บทที่ 661 ผสานมรรคาสวรรค์ บรรพชนเต๋าฟื้นคืนชีพ
เมื่อมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อมองเห็นนักพรตเต๋าที่อยู่ด้านหน้า ก็คารวะเล็กน้อย เอ่ยทักท่าน “น้อมพบเทพสูงสุด”
นักพรตเต๋าผู้นี้ที่ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักคือเทพสูงสุดหยวนสื่อ ผู้ก่อตั้งนิกายฉ่าน หนึ่งในศิษย์สืบทอดของบรรพชนเต๋า หนึ่งในสามบรรพจารย์แห่งสำนักเต๋า
เทพสูงสุดหยวนสื่อจ้องมองนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยถาม “เจ้าไปอยู่กับหานเจวี๋ยนานถึงเพียงนี้ คุยสิ่งใดกัน”
มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อกล่าวตอบ “เพียงพูดคุยเรื่อยเปื่อย”
“เหตุใดเผ่าหายนะถึงหยุดอยู่ในยมโลก ไม่รุกคืบต่อ”
“เผ่าหายนะก็จำเป็นต้องพักฟื้นเช่นกัน ไม่อาจทำสงครามต่อเนื่องยาวนานได้”
“เช่นนั้นหรือ”
“หากเทพสูงสุดไม่เชื่อ ก็ส่งศิษย์นิกายฉ่านมาเสริมกำลังเถิด”
เทพสูงสุดหยวนสื่อมิได้ให้คำตอบ
มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อเย้ยหยันอยู่ในใจ คิดว่านางเป็นเพียงกันชนโง่เง่าที่จะใช้การอย่างไรก็ได้จริงๆ น่ะหรือ
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบวังเวง
ผ่านไปพักใหญ่
เทพสูงสุดหยวนสื่อคล้ายจะมองมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อออก เอ่ยทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งจากนั้นก็เลือนหายไป
“ที่ส่งมาโจมตีมรรคาสวรรค์ในครานี้ เพราะพวกเราอยากมอบโอกาสให้เผ่าหายนะ แต่หากเผ่าหายนะไม่เห็นค่า พวกเราก็ไปหาเผ่าพันธุ์อื่นได้ เผ่าหายนะของเจ้าแข็งแกร่งในแดนเทพหวนปัจฉิม แต่เทียบกับเผ่าพันธุ์ในฟ้าบุพกาลที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพมารฟ้าบุพกาลไม่ได้
“ข้าจะจับตามองเจ้าไว้ตลอด”
มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อมิได้เก็บคำข่มขู่ของเทพสูงสุดหยวนสื่อมาใส่ใจเลย
ตอนนี้ในใจนางมีเพียงหานเจวี๋ย เชื่องเชื่อต่อหานเจวี๋ยอย่างสมบูรณ์ ต่อให้หานเจวี๋ยส่งนางไปต่อกรกับอริยะมหามรรคตรงๆ นางก็จะไม่ลังเลแน่นอน
มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อนั่งบนเบาะฝึกสมาธิของตน เริ่มฝึกบำเพ็ญ รอคอยคำตอบจากจอมอริยะเสวียนตู
ในเวลาเดียวกันนี้
จอมอริยะเสวียนตูเรียกรวมตัวเหล่าอริยชน หานเจวี๋ยก็ไปด้วย
เขาจำเป็นต้องช่วยพูดให้มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อ เลี่ยงไม่ให้เหล่าอริยชนรู้สึกระแวง
ภายในตำหนักเอกภพ จอมอริยะเสวียนตูบอกเล่าถ้อยคำของมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อ
“เผ่าหายนะต้องการตั้งถิ่นฐานในยมโลก ซ้ำยังจะคืนยมโลกให้ครึ่งหนึ่งอย่างนั้นหรือ” เทพสูงสุดหนานจี๋ขมวดคิ้วพลางถาม สีหน้าขุ่นข้อง
