กูยืนอยู่ด้วยกันในมุมหนึ่ง
ตู๋กูจุนสวมใส่ชุดแม่ทัพผู้พิชิตเต็มยศ บนบ่ายังแบกดาบยักษ์เอาไว้ บนตัวดาบของดาบยักษ์ยังมีพู่สีแดงผูกเอาไว้อันหนึ่ง เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศอันเป็นมงคลในงานอภิเษกของน้องเล็กเป็นพิเศษ
ตู๋กูเจวี๋ยก็สวมใส่เสื้อผ้าที่เป็นทางการ เขายืนอยู่ข้างกายท่านผู้เฒ่าตู๋กูด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มดุจดอกเก็กฮวย
นัยตาของเขามีน้ำตาคลอหน่อย ราวกับว่าบุตรสาวของตนเองกำลังจะแต่งงานก็ไม่ปาน
ตู๋กูเจวี๋ยรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง หากว่าชือหลีอยู่ที่นี่ด้วยละก็ เมื่อนางได้เห็นน้องเล็กแต่งงาน จะต้องดีใจอย่างยิ่งแน่นอน
ช่างน่าเสียดาย……
ในใจแม้จะเสียดายอยู่บ้าง แต่ที่สุดแล้วอย่างไรก็ยังคงดีใจ กว่าที่น้องเล็กกับจีเฉวียนเดินทางมาถึงจุดนี้ ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย ในที่สุดวันนี้คู่รักก็จะได้เคียงคู่กัน เขารู้สึกปลาบปลื้มจริงๆ
ทั้งยังอิจฉาจีเฉวียนอยู่บ้าง เขาตั้งใจเอาไว้ว่า วันหนึ่งในภายภาคหน้า เขากับชือหลีก็จะต้องได้แต่งงานกันเช่นกัน
เขากระแอมในลำคอ วันนี้เขาจะต้องเป็นผู้ดำเนินพิธีการในงานอภิเษกของน้องเล็กและจีเฉวียน ทันทีที่พวกเขาปรากฏกาย ก้าวต่อไปที่เหลือเขาจะต้องเป็นคนนำทั้งหมด
……………….
ที่ข้างกายเขา ท่านผู้เฒ่าสวมใส่ชุดออกศึกตัวเดิม ดวงตาชราคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยหยาดน้ำตา ได้แต่ต้องฝืนเอาไว้ไม่ให้ไหลลงมา
เขาเลี้ยงดูเด็กน้อยทั้งสามคนจนเติบใหญ่มาด้วยตนเองเพียงลำพัง วันนี้ในที่สุดก็ได้เห็นหลานสาวสุดที่รักออกเรือนแต่งงาน ในใจของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ทั้งเสียดายที่มารดาของหลานสาว….หากว่าชิงชิงได้มาเห็นวันนี้ เชื่อว่านางจะต้องยินดีอย่างแน่นอน
องค์หญิงใหญ่ก็นำซุ่นเอ๋อร์มาด้วย พวกนางยืนอยู่ที่ด้านหลังของตระกูลตู๋กู
หลังจากงานเลี้ยงของครอบครัวในวันนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับตู๋กูจุนก็ใกล้ชิดขึ้นมาไม่น้อย
หยวนเมิ่งมิได้ปรากฏตัวขึ้นมาในสายตาของพวกนางอีก แม้แต่วันที่สำคัญเช่นวันนี้ ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหยวนเมิ่งเลย
ตู๋กูจุนอดไม่ได้ที่จะสอดส่องมองหานางท่ามกลางฝูงชน
แม่นางหยวนเป็นสตรีที่ทั้งเข้มแข็งและเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรี หลังจากกันในงานเลี้ยงก็ผ่านมาช่วงหนึ่งแล้ว แต่เขากลับไม่ได้เห็นนางอีกเลย
ที่ผ่านมาพอเข้ามาในวัง เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางตำหนักฉางซินกง แต่ว่าก็ไม่เคยเห็นนาง
นางติดตามอยู่ข้างกายเขามาพักใหญ่ พอเมื่อนางจากไป ตู๋กูจุนถึงได้รู้สึกว่าตนเองออกจะไม่คุ้นเคยเสียแล้ว
แม่นางหยวนมักจะมีเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีอยู่เสมอ เมื่อมีนางอยู่ จวนตระกูลตู๋กูก็คึกคักขึ้นมาก พอนางไปแล้ว ทั่วทั้งจวนก็เงียบเหงาลงไป ปราศจากกลิ่นอายผู้คน
เขากวาดตามองดูโดยรอบ ก็ยังคงมองไม่เห็นแม้แต่เงาของหยวนเมิ่ง
ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงตะโกนของหลี่กงกงดังออกมาจากทางพระตำหนักตี้หัว
“ฮ่องเต้หญิงและตี้โฮ่วเสด็จ รับการคุกเข่าคำนับจากพสกนิกร~!”
