“ตอนนี้เผ่ามารปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง เผ่าสวรรค์ก็วางแผนการใช้อุบายอยู่ตลอด พวกเราเผ่าภูติ ไม่อาจหละหลวมเช่นนี้ไปเรื่อยๆ”
หลุนจ่วนอ๋องเปิดประเด็น
เหล่ายมราชต่างพากันมองไปที่ตู๋กูจุน เห็นกึ่งกลางหน้าผากของเขา มีไอหยินทอแสงออกมาอยู่เรื่อยๆ
จากนั้น ก็ปรากฏเป็นตราประทับดวงหนึ่งบนหน้าผากของเขา นั้นเป็นตราประทับยมราชประจำตัวของเขา
ดาบยักษ์ในมือก็สั่นสะท้านขึ้นมาราวกับว่าสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่าง
ตู๋กูจุนกุมด้ามดาบเอาไว้ในมือสายลมหนาวพัดมา เป่าเหงื่อบนตัวของเขาจนแห้งไป
เขาค่อยเก็บสายตาที่หันไปมองดูหยวนเมิ่งกลับมา
พอหันกลับไป หยวนเมิ่งก็ค่อยลืมตาขึ้นมา นางมองเห็นแต่ตู๋กูจุนที่หันแผ่นหลังของเขาให้กับนาง เขาไม่เคยหันมามองนางแม้แต่ครั้งเดียว
เช่นเคย….. เป็นเหมือนดังแต่ก่อน ไม่เคยชอบนางแม้แต่น้อย
จากนั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มๆของเขาเอ่ยว่า “ครั้งนี้ จะต้องให้พวกมัน จ่ายค่าตอบแทนบ้าง”
ประโยคนั้น ทำให้หัวใจของหยวนเมิ่งถึงกับเย็นวาบไปในทันที
คนเหล่านั้นที่เขาพูดถึง….ก็รวมนางเข้าไปด้วยใช่หรือไม่?
นางเป็นเผ่ามาร ที่เขาไม่อาจยอมให้คงอยู่ได้ตลอดกาล
“องค์หญิง…..พระองค์จะยังฝากความหวังเอาไว้ที่เขาได้อย่างไร พวกเราคือมาร …… จะอย่างไรก็ไม่อาจลืมฐานะของตนเองไปได้”
มารอสูรของนางคอยเตือนนางอยู่ตลอดเวลา เพราะมันกลัวว่าหยวนเมิ่งจะทำอะไรที่ไม่ควรทำด้วยความหุนหันพลันแล่นออกไป
หยวนเมิ่งยืนอยู่ในที่เดิม มองดูเงาหลังของตู๋กูจุนอย่างเงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่ได้ยินเขาเอ่ยชื่อนางออกมาแม้แต่คำเดียว
เขาได้ความทรงจำของซือหนานกลับมาแล้ว แต่กลับไม่ยินยอมหันมามองดูนาง ไม่คิดจะพูดอะไรกับนางแม้สักคำ
เป็นเพราะเกลียดชังเข้ากระดูกดำเลยใช่ไหม?
ตอนที่พวกนางเป็นตู๋กูจุนกับหยวนเมิ่ง หยวนเมิ่งสามารถไล่ตามเขาได้โดยมิต้องสนใจสิ่งใด
แต่ว่าเมื่อพวกนางเป็นซือหนานกับหลีเกอ นางก็ไม่อาจเข้าใกล้เขาได้อีกแล้ว
หัวใจของหยวนเมิ่งบีบรัดอยู่ตลอดเวลา นางกำลังพยายามเก็บงำความรู้สึกทั้งหมดลึกลงไปข้างใน ดัวยความกลัวว่าจะเผลอไผลแสดงออกมา
ที่จริงเหล่ายมราชต่างก็เห็นนางอยู่เหมือนกัน แต่ว่าไม่มีใครในพวกเขาคิดจะเอ่ยชื่อหลีเกอกับตู๋กูจุน
เรื่องในตอนนั้นผ่านพ้นไปแล้ว หากยังเอ่ยขึ้นมารังแต่จะยุ่งแยกเปล่าๆ เดิมทีพวกเขาทั้งสองจะอย่างไรก็ไม่เหมาะสมกันอยู่แล้ว
ใครจะไปคิดว่า วาสนาอาภัพนี้จะพัวพันมาจนถึงชาตินี้?
