นายรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่แสนคุ้นเคยจากสายลมนั่น
นางจับจ้องไปบนท้องฟ้าอย่างไม่กระพริบตา ทันทีที่สิ้นเสียง ก็เห็นศีรษะสีน้ำตาลของมังกรยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากลมพายุนั่น
ศีรษะของมังกรตัวนั้น มีขนาดใหญ่เท่ากับบ้านหลังหนึ่ง
เหล่าชาวบ้านพอได้เห็นศีรษะของมังกรตัวนั้น ก็คิดจะพากันก้มลงไปกราบไหว้ในทันที
ดินแดนโบราณแห่งนี้ให้ความเคารพนับถือในเผ่ามังกร แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังเรียกเป็นโอรสสวรรค์
ดังนั้นเมื่องมังกรตัวนี้ปรากฏตัวขึ้นมา ในสายตาของผู้คนทั้งหลายจึงให้ความเคารพยิ่งกว่าพวกเทพเหล่านั้นเสียอีก
พวกเขาลืมตาโต คิดจะคุกเข่าลงไปกับพื้น
มิใช่เพราะว่าหวาดกลัว แต่คิดจะก้มลงไปกราบกราน
ตู๋กูซิงหลันมองดูมังกรตัวนั้น อ้อ จำได้เแล้ว เป็นหนึ่งในมังกรทั้งเก้าตัวนั่นเอง
พอศีรษะของมังกรตัวนั้นพึ่งจะโผล่พ้น ที่ด้านหลังก็ปรากฏมังกรอีกแปดตัวติดตามร่างกายของมันออกมา
เมื่อมังกรทั้งเก้าปรากฏกาย ร่างกายที่ใหญ่โตของพวกมันก็แทบจะบดบังท้องฟ้าเอาไว้จนหมดสิ้น
ชั่วขณะนั้นเอง ทุกคนต่างก็พากันเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ชมดูมังกรทั้งเก้าร่ายรำ
ภาพที่ปรากฏออกมาช่างน่าตกตะลึงเกินไปแล้ว พวกเขาคงเข้าใจไปว่ามังกรเหล่านี้กับพวกเทพเจ้าเป็นพวกเดียวกัน
เป็นเพราะว่าฮ่องเต้หญิงและตี้โฮ่วไปล่วงเกินอะไรทวยเทพใช่หรือไม่? จึงได้ขนเอาขุมกำลังอันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ออกมาเล่นงานพวกเขา?
เหล่าราษฎรต่างก็ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น พวกเขารู้สึกว่าตนเองช่างเล็กกระจ้อยร่อย หากว่ามังกรเหล่านี้ส่งเสียงร้องคำรามดังกว่านี้อีกสักหน่อย พวกเขาก็อาจจะถึงกับวิญญาณแตกสลายไปเลยก็เป็นได้
ขณะที่ฝูงชนกำลังตกอยู่ในความตื่นตะลึงอยู่นั้น พวกเขาก็เห็นมังกรยักษ์ตัวนั้นพ่นฝนกลีบบุปผาสีทองออกมา
บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ทองคำที่ร่วงหล่นลงมาราวสายฝนโปรย ทำให้ในอากาศเต็มไปด้วยประกายแสงสีทองที่แวววาวและงดงามเกินใดเทียบ
จนกระทั่งเมื่อกลีบดอกไม้เหล่านั้นร่วงลงมาจนถึงพื้นดินแล้ว พวกเขาถึงได้พบว่า นี่เป็นทองคำจริงๆ?
กลีบดอกไม้ที่ทำขึ้นจากทองคำแท้!
เหล่าราษฎรในเมืองหลวงล้วนเป็นผู้ที่มีกริยา รู้มารยาท แม้ว่าจะตื่นตะลึงแต่ก็มิได้มีผู้ใดคิดจะขโมยแย่งชิง บรรยากาศเช่นนี้ช่างงดงามและน่าชื่นชมอย่างยิ่ง เพิ่มสีสันอันตระการตาให้กับงานอภิเษกของฮ่องเต้หญิง
หลังงจากนั้นก็ได้ยินเสียงของมังกรทั้งเก้าเอ่ยออกมาอย่างพร้อมเพียงกันว่า
“เผ่ามังกรทั้งหมด ทั่วทั้งหกภพภูมิและสี่ท้องทะเล ขอถวายพระพรฝ่าบาทในวันอภิเษก ด้วยฝนบุปผาทองคำ ให้ความผูกพันของฝ่าบาทและตี้โฮ่วสูงค่าล้ำกว่าทองคำ ให้ความรักคงอยู่ตลอดกาลนาน”
ทั้งๆที่เป็นเสียงของมังกร แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผู้คนทั้งหมดถึงได้รู้สึกว่าตนเองฟังออก
พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า มังกรทั้งเก้าตัวนี้จะมาเพื่ออวยพรในงานอภิเษกให้กับฮ่องเต้หญิง?
ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มสดใสอยู่บนกำแพงสูง นางมองดูฝนบุปผาทองคำ ก็คิดเอาไว้ว่าอีกประเดี๋ยวจะต้องหอบกลับไปสักหลายๆกำ
จีเฉวียนมองดูใบหน้าของนาง ในใจก็ยิ่งเพิ่มพูนความพอใจขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
เขาเอ่ยเอาไว้แต่แรกแล้วว่า งานแต่งงานของซิงซิง เหล่าผู้ที่มาร่วมงานแต่ง ล้วนต้องส่งมอบของขวัญออกมา ฝนบุปผาทองคำนี้ หากว่านางพึงพอใจ เช่นนั้นก็นับว่าดีมาก
อีกด้านหนึ่ง ซือหลินและเหล่านักรบสวรรค์ทั้งหลายต่างก็ตะลึงไป
พวกเขานึกว่าสิ่งที่ออกมาจากลมพายุที่คึกคะนองนั่นจะเป็นตัวอะไรเสียอีก ที่แท้ก็แค่เจ้าพวกสัตว์ชั้นต่ำทั้งเก้าตัวที่คอยลากพระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนบนแดนสวรรค์นั่นเอง
หากไม่รู้มาก่อนก็จะคิดว่าเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมอยู่หรอก เฮอะ!
พวกเขาไม่สนใจมังกรทั้งเก้าตัวอีกต่อไป ต่างก็ขับพลังวิญญาณในร่างออกมา คิดจะเหาะขึ้นไปให้ถึงบนกำแพงสูง
แต่เรื่องที่น่าแปลกก็คือ สายลมเหนือกำแพงกลับมิได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น หากแต่ยังคงมืดครึ้มและพัดโหมจนไม่อาจมองเห็นได้ชัด
พวกเขายังคงเหาะขึ้นไป ขณะที่เห็นว่ากำลังจะเข้าใกล้กำแพงสูงได้แล้วนั้น
ก็ได้ยินเสียง ‘เปรี้ยง’ ดังกึกก้องขึ้นมา นักรบสวรรค์กลุ่มที่บินอยู่ด้านหน้าสุด ก็พลันถูกสายฟ้าที่รุนแรงฟาดเข้าใส่จนต้องลอยกระเด็นออกไป
พวกที่กระเด็นออกไปเหล่านั้น ต่างก็เห็นว่าบนร่างกายของพวกเขากำลังลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีน้ำเงิน!
เปลวไฟที่ร้อนระอุเหล่านั้น เพียงพริบตาเดียวก็กลืนกินพวกเขาลงไปทั้งร่างแล้ว
พวกเขายังไม่ทันจะได้แผดร้องอะไรออกมาเลย ร่างเนื้อก็ถูกเปลวไฟสีน้ำเงินแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปเสียแล้ว!
จิตวิญญาณมิได้ถูกแผดเผาไปด้วย แต่ว่าดวงวิญญาณแต่ละดวงต่างก็ถูกฝ่ามือที่ยื่นออกมาจากสายลมสีดำนั่นจับเอาไว้ทั้งหมด
นั่นเป็นมือแต่ละมือที่มีขนาดใหญ่โตมากเป็นพิเศษ ทั้งยังซีดขาว ดูไปแล้วน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง
มือนั่นจับเอาดวงวิญญาณของนักรบสวรรค์ได้มากมาย จากนั้นก็โยนเข้าไปในขวดแก้วที่ใสกระจ่างใบหนึ่ง
ไม่รู้ว่าขวดแก้วใบนั้นมีพลังวิเศษอันใด เพียงครู่เดียวมันก็เปลี่ยนดวงวิญญาณของเหล่านักรบสวรรค์ให้กลายเป็นน้ำ ที่มีอยู่กว่าค่อนขวด
เหล่านักรบสวรรค์ที่ยังเหาะไปไม่ถึงต่างก็ชะงักงันไป จากนั้นก็ตัดสินใจถอยหนีอย่างรวดเร็ว
พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
จนกระทั่งยมราชทั้งเจ็ดพากันก้าวย่างออกมาจากในใจกลางของพายุสีดำนั้น โดยมีฉู่เจียงยืนอยู่ตรงกลาง
คราวนี้ เหล่านักรบสวรรค์ต่างก็ตกตะลึงจนบ้าใบ้ขึ้นมาจริงๆ
พวกเขาล้วนเป็นนักรบที่ซือเป่ยให้ความสำคัญ ที่ผ่านการร่วมรุกร่วมถอยกับซือเป่ยมาอย่างโชกโชน แน่นอนว่าย่อมต้องเคยผ่านสงครามเทพภูติเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนมาแล้ว
คนทั้งเจ็ดนี้ พวกเขาจะจดจำไม่ได้ได้อย่างไรกัน?
เผ่าภูติ…..มิใช่ว่าถูกแผดเผาจนมอดไหม้ไปก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้วมิใช่หรือ?
แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงได้มียมราชทั้งเจ็ดปรากฏตัวขึ้นมาได้อีก?!
ในใจของพวกเขามีแต่ความตกตะลึง จนทั้งหมดต้องหยุดอยู่กับที่
แม้แต่ซือหลินก็ยังลืมตาโต นางยังมิอาจเชื่อสิ่งที่ตนเองได้เห็นตรงหน้า
เผ่าภูติ….ยังมิได้สูญสลายไปอย่างนั้นหรือ?
