สายตาของเขาหันไปสบตาเข้ากับสายตาของซือหลินพอดี ใบหน้าของนางมีแต่ความแข็งทื่อเย็นชา แววตารังเกียจเดียจฉันท์อย่างปิดไม่มิด
“ข้ากับเทพเซียนองค์นี้เพียงแค่ร่วมมือกันเท่านั้น แล้วไยจะต้องไปทำความเคารพนางด้วย?” ครู่หนึ่ง จีเย่ว์ค่อยเอ่ยออกไปอย่างเรียบเฉย
“พวกเจ้าต้องการให้ข้าเปิดเผยเรื่องที่เป็นตัวปลอมของฮ่องเต้หญิงในวันอภิเษกของนาง ข้าแค่ทำไปตามนั้นก็พอแล้ว ไยต้องมากความ?”
ฉางซุนซิ่วถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังเป็นอี้อ๋อง จีเย่ว์ก็เอาแต่กระทำตามอำเภอใจโดยไม่สนสิ่งใดอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าเมื่อกลายเป็นศพคืนชีพก็จะยิ่งไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาทั้งสิ้น
เมื่อได้ยินเขาพูดออกมาเช่นนี้ ซือหลินก็อดไม่ได้ที่จะปรายตาดูเขาแวบหนึ่ง
คนธรรมดาในใต้หล้า ล้วนแล้วแต่ให้ความเคารพนอบน้อมต่อแดนสวรรค์อย่างสูงสุดอยู่เสมอ แต่ว่าคนผู้นี้ กลับผิดแผกแตกต่างจากผู้อื่น
หากมิใช่ว่าจำเป็นต้องใช้งานเขา ซือหลินตอนนี้คงจะทำลายเขาจนวิญญาณแตกสลายไปแล้ว
นางคร้านที่จะเอาความเรื่องคำนับไม่คำนับกับจีเย่ว์อีกต่อไป จึงเอ่ยอย่างวางท่าสูงส่งออกมาว่า “ข้าต้องการให้เจ้ารับรองด้วยคำมั่นว่า เมื่อถึงวันที่แปดจะต้องออกมาพิสูจน์ว่าฮ่องเต้หญิงนั่นเป็นตัวปลอม”
นางพูดพลาง สายตาก็เหลือบมองไปที่ปิ่นไม้บนศีรษะของจีเย่ว์
ปิ่นไม้นั่น มีพลังชีวิตสถิตย์อยู่อย่างชัดเจน
ช่วงเวลาที่ผ่านมา นางได้จำกัดขอบเขตการค้นหาองค์หญิงเผ่ามารจนเหลืออยู่แต่ในแคว้นต้าโจว
เรื่องที่น่าบังเอิญก็คือ ฮ่องเต้หญิงของต้าโจวองค์นี้ ก็คือผู้ที่ไปอาละวาดในแดนสวรรค์ผู้นั้นนั่นเอง
หากนางคาดเดาไม่ผิดละก็ ผู้ที่ฮ่องเต้หญิงจะอภิเษกให้เป็นตี้โฮ่ว ก็คงจะเป็นบุรุษผู้นั้นสินะ
หากสองคนนั้นอยู่ในแคว้นนี้ เรื่องขององค์หญิงของเผ่ามารที่นางต้องการตามหาย่อมต้องมีอุปสรรค หากมีการต่อสู้กัน ซือหลินรู้ตัวดีว่าตนเองมิใช่คู่มือของคนทั้งสอง
เพราะขนาดแม้แต่จักรพรรดิ์สวรรค์ตอนนี้ก็ยังต้องนอนหมดสติอยู่บนแท่นบรรทมอยู่เลย
เรื่องบางเรื่อง มิอาจใช้พละกำลังเข้าสู้ หากแต่ใช้ปัญญาและกลอุบาย
นางใช้เวลาเพียงสั้นๆก็รู้เรื่องที่มาที่ไปของตู๋กูซิงหลันจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว จึงได้วางแผนสร้างละครฉากนี้ขึ้นมาในวันงานอภิเษก ให้สองคนนั้นต้องตกเวที
พอพวกเขาควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว นางก็สามารถที่จะฉวยโอกาสเสาะหาตัวองค์หญิงเผ่ามารออกมา
ยิ่งไปกว่านั้น รอให้นายท่านควบคุมแดนสวรรค์ได้ทั้งหมดแล้ว พวกแรกที่จะต้องโดนลงดาบย่อมจะต้องเป็นสองคนนี้อย่างแน่นอน
คนที่แม้แต่ตี้เสียยังไม่อาจจัดการได้ นายท่านย่อมจะต้องลงมือกำราบพวกเขาอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทั้งแดนสวรรค์และทั่วทั้งหกภพภูมิยอมรับนับถือ
สิ่งที่นางจะลงมือกระทำในตอนนี้ ก็แค่ก่อความวุ่นวายเล็กๆน้อยๆให้กับสองคนนั้นเท่านั้น