สุดท้ายหยวนเมิ่งก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง และก้าวที่ถอยออกไปนี้ ทำให้นางรู้สึกว่าชาตินี้นางกับเขาคงไม่มีความเป็นไปได้อีกแล้ว
ตู๋กูจุนหันหลังให้กับนาง ทั้งๆที่เขาเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของนาง แต่สุดท้ายก็มิได้หันหลังกลับไปมอง
ไม่มีใครรู้ว่าในใจของเขารู้สึกเช่นไร
และไม่มีใครถาม
จนกระทั่งเมื่อหยวนเมิ่งจากไปไกลแล้ว ตู๋กูจุนถึงได้เอ่ยถามฉู่เจียงขึ้นมา “เสินฟางกับซ่งชิงไต้ตอนนี้อยู่ที่ใดกัน?”
“ก่อนหน้านี้หวังเฟยเคยตรัสเอาไว้ว่า เสินฟางอยู่ในโลกอีกมิติหนึ่งที่เรียกว่าโลกปัจจุบัน”
ฉู่เจียงเงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยต่อว่า “ฝ่าบาทและหวังเฟยอาจจะสามารถเรียกเสินฟางกลับมาได้ เรื่องนี้มิต่อเป็นห่วงไป”
“ส่วนซ่งชิงไต้นั้น…..”
พอพูดถึงซ่งชิงไต้ ฉู่เจียงก็รู้สึกว่ามีประเด็นอยู่บ้าง
ยมราชองค์อื่นๆก็มีสีหน้าปั้นยาก
ทุกคนต่างก็รู้เรื่องราวที่ผ่านมาของซ่งชิงไต้
ซ่งชิงไต้…เดิมทีเป็นปราชญ์โอสถที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุดในวังตันติ่งกงสำนักเซียนอันดับหนึ่งในดินแดนจิ่วโจว
แต่น่าเสียดายที่พบกับด้ายแดงผลาญชะตา หลังแต่งงานให้กับศิษย์พี่ในสำนักเดียวกัน กลับถูกทำลายธาตุไฟที่เป็นพื้นฐานอันสำคัญที่สุดของผู้ปรุงโอสถไป สุดท้ายยังต้องตกตายอย่างอนาถถูกฉีกเนื้อถลกหนังออกมา
ตอนนั้นพอดีกับช่วงที่ซ่งหยู่หมิงหนึ่งในสิบยมราชหมดอายุไข หมิงอ๋องทรงสงสารซ่งชิงไต้ จึงได้ให้นางแทนตำแหน่งของหยู่หมิง
ตอนที่ยังอยู่ในเผ่าหมิง ทุกคนต่างก็มองออกว่า ซ่งชิงไต้หลงรักหมิงอ๋อง
แต่ว่าหมิงอ๋องมิได้ทรงมีพระทัยให้กับนางแม้แต่น้อย นอกจากเห็นว่านางเป็นลูกน้องคนหนึ่งแล้ว ก็ไม่เคยมีน้ำใจอื่นใดให้กับนางทั้งสิ้น
ต่อมาพอเกิดสงครามระหว่างเผ่าภูติเทพ ซ่งชิงไต้ที่ไม่ได้รับความรักจากหมิงอ๋อง ก็ไปหลงเชื่อคำหลอกลวงของพวกชาวสวรรค์ เปิดเผยความลับของเผ่าหมิงออกไป ทำให้ในสงครามภูติเทพ เผ่าภูติถึงกับจะล่มสลายทั้งกองทัพ
หลังจากนั้น ซ่งชิงไต้ก็ถูกฝ่าบาทเปลี่ยนให้เป็นตัวประหลาดที่ไม่มีผิวหนัง ขับไล่ออกไปจากเผ่าภูติ
และต่อมาไม่นาน เผ่าภูติก็ล่มสลาย ทั้งยังไม่ทันได้เสาะหาผู้ใดมาแทนที่ตำแหน่งของซ่งชิงไต้
ดังนั้นแม้ว่าซ่งชิงไต้จะถูกขับไล่ออกไปจากเผ่าภูติ แต่ว่านางก็ยังเป็นหนึ่งในสิบยมราชอยู่
ซ่งชิงไต้ผู้นี้ นับว่าเป็นคนที่น่าสงสารและก็น่าชิงชังเช่นกัน
แต่มิว่าจะพูดอย่างไร หากเผ่าภูติต้องการจะฟื้นฟู สิบยมราชย่อ,ไม่อาจขาดไปแม้แต่เพียงคนเดียว ดังนั้นมิว่าจะอย่างไรก็ต้องตามตัวกลับมา แล้วถอดตราประทับของหมิงอ๋องในตัวนางออกมา มอบให้ผู้อื่นจึงจะถูก
พวกเขาไม่มีใครคาดหวังว่าซ่งชิงไต้จะกลับใจได้หรอก
เนื่องเพราะในสงครามเทพภูติตอนนั้น ซ่งชิงไต้ มี ‘ผลงานโดดเด่นไม่อาจมองข้าม’
ชีวิตของคนเผ่าเดียวกันต้องมากมายที่สิ้นไป เหล่ายมราชมิว่าอย่างไรก็ไม่อาจให้อภัยนางได้อย่างเด็ดขาด
“พูดถึงซ่งชิงไต้ บางทีอาจสมควรกลับไปเสาะหาที่วังตันติ่งกงในแดนจิ่วโจวดู ข้าสังหรน์ใจว่านางอาจจะกลับไปที่นั่น” หลุนจ่วนอ๋องเอ่ยออกมา
เหล่ายมราชองค์อื่นก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
อาณาเขตที่หลุนจ่วนอ๋องเคยดูแลในเผ่าภูติอยู่ติดกับอาณาเขตของซ่งชิงไต้ ดังนั้นเขาจึงจดจำซ่งชิงไต้ได้ค่อนข้างละเอียดมาก
ดินแดนจิ่วโจว สำหรับพวกยมราชแล้ว จะว่าไปก็มิได้ไกลสักเท่าไร
“เช่นนั้นก็สมควรพานางกลับมาด้วยระยะเวลาที่สั้นที่สุด” ตู๋กูจุนพอได้ความทรงจำของซือหนานกลับมา แม้แต่น้ำเสียงและท่าทางก็เปี่ยมไปด้วยราศีของผู้นำที่เด่นชัด
ฉู่เจียงเองก็ถอยให้แต่โดยดี
ในบรรดาสิบยมราช ฉู่เจียงนับว่าเป็นคนที่ไร้กฏเกณท์ รักอิสระเสรีที่สุด
หากมิใช่เพราะว่าตู๋กูซิงหลันไปหาเขาด้วยตนเอง มอบหน้าที่ในการติดตามหาเหล่ายมราชไว้ เขาก็คงไม่มานั่งรวบรวมเหล่ายมราชอยู่ด้วยกันเช่นนี้
สำหรับซือหนาน ไม่เพียงแต่เป็นข่านอ๋อง (ราชันย์สังหาร) แต่ยังมีภาวะผู้นำที่เหนือธรรมดา
หากจะบอกว่าซือเป่ยน้องชายของเขาคือเทพสงครามของแดนสวรรค์ เช่นนั้นซือหนานก็คือเทพสงครามของเผ่าภูติ
ความสามารถของซือหนานมิได้ด้อยไปกว่าซือเป