ก่อนหน้านี้นางก็เคยได้ยินมาอยู่บ้างว่าหมิงอ๋องผู้นั้นยังไม่ตาย แต่ว่าตอนหลังนายท่านได้นำเจ้านกยักษ์ไปสังหารหมิงอ๋องแล้วมิใช่หรือ?
ในเมื่อหมิงอ๋องก็ตายไปแล้ว แล้วยมราชทั้งเจ็ดคนนี้ยังจะมาจากที่ใดได้อีก?
ขณะที่นางกำลังตื่นตะลึงอยู่นั้น ก็เห็นฉู่เจียงนำพาคนอื่นๆ เหาะขึ้นไปถึงเบื้องหน้าของตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียน
คนเหล่านั้นเพียงมองดูจีเฉวียนแค่แวบเดียว ก็ค้นพบประกายแปลกประหลาด หากแต่ก็แสนจะคุ้นเคยจากในดวงตาหงส์ของเขาคู่นั้น พริบตานั้นทั้งหมดก็พากันคุกเข่าข้างหนึ่งลงไปบนพื้น
“ฝ่าบาท พวกกระหม่อมมาช้าไปบ้างแล้ว”
คำเรียกหาฝ่าบาทนี้ ย่อมหมายถึงหมิงอ๋อง
จีเฉวียนเบนสายตาออกมาจากตู๋กูซิงหลัน ดวงตาหงส์เปลี่ยนเป็นประกายที่หนาวเย็นและลึกล้ำออกมา
ครู่หนึ่ง เขาถึงได้เอ่ยว่า “ของขวัญเล่า?”
เหล่ายมราชทั้งเจ็ด “…..” ฝ่าบาทช่างคงไร้น้ำพระทัยเช่นเดียวกับเมื่อก่อนจริงๆ!
ยังคงเป็นฉู่เจียงที่รู้จักอ่านสีหน้าผู้คนที่สุดแล้ว
เขารีบนำน้ำที่หลอมละลายจากวิญญาณนักรบสวรรค์ทั้งห้าคนเมื่อครู่ออกมา
“น้ำที่เกิดจากดวงจิตของเหล่าเทพ มีพลังที่เป็นคุณประโยชน์ต่อสรรพชีวิตในใต้หล้าอย่างมหาศาล บนแผ่นดินโบราณที่กว้างใหญ่ หากว่าที่ใดมีความทุรกันดาร ขอเพียงหยดน้ำจากดวงวิญญาณเทพนี้ลงไปหยดหนึ่ง ต่อให้เดิมเป็นทะเลทรายก็สามารถเปลี่ยนให้เป็นสายน้ำได้เลย!”
จากคำพูดนี้ ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าเขาช่างเป็นตัวขี้โม้จริงๆ
ฉู่เจียงพูดจบแล้ว ก็นำขวดน้ำใบนั้นขึ้นทูลถวาย
ตู๋กูซิงหลันก็มิได้ชิงชังรังเกียจ
ของขวัญชิ้นนี้แม้ว่าจะดูโชกเลือดไปเสียบ้าง หากแต่ก็ทรงคุณค่า หากว่าทำได้ตามที่ฉู่เจียงพูดเอาไว้จริงๆ
อย่างน้อยๆก็ยังต้องถือว่าเป็นประโยชน์ต่อพลเมืองของนาง
จีเฉวียนรู้ดีว่า การจะเปลี่ยนดวงวิญญาณของเหล่าเทพให้กลายเป็นน้ำอมฤตนั้นมิใช่เรื่องง่าย นับว่าพวกเขาได้ตระเตรียมของขวัญชั้นดีมาพอสมควร
ส่วนการจะนำศัตรูมาทำเป็นของขวัญนั้น ก็นับว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมกับการเป็นยมราชแล้ว
ส่วนหลุนจ่วนอ๋องนั้นนับว่าเอาจริงเอาจังที่สุด หลังจากที่ยมราชทั้งหมดลุกขึ้นแล้ว เขาก็ค่อยๆขยับเข้าไปถึงเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน ส่งยิ้มฮิฮะให้กับนาง
จากนั้นก็ล้วงเอารูปแกะสลักรูปหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ
“หวังเฟยพะยะค่ะ นี่คือกวนอิมประทานบุตร ตอนนั้นข้าเคยได้มาจากแดนตะวันตก วันนี้ขอมอบให้กับท่าน ต่อไปในภายหน้าต้องลำบากท่านช่วงเพิ่มสายเลือดให้กับฝ่าบาทแล้ว”
แม้แต่ผีสางก็ยังรู้ว่าพวกเขารอคอยท่านอ๋องน้อยของเผ่าหมิงมานานเท่าใดแล้ว!
ก็ในเมื่อหมิงอ๋องทรงอภิเษกแล้ว เช่นนั้นย่อมต้องฉวยโอกาสนี้ให้ดี!
ทางที่ดี ก็คลอดออกมาสักหลายๆครอกเลย!
……………..