ตู๋กูซิงหลันหมดแรงจนแทบหมดชีวิต นางแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว!
หลังค่ำคืนวันที่สาม เนื่องเพราะจีเฉวียนมีธุระจำต้องออกไปครู่หนึ่ง นางถึงได้สบโอกาสออกมาจากประตูมาสูดอากาศได้บ้าง
ตลอดสามวันที่ผ่านมาไม่ได้ออกจากประตูห้องเลย
เสียงสั่นสะเทือนในห้องอึกทึกครึกโครมมาก ตลอดสามวันนี้จำเป็นต้องปิดประตูหน้าต่างเอาไว้ตลอดเวลา
นางและจีเฉวียนต่างก็มีตบะสูง ต่างก็ฝึกฝนจนถึงขั้นที่ไม่จำเป็นต้องกินอาหารแล้วด้วยซ้ำ พอผ่านไปสามวันนางถึงค่อยคิดได้ว่า พวกนางพัวพันรันตูกันตลอดสามวัน โดยไม่ได้กินข้าวเลยแม้แต่คำเดียว
ตอนนี้แค่จะก้าวเดิน ก็ยังรู้สึกปวดเมื่อย โอ้ย เจ็บๆไปหมด
นางพึ่งจะออกไป ก็มองเห็นคนผู้กลุ่มหนึ่งบุกเข้ามา
คนตระกูลตู๋กู ท่านตา พี่ใหญ่ พี่รอง ดวงตาสามคู่จับจ้องมาที่นางอย่างไม่กระพริบ
ในมือของตู๋กูจุนยังประคองขาหมูที่หั่นมาเรียบร้อยแล้วเอาไว้จานหนึ่ง พอเปิดฝาออก ทั้งกลิ่นหอมและควันฉุยก็ลอยออกมา
“น้องเล็กคงจะทั้งเหนื่อยและหิวมากแล้ว”
จานขาหมูถูกตู๋กูเจวี๋ยชิงจากมือของตู๋กูจุน ประคองมาให้กับตู๋กูซิงหลัน
เสื้อผ้าของตู๋กูซิงหลันหลวมคลาย เส้นผมก็รุ่ยร่าย เผยให้เห็นว่าบนลำคอมีแต่ร่องรอยอยู่เต็มไปหมด
“เจ้าตัวร้ายนั่น มันไม่ใช่คนหรือยังไง ทำไมถึงได้ทำอะไรรุนแรงปานนี้?” ตู๋กูเจวี๋ยปากไวกว่าใครอยู่แล้ว จึงพูดออกมาโดยไม่ยั้งคิด
แต่งงานแล้วก็เอาแต่อยู่ในห้องถึงสามวันสามคืน บ้านไหนใครเขาทำกันเช่นนี้บ้าง?
เช่นนี้น้องเล็กจะทานทนไหวได้อย่างไร?
เขาพูดไป ก็คีบเอาขาหมูไปป้อนใส่ปากของน้องเล็ก
ตู๋กูซิงหลันคิดถึงภาพตลอดสามวันที่ผ่านมานี้ ก็อดไม่ได้ที่จะใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา ฝ่ามือข้างหนึ่งตบลงไปบนบ่าของตู๋กูเจวี๋ย “พี่รอง นั่นเป็นสามีของข้า จะไปเรียกว่าเจ้าตัวร้ายได้อย่างไร”
ว่าแล้ว นางก็อ้าปาก เคี้ยวขาหมูที่เขาส่งให้ลงไป
“อาโยว เจ้ายังจะปกป้องเขาอีก เปลี่ยนฝั่งได้รวดเร็วเหลือเกิน!” ตู๋กูเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะกระแนะกระแหนนางไปอีกสองคำ พอคิดว่าต่อไปบุรุษที่น้องเล็กจะรักและห่วงใยที่สุดก็คือจีเฉวียน ก็อดจะหึงหวงขึ้นมาไม่ได้
ละครหลอกลวงในงานอภิเษกที่ว่าน้องเล็กเป็นตัวจริงตัวปลอมนั่น พวกเขามิได้รู้สึกใส่ใจเลยสักนิด ทั้งยังคิดจะทุบตีฉางซุนซิ่วให้ตายไปอีกด้วย
“สามีของข้า ข้าไม่ห่วงใยเขาจะให้ห่วงใยใคร?” ตู๋กูซิงหลันหัวเราะฮิฮะ สามวันมานี้แม้ว่าจะทารุณไปเสียหน่อย แต่อย่างไรก็เรื่องของข้าวใหม่ปลามัน ที่คนอื่นไม่มีทางเข้าใจ
พอจีเฉวียนกลับมาถึง ก็ได้ยินประโยคนั้นเข้าพอดี
ต้นไม้โบราณที่อายุนับหมื่นปีพอได้ผลิดอกบาน ดวงหน้าก็มีแต่ความสดชื่น ในใจก็มีแต่ความหวานหอม