เหล่าอริยชนก็รู้สึกฉงนมากเช่นกัน
หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นว่า “เผ่าหายนะอาจจะไม่อยากถูกควบคุมโดยอริยะมหามรรค ดังนั้นจึงไม่รุกคืบเข้าสู่โลกคนเป็น พวกเราลองตกลงดูก่อนได้ ถึงอย่างไรยมโลกก็ถูกเผ่าหายนะยึดครองแล้ว หากมองกันในการศึก เผ่าหายนะกำลังยอมถอยให้”
เมื่อฉิวซีไหลได้ฟังก็เอ่ยขึ้นมาทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ลองตกลงไปก่อนเถิด”
เทพสูงสุดอู๋ฝ่าก็เห็นด้วย “สหายเต๋าหานพูดมีเหตุผล”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยก็เอาด้วย “ข้าเห็นด้วย”
หลี่เต้าคงย่อมไม่คัดค้าน “เจ้าสำนักกล่าวถูกแล้ว”
สือตู๋เต้ากวาดตามองพวกเขา เริ่มใช้ความคิด
มหาจักรพรรดิเซียวหรี่ตาลง ตกอยู่ในห้วงความคิด
จอมอริยะเสวียนตูเหลือบมองหานเจวี๋ยอย่างมีเลศนัยแวบหนึ่ง
หานเจวี๋ยไม่สนใจ และไม่กลัวถูกสงสัยด้วย ถึงอย่างไรตอนนี้ก็นับว่ามรรคาสวรรค์ถูกเขาควบคุมแล้ว หากจอมอริยะเสวียนตูฉลาด ย่อมไม่มีทางเปิดโปง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็รับปากนางไปก่อน รอดูท่าทีของเผ่าหายนะหลังจากนี้”
จอมอริยะเสวียนตูใคร่ครวญพลางเอ่ยสรุป เหล่าอริยชนไม่คัดค้าน การหารือครั้งนี้จึงยุติลง
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังจะจากไป ฟางเหลียงกลับถ่ายทอดเสียงมาหาเขา “อาจารย์ปู่ มาสนทนากับข้าที่วังวิถีสวรรค์ได้หรือไม่ขอรับ”
หานเจวี๋ยเคลื่อนย้ายไปที่วังวิถีสวรรค์ทันที ฟางเหลียงปรากฏตัวตามมา
ผนึกควบคุมของวังวิถีสวรรค์คล้ายจะว่างเปล่าเลื่อนลอยสำหรับหานเจวี๋ย
ฟางเหลียงลอบหวั่นใจ ตอนนี้อาจารย์ปู่แข็งแกร่งขนาดไหนกัน
ต่างทราบกันถ้วนหน้ามานานแล้วว่าหานเจวี๋ยเป็นอริยะเสรี แต่เหล่าอริยชนต่างรู้ดีว่าระดับความก้าวหน้าของหานเจวี๋ยเกินเลยไปมากนัก ผ่านมานานหลายปี ต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมแน่นอน
หานเจวี๋ยจ้องมองฟางเหลียง รอให้เขาเปิดปากพูด
ฟางเหลียงถาม “หาได้ยากนักที่ท่านจะเป็นฝ่ายเอ่ยเสนอขึ้นมาก่อน หรือเหตุผลที่มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อยอมล่าถอยจะเกี่ยวข้องกับท่าน”
หานเจวี๋ยย้อนถาม “สำคัญมากนักหรือ”
ฟางเหลียงกล่าวว่า “ย่อมสำคัญขอรับ ทันทีที่เผ่าหายนะตั้งรกรากในมรรคาสวรรค์ ย่อมจะผนวกรวมเข้ามาในไม่ช้าก็เร็ว ถึงขั้นที่มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อสามารถอาศัยดวงชะตามรรคาสวรรค์ของเผ่าหายนะสำเร็จเป็นอริยะมรรคาสวรรค์ได้”
หานเจวี๋ยไม่ได้ตอบ
ฟางเหลียงกล่าวต่อว่า “อาจารย์ปู่ ด้วยความช่วยเหลือของอริยชนทุกท่าน ข้าจึงตามหาแผ่นหยกนำโชคทั้งหมดครบแล้ว ข้ากำลังเตรียมผสานมรรคและผสานรวมกับจิตวิญญาณมรรคาสวรรค์ไปพร้อมกัน ป้องกันไม่ให้จิตวิญญาณมรรคาสวรรค์สร้างปัญหาแทรกซ้อน”