รอให้นายท่านขึ้นครองอำนาจ สองคนนั้นก็จะต้องพบจุดจบอย่างแน่นอน
ดังนั้น ในตอนนี้ จะต้องทำให้มั่นใจว่าเรื่องในวันที่แปดจะไม่มีทางล้มเหลว
ซือหลินพูดเช่นนี้แล้ว จีเย่ว์ก็อดไม่ได้ที่จะลูบไล้ปิ่นไม้ไห่ถางบนศีรษะอีกครั้ง “เรื่องนี้ย่อมไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน นางยึดเอาร่างกายของผู้ที่ข้ารักที่สุดไป ส่วนผู้ที่กำลังจะกลายเป็นตี้โฮ่วผู้นั้น ก็ทำให้ข้าต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยพวกมันไปอยู่แล้ว”
ขณะที่เขาพูดออกไป ไอสังหารในร่างก็กำจายออกมา
เมื่อได้รับคำยืนยันอย่างหนักแน่น ซือหลินก็นับว่าสามารถวางใจได้แล้ว
พวกมดปลวกในใต้หล้า ได้รับการเหลือบแลจากนาง กลายเป็นตัวหมากของนาง ก็นับว่าเป็นวาสนาของพวกมันแล้ว พวกมันสมควรตื่นเต้นยินดีทำงานอย่างขยันขันแข็งจึงจะถูก ไม่มีทางจะมีใจคิดเป็นอื่นแน่นอน
“ใต้เท้าโปรดวางใจได้ ข้าเองก็จะไม่มีวันปล่อยให้พวกมันได้เสวยสุขอย่างแน่นอน” ฉางซุนซิ่วเอ่ยอย่างให้ความเคารพต่อซือหลินอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ เขาเองก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของฟ่านอิงมาก่อน
ดังนั้นจึงพอจะมีความเข้าใจในเรื่องของแดนสวรรค์อยู่บ้าง
ตอนนี้เมื่อเขากลายเป็นมาร แต่กลับได้เป็นตัวเลือกใช้งานของใต้เท้าคนสำคัญ เช่นนี้ก็หมายความว่า ครั้งนี้เขาไม่เพียงแต่จะได้ถอนหนามที่ตำตาตนเองออกไป อนาคตในภายภาคหน้าก็อาจจะมีสิทธิ์พลิกฟื้นขึ้นไปยืนในแดนสวรรค์ได้เหมือนกัน
นับว่าฟ้าดินยังดีต่อเขาไม่น้อย ในที่สุดก็มอบทางรอดสายหนึ่งให้กับเขา
ซือหลินไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่ยื่นมือออกไปใกล้กับหน้าผากของพวกเขา สร้างตราประทับให้กับตัวหมากของตนเอง
ผ่านไปอีกสักพัก นางก็หายลับไป
ฉางซุนซิ่วก็ไม่มีอะไรจะพูดจากับจีเย่ว์อีกต่อไปเช่นกัน คนผู้นี้ช่างน่าเบื่อหน่ายเกินไป พอรั้งอยู่ในบ้านไม้ครู่หนึ่ง เขาก็จากไปเช่นกัน
งานที่เขาสมควรจะทำในตอนนี้ คือการไปตระเตรียมหลักฐานที่จะใช้มัดตัวตู๋กูซิงหลันให้เรียบร้อยต่างหาก
…………………
สายลมโบกโบยพัดพาเอากลุ่มเมฆกระจายไป ดึกดื่นค่อนคืนจึงยิ่งเหน็บหนาวกว่าเดิม
จีเย่ว์เข้าไปในบ้าน ดับแสงเทียนที่มีอยู่เพียงดวงเดียวทิ้งไป
เขาสวมใส่ชุดสีดำตลอดร่าง พาร่างเหาะออกไปในความมืดมิด
โดยที่มิทันได้รู้สึกตัวเลยว่า ที่ด้านหลังของเขา มีดวงตาหงส์คู่หนึ่งจับจ้องอยู่จากความมืดมิด
………………
พระตำหนักตี้หัว ตู๋กูซิงหลันดื่มน้ำแกงสร่างเมาลงไปแล้ว ก็สร่างขึ้นมาไม่น้อย
นางไม่รู้ว่าจีเฉวียนไปยังที่ใดแล้ว ในตำหนักบรรทมมีแต่ความว่างเปล่า ราวกับว่าเหลือแต่นางอยู่ตามลำพัง
บานหน้าต่างถูกปิดเอาไว้แน่น ในตำหนักค่อนข้างอึดอัดไปบ้าง ตู๋กูซิงหลันไม่ทันจะได้สวมใส่รองเท้า ก็เดินไปยังบานหน้าต่าง ผลักบานหน้าต่างที่แกะสลักเป็นรูปดอกหลีออกเป็นช่องแคบๆช่องหนึ่ง
สายลมที่เย็นฉ่ำจากภายนอกพัดเข้ามา ปะทะกับใบหน้า ทำให้ความอึดอัดและร้อนรุ่มในร่างคลายลงไปได้บ้าง