“หน้าไม่อาย!” ตู๋กูเจวี๋ยยื่นนิ้วจิ้มลงไปบนหน้าผากของนางครั้งหนึ่ง
ร่างกายของตู๋กูซิงหลันอ่อนปวกเปียกไปหมดแล้ว จึงไม่อาจต้านแรงผลักของเขาได้ นางหงายท้องกำลังจะล้มลงไปข้างหลัง
ตู๋กูเจวี๋ยกำลังจะเข้าไปรับ ก็รู้สึกว่ามีพลังขุมหนึ่งดึงเขาออกไปด้านหลัง
พอเขารู้ตัวอีกที น้องเล็กก็ถูกจีเฉวียนกอดเอาไว้ทั้งตัวแล้ว
เขาอุ้มนางในท่าเจ้าหญิง ราวกับเกรงว่าจะถูกใครมาแย่งชิงไป
อ้อมกอดของจีเฉวียนแสนจะมั่นคง พอตู๋กูซิงหลันถูกเขาอุ้มเอาไว้ จมูกก็ได้กลิ่นไม้หอมที่เฉพาะพิเศษจากกายของเขา ทำให้จิตใจของนางรู้สึกสงบและผ่อนคลาย
“ข้ากับซิงซิงเป็นสามีภรรยากัน มีเรื่องอะไรต้องอับอาย?” เขาใช้สองมือโอบกอดตู๋กูซิงหลันเอาไว้ พลางหันหน้าไปพูดกับตู๋กูเจวี๋ย
เห็นได้ชัดว่า วันนี้ตอนที่จีเฉวียนออกไปนั้น ก็ยังไม่ทันได้จัดการตนเองให้เรียบร้อย เส้นผมยังรุ่ยร่าย บนร่างกายยังมีกลิ่นอายของตู๋กูซิงหลันอยู่เลย
พอทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ก็ดูเหมือนภาพวาบหวามที่ผู้คนใฝ่ฝันกำลังมีชีวิตขึ้นมา
“อะแฮะๆ แฮ่ม” ตู๋กูเจวี๋ยทำเป็นไอออกมาแก้อาการเก้อเขินของตน”
ท่านผู้เฒ่ากับตู๋กูจุนยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง
ท่านผู้เฒ่าไขว้สองมือเอาไว้ที่ด้านหลัง มองดูเหมือนจะเข้มงวดอยู่บ้าง “ถึงจะเป็นคนหนุ่มสาว แต่ก็อย่าได้ถึงกับเลยเถิด วันเวลายังมีอีกยาวไกล”
คำพูดบางคำเมื่อพูดออกไป แม้จะล้ำค่า….แต่คนหนุ่นคนสาวก็ไม่มีทางเข้าใจ รอจนอายุมากขึ้น….ค่อยรู้ความและน้ำตาไหล
ที่เขาพูดออกไป ก็มิใช่เพราะคิดถึงความสุขในชีวิตของหลานสาวสุดที่รักหรอกหรือ
ไหนจะคิดว่า พึ่งพูดจบ ก็ได้ยินจีเฉวียนเอ่ยตอบกลับมาว่า “ท่านตาโปรดวางใจ ข้ามีกำลังวังชาดี อย่างไรก็ไม่มีทางล้มง่ายๆอยู่แล้ว”
พี่ใหญ่และพี่รอง “…..” เฮอะ ไอ้หน้าเหม็นไม่รู้จักอาย! คิดจะพูดข่มพวกเขาที่ยังไม่ได้แต่งงานหรือยังไง?
ไหนจะไปคิดว่าเจ้าคนไร้ยางอายยังจะเสริมขึ้นมาอีกประโยค “ข้าต้องขยันให้มาก จึงจะสามารถทำให้ท่านกลายเป็นท่านทวดได้มิใช่หรือ?”
ท่านผู้เฒ่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง คำพูดนี้นับว่ามีเหตุผล
จึงรีบพยักหน้าให้ “เช่นนั้นก็ต้องรีบหน่อยแล้ว”
เขาก็อายุป่านนี้แล้ว คาดว่าอีกไม่นาน ก็คงจะนำทัพออกรบไม่ไหว หน้าที่ปกป้องชาติบ้านเมืองก็คงต้องส่งมอบให้กับเจ้ากระต่ายเปรียวสองตัวนั้น เขาบุกตะลุยมาตลอดชีวิต ตอนนี้ย่อมคิดจะพักผ่อน อยู่บ้านเลี้ยงดูเหลนแล้ว
สองพี่น้องหันไปมองดูประกายตาของท่านผู้เฒ่า มันง่ายเกินไปหน่อยไหม ไม่มีหน้ามีตาเอาเสียเลย! แค่ได้ยินคำว่าเหลนขึ้นมาสายตาก็ถึงกับเป็นประกายขนาดนั้นเชียวหรือ!