หานเจวี๋ยถาม “หลังจากผสานมรรค จะส่งผลดีต่อมรรคาสวรรค์อย่างไร”
“แตกต่างไปจากการผสานมรรคของบรรพชนเต๋า ข้าตัดสินใจจะเอาอย่างผานกู่ขอรับ ผสานร่างกับมรรคาสวรรค์ ขยายขอบเขตมรรคาสวรรค์ ช่วยให้มรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้น” ฟางเหลียงกล่าวอย่างจริงจัง
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วถามต่อว่า “บรรพชนเต๋าให้เจ้าทำเช่นนี้หรือ”
“มิใช่ขอรับ เป็นความคิดของข้าเอง”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เจ้าคิดมิได้รับผลกระทบมาจากบรรพชนเต๋า เจ้ากลายเป็นบรรพชนเต๋าแล้ว ตอนนี้จะผสานเข้ากับมรรคาสวรรค์อีก ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่ส่งผลดีกับตัวเจ้าเลย เจ้ากำลังปูทางให้บรรพชนเต๋าอย่างสมบูรณ์”
หานเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน เส้นทางที่ฟางเหลียงเลือกเดินเริ่มบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ถึงแม้เจตนาของฟางเหลียงจะทรยศต่อสำนักซ่อนเร้นไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดร้ายต่อหานเจวี๋ยเลย และไม่เคยพุ่งเป้าไปที่สำนักซ่อนเร้น กล่าวก็คือออกจากสำนักซ่อนเร้นเพียงในนามเท่านั้น มิได้บาดหมางต่อต้านสำนักซ่อนเร้น ในสถานการณ์เช่นนี้ หานเจวี๋ยยังคงอยากดึงสติเขาไว้
ฟางเหลียงเงียบไป
ก่อนจากไปหานเจวี๋ยทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง “เจ้าลองคิดดูให้ดีอีกครั้ง เจ้ากำลังแสวงหาสิ่งใดอยู่กันแน่ เพียงไล่ไขว่คว้าเติมเต็มปณิธานของบรรพชนเต๋าเช่นนั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าเป็นผู้ใด เจ้ายังใช่ฟางเหลียงหรือไม่”
ฟางเหลียงขมวดคิ้วแน่น คำพูดของหานเจวี๋ยสะกิดโดนจิตวิญญาณของเขา
จู่ๆ เขาก็รู้สึกราวกับตื่นรู้ขึ้นมา
เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่
….
เมื่อกลับถึงเขตเซียนร้อยคีรี หานเจวี๋ยใช้ความสามารถวิวัฒนาการทันที
‘หลังจากฟางเหลียงผสานมรรค มรรคาสวรรค์จะเป็นอย่างไร’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
หานเจวี๋ยเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาพบว่าตนมาโผล่ ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
ประกายแสงเจิดจ้าพร่างตาสาดส่องลงมาจากด้านบน ส่องสว่างไปทั่วชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
หานเจวี๋ยมองเห็นเหล่าอริยชน ทั้งหมดยืนอยู่หน้าตำหนักเอกภพ เงยหน้ามองขึ้นไป
เขาเงยหน้ามองตามเช่นกัน มีเงาร่างหนึ่งอยู่ใจกลางแสงเจิดจ้า
ฟางเหลียง!
ฟางเหลียงกำลังผสานมรรคอยู่!