สายลมโบกจนต้นฮว๋ายในส่วนโยกคลอนส่งเสียงดังซู่ซู่
ต้นฮว๋ายส่งเสียง ภูติผีมาเยือน
นางพึ่งจะเปิดหน้าต่าง ก็เห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่ง
“พี่ชายคนงาม!” ตู๋กูซิงหลันเรียกออกไปคำหนึ่ง เงาร่างนั้นดูแล้ว คล้ายคลึงกับลักษณะของจีเฉวียนอย่างยิ่ง
เพียงแต่ว่าพอนางเรียกออกไป อีกฝ่ายกลับมิได้หยุดลง ในค่ำคืนที่มืดมิดจึงเหลืออยู่แต่เพียงสายลมอันเหน็บหนาวเท่านั้น
ตู๋กูซิงหลันโคลงศีรษะไปมา นางรู้สึกเหมือนกับว่าในอากาศมีกลิ่นอับๆของซากศพลอยมาจางๆ
ไกลออกไป ที่ด้านหลังของต้นฮว๋าย จีเย่ว์ยืนอยู่ที่นั่น
เขาหรี่ดวงตาลง แม้ว่าจะอยู่ในความมืด แต่เขาก็ยังสามารถมองเห็นตู๋กูซิงหลันได้อย่างชัดเจน
นางงดงามกว่าเมื่อสองปีก่อนเสียอีก เพียงแต่ดูไร้เดียงสามากกว่าเดิม
เพียงแต่ว่าจากไปสองปี วังหลวงแห่งนี้กลับกลายเป็นสถานที่แปลกตาสำหรับเขาไปเสียแล้ว
ยามที่จีเย่ว์ได้เห็นตู๋กูซิงหลัน ถึงได้ค่อยรู้สึกขึ้นมาว่า สิ่งต่างๆดูคุ้นเคยอยู่บ้าง
หากว่าหลันเออร์ยังไม่ตาย ก็คงเติบโตงดงามเช่นนี้เหมือนกัน สายตาที่มองดูตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ที่จะอึมครึมลงไปอีกหลายส่วน
สายลมพัดแรง จนเหมือนจะทำให้ปิ่นไม้ไห่ถางบนศีรษะของเขาขยับเล็กน้อย คล้ายจะกำลังสื่อสารอะไรกับเขาบางอย่าง
“ข้ารู้แล้ว ไม่วู่วามหรอก” เขาเอ่ยตอบไปคำหนึ่ง ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่สุด
เขาเพียงแต่คิดถึงหลันเอ๋อร์มากเกินไป จึงอยากจะมาดูสักหน่อย หากว่านางยัง ‘มีชีวิตอยู่’ ตอนนี้จะเป็นเช่นไร
พอได้รับคำตอบจากเขา ปิ่นไม้บนศีรษะก็เหมือนจะสงบลง
นับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันมอบกิ่งต้นไห่ถางให้กับเขา นางก็ได้บอกเขาอย่างชัดเจนไปแล้วว่า นางไม่ใช่หลันเอ๋อร์ของเขา
ตลอดสองปีมานี้ เขาก็พกพากิ่งไห่ถางกิ่งนั้นเอาไว้กับตัวตลอดเวลา ในที่สุด….กิ่งไห่ถางนั้นก็ตอบสนองต่อเขาได้แล้ว
ในที่สุดเขาจึงได้รู้ว่า ตู๋กูซิงหลันมิได้โกหกเขา
แต่ก็ไม่รู้ว่าตกลงแล้วนางมีฐานะที่แท้จริงเป็นใครกันแน่ จึงได้ทำให้แม้แต่เทพเซียนยังหมายหัว
จีเย่ว์ยืนอยู่หลังต้นฮว๋าย มองดูนางอยู่เนิ่นนาน แต่สุดท้ายก็ไม่คิดจะออกไปปรากฏตัว
เขายืนอยู่เช่นนี้ จนเกือบครึ่งชั่วยาม เขามาอย่างเงียบๆ และจากไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่เมื่อกลับไปถึงบ้านไม้ของเขา ก็ต้องพบว่าในบ้านไม้ที่สมควรจะมืดมิด กลับมีเทียนถูกจุดเอาไว้ เป็นแสงเทียนที่อ่อนจางมากๆ
แต่นั่นก็เพียงพอจะทำให้จีเย่ว์ตื่นตัวขึ้นมาแล้ว เขาจดจำได้เป็นอย่างดีว่า ก่อนที่ตนเองจะออกไปได้ดับเทียนไปแล้ว
แสงเทียนไหววูบ ทำให้เห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งทอทาบลงไปบนหน้าต่าง
เป็นเงาร่างที่งดงามไร้ที่เปรียบของบุรุษผู้หนึ่ง
จีเย่ว์ชะงักฝีเท้า คิดจะถอยหลัง แต่กลับถูกคนข้างในเรียกเอาไว้
“ไม่พบกันเนิ่นนาน แม้แต่ความกล้าที่จะพบหน้าเราก็ไม่มีแล้วหรือ?”
……………………