พอเห็นสายตาของเจ้าใหญ่และเจ้ารองที่มองมาที่เขา ท่านผู้เฒ่าก็ตวัดสองฝ่ามือออกไป
“ไม่ต้องไปรบกวนเวลาของน้องสาวและน้องเขยของพวกเจ้าแล้ว เจ้าพวกลูกกระต่ายพวกเจ้าต้องเรียนรู้จากน้องเขยเอาไว้ให้มากๆ! มีเหลนให้กับข้าหลายๆคนไวๆ!”
สองพี่น้อง “…..”
เช่นนั้นก็ต้องมีคู่ครองก่อนมิใช่หรือ? มันคงไม่สามารถเอาออกมาจากอากาศได้กระมั้ง?
ตู๋กูเจวี๋ยพึมพำออกมาว่า “ชือหลีของข้ายังไม่ได้ฟื้นคืนชีวิตมาเลย….”
คิดๆแล้วก็ทั้งยากลำบากและช่างน่าเศร้านัก
ว่าแล้ว เขาก็โยนปัญหานี้กลับไปให้ตู๋กูจุน “พี่ใหญ่มิใช่ว่าชื่นชอบองค์หญิงใหญ่หรอกหรือ? ท่านก็รีบหน่อยสิ! แค่แต่งเข้าบ้านมาก็สามารถทำให้ความฝันของท่านตาเป็นจริงได้แล้ว ทางที่ดีนะ รีบมีเหลนคนโตออกมาก่อนน้องเล็กด้วยเลย!”
คืนนั้น พี่ใหญ่ออกปากปฏิเสธหยวนเมิ่งในมื้ออาหารค่ำของครอบครัว ช่างปฏิเสธได้อย่างชัดเจนนัก!
ตู๋กูจุนถูกดึงออกมาเป็นกำบังเช่นนี้ สีหน้าก็ปั้นยากกว่าเดิม
นับตั้งแต่หลังงานเลี้ยงอาหารค่ำในครอบครัววันนั้น เขาก็มิได้พบองค์หญิงใหญ่มาหลายวันแล้ว ถึงแม้ว่าองค์หญิงใหญ่ก็ยังคงจะนำซุ่นเอ๋อร์มาที่จวนบ่อยๆก็ตาม
ตอนนี้อาการปวดศีรษะของเขา ยิ่งทีก็ยิ่งหนักขึ้นทุกๆวัน
“จริงด้วย ในเมื่อเจ้าชื่นชอบองค์หญิงใหญ่ ข้าเองก็เห็นว่าองค์หญิงนางจะทรงมีพระทัยให้เจ้าอยู่บ้าง เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะลงมือได้แล้ว รีบแต่งเข้ามาเร็วๆ เด็กน้อยซุ่นเอ๋อร์นั่นข้าก็เห็นว่าน่าเอ็นดูอยู่เหมือนกัน”
ที่จริงในใจของท่านผู้เฒ่าชื่นชอบหยวนเมิ่งมากกว่า แต่ว่าในเมื่อเจ้ากระต่ายใหญ่มันชื่นชอบองค์หญิงใหญ่ เขาก็ไม่คิดจะบังคับอะไร
เรื่องความรักของลูกหลาน เขาไม่เคยคิดจะไปบังคับกะเกณฑ์อะไร ขอเพียงพวกเขาชอบพอ และมีความสุขก็พอแล้ว
ตู๋กูซิงหลันอยู่ในอ้อมแขนของจีเฉวียน พอได้ยินเรื่องนี้ก็ต้องรู้สึกเสียดายแทนหยวนเมิ่ง
เมื่อท่านผู้เฒ่าเอ่ยปากออกมาเช่นนี้ ตู๋กูจุนก็ไม่กล้าที่จะไม่ตอบคำถาม
เขากำลังจะพูด สายตาก็มองออกไปที่นอกประตูของตำหนักตี้หัวกง พริบตานั่นก็มองเห็นร่างในชุดสีม่วงในทันที
นั่นคือ…..
“หยวนเมิ่ง?”
พอได้ยินตู๋กูจุนเอ่ยเรียกหยวนเมิ่ง สายตาของทั้งหมดก็มองไปที่ประตูใหญ่
หยวนเมิ่งกำลังจะจากไป ตอนนี้พอถูกเรียกเอาไว้ ก็จำต้องชะงักฝีเท้าไปครู่หนึ่ง
น้อยนักที่ตู๋กูจุนจะเรียกชื่อของนาง ที่ผ่านมาเขามักจะเรียกนางว่าแม่นางหยวนอยู่เสมอ
อยู่ๆพอถูกเขาเรียกขึ้นมาเช่นนี้ นางก็ตกใจไปเหมือนกัน
ในเมื่อถูกพบเห็นแล้ว หากยังคิดจะหลบหน้าไป ก็ดูจะเสียมารยาทอย่างยิ่ง
ครู่หนึ่ง หยวนเมิ่งถึงได้เดินจากประตูใหญ่เข้ามาในตำหนัก นางมองไปที่ตู๋กูจุนเป็นอันดับแรก
ในเมื่อยังไม่อาจตัดใจได้ ดังนั้นพอเจอกับเขา หัวใจก็ยังเต้นระทึกไม่มีหยุด
…………………..