แรงกดดันมหาศาลเข้าปกคลุม นั่นเป็นกลิ่นอายที่ห่างชั้นจากอริยะเสรีมากมายนัก!
หานเจวี๋ยหรี่ตาลง
เขามองเห็นว่ารูปร่างของฟางเหลียงกำลังเปลี่ยนแปลงไป
ผิดปกติ
“น้อมคารวะบรรพชนเต๋า!”
จู่ๆ เหล่าอริยชนก็ขานขึ้นพร้อมกัน พากันคุกเข่าลง แต่ละคนมีสีหน้าท่าทางตื่นเต้น
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
“ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ มรรคาสวรรค์ได้รับการพิทักษ์ดูแลจากพวกเจ้า พวกเจ้าทำได้ดีมาก ข้าชื่นชมนัก”
น้ำเสียงที่เปี่ยมความผันผวนแว่วขึ้น มิใช่เสียงของฟางเหลียงอีกต่อไป
บรรพชนเต๋า!
บรรพชนเต๋าตัวจริง!
เกิดอะไรขึ้น
ฟางเหลียงถูกยึดร่างเช่นนั้นหรือ
คิ้วของหานเจวี๋ยขมวดแน่นขึ้นกว่าเดิม เขาไม่สามารถวิวัฒนาการทุกเรื่องที่เกี่ยวกับบรรพชนเต๋าได้ ที่ครั้งนี้ทำนายถึงบรรพชนเต๋าได้ก็เพียงเพราะเกี่ยวข้องกับฟางเหลียง
ดูเหมือนก็ยังพอจะมีช่องทางทำนายถึงบรรพชนเต๋าได้ ขอเพียงค้นพบตัวตนที่มีบ่วงกรรมเกี่ยวข้องกับเขามากพอ ก็สามารถทำนายได้ แต่ก็คงเป็นเพียงในฉากที่บรรพชนเต๋ามีผลกรรมเกี่ยวเนื่องด้วยเท่านั้น
ในเวลานี้เอง แสงเจิดจ้าบาดตาพลันแผ่ขยายออกไปครอบคลุมทั้งชั้นฟ้าที่สามสิบสามไว้
“บรรพชนเต๋า ท่านจะทำอันใด”
จอมอริยะเสวียนตูร้องถามด้วยความตกใจ น้ำเสียงหวาดหวั่น
หานเจวี๋ยหันไปมอง พบว่าพลังเวทของเหล่าอริยชนถูกดูดดึงออกมาจากร่าง พุ่งขึ้นไปหาบรรพชนเต๋าที่ลอยอยู่ด้านบน
“ข้าต้องการทำให้มรรคาสวรรค์ได้ครอบครองฟ้าบุพกาลทั้งหมด คงต้องทำให้พวกเจ้าได้รับความอยุติธรรมแล้ว นับจากนี้ไป มรรคาสวรรค์จะมิมีอริยะอีก”
เสียงของบรรพชนเต๋าราบเรียบยิ่ง ไร้ซึ่งระลอกอารมณ์
ภาพลวงตาสิ้นสุดลง
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วแน่น!
เป็นอย่างที่คิด ฟางเหลียงเป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่ง ซ้ำยังเป็นเบี้ยที่ถูกหลอกใช้ด้วย!
ดูเหมือนบรรพชนเต๋าจะมีความสามารถที่คล้ายกับคุกสวรรค์อนธการอยู่!
ไม่ได้การแล้ว!
กว่าหานเจวี๋ยจะทำให้รูปการณ์ของมรรคาสวรรค์เกิดความกลมเกลียวเช่นในยามนี้ได้ไม่ง่ายเลย ไม่มีทางปล่อยให้บรรพชนเต๋ามาทำลายเด็ดขาด
หากบรรพชนเต๋าฟื้นคืนชีพ เช่นนั้นมรรคาสวรรค์อาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับหานเจวี๋ยอีก!
………………………………………………………………