ทันทีที่ได้ยินเสียง เหล่าขุนนางที่ยืนออกันอยู่เมื่อครู่ก็รีบคุกเข่าลงไป
ตู๋กูเจวี๋ยก็รีบก้าวออกมาจากแถวของครอบครัวตนเอง เริ่มทำหน้าที่ผู้ดำเนินพิธีการงานอภิเษกของตน
เขาพึ่งจะก้าวออกไป ก็ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีดังรับขึ้นมา ตามด้วยเสียงกลองดังตึงๆๆๆๆอย่างกึกก้อง
เสียงกลองกึกก้องไปบนท้องฟ้า ปลุกบรรยากาศให้คึกคักกว่าเดิม
จากนั้นก็เห็นขบวนมงคลเคลื่อนออกมาจากตำหนักตี้หัว
บนพื้นโรยด้วยกลีบดอกไม้สดสีแดงกลาดเกลื่อน ทั้งยังมีฝนบุปผาหล่นลงมาราวสายฝน เสียงดนตรีบรรเลงไพเราะดังขึ้นมา
พอถึงยามนี้ ฝูงชนค่อยเห็นว่า ผู้ที่นำขบวนมานั้น ก็คือ …..พระสนมหยวนเฟย?
นางเปลี่ยนจากชุดแบบสตรีต้าโจว ไปสวมใส่ชุดของสตรีหนานเจียง แต่งกายด้วยเครื่องทรงขององค์หญิงหนานเจียงที่เป็นสีม่วงทั้งชุด จึงทั้งงดงาม มีเสน่ห์ไม่ธรรมดา
นี่เป็นคำขอของตู๋กูซิงหลัน บางทีในสมองของนางอาจจะยังพอมีอะไรสะกิดเตือนอยู่บ้าง จึงทำให้จำได้ว่าในงานอภิเษกสมควรมีเพื่อนเจ้าสาวด้วย
จึงเรียกเสี่ยวหยวนหยวนให้มาเป็นเพื่อนเจ้าสาวของนาง ยามจัดพิธี ก็ระบุให้นางเป็นผู้นำขบวนออกไป
หยวนเมิ่งปฏิเสธไม่ได้ จึงต้องรับเอาไว้
ได้รับความสำคัญจากไทเฮาน้อย ในใจของนางก็อบอุ่นขึ้นมา
เมื่อต้องเดินนำขบวนทั้งหมดในพิธีแต่งงาน นางก็วางตนเรียบร้อยระมัดระวังกริยา ไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ
ยามที่ตู๋กูจุนได้เห็นนาง คนก็ถึงกับต้องตกตะลึงไป
เขาไม่ได้เห็นนางมาเจ็ดวันแล้ว
แม่นางหยวนผ่ายผอมลงไป…..
เขาแทบจะไม่เคยมองดูนางอย่างพินิจพิจารณามาก่อน ตอนนี้ถึงได้เห็นว่า เมื่ออยู่ท่ามกลางขบวนที่ฉูดฉาดไปด้วยสีแดงนั้น นางโดดเด่นและดึงดูดสายตาเพียงไร
ความงามของหยวนเมิ่ง พิเศษยิ่งนัก แทบควักดวงตาผู้คนออกไป
ตู๋กูจุนมองดูนาง ในสมองก็อดไม่ได้ที่จะปรากฏภาพของสตรีในชุดสีดำขึ้นมา
อยู่ๆสมองของเขาก็ปวดตุบๆขึ้นมาอีกครั้ง
หยวนเมิ่งก็มองเห็นเขาแล้วเช่นกัน เพียงแต่ว่าครั้งนี้กลับไม่มีประกายใดๆในดวงตาอีกแล้ว
แววตาของนางไม่สั่นคลอน สงบนิ่งเรียบร้อย นำขบวนอภิเษกไปยังด้านหน้าทีละก้าวทีละก้าว
รอบๆเกี้ยวทรงประดับประดาไปด้วยสีทองและสีแดง ชายผ้าพลิ้วไหว เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งไปตลอดทาง รอบตัวเกี้ยวทั้งสี่ด้านประดับประดาไปด้วยหงส์แดงแกะสลักงดงาม
ภายในเกี้ยวทรง มีฮ่องเต้หญิงและตี้โฮว่ประทับนั่งอยู่
รอบด้านกางกั้นด้วนผ้าโปร่งบาง ทำให้เห็นเงาของทั้งสองเท่านั้น
แต่แม้ว่าจะเป็นเพียงเงา ก็ยังงดงามจนคนต้องถอนหายใจ
ภายในเกี้ยว มือของจีเฉวียนประคองรองเท้าปักเอาไว้ข้างหนึ่ง ค่อยๆนำฝ่าเท้าที่ขาวนวลดุจหิมะของตู๋กูซิงหลันสวมใส่รองเท้าให้กับนาง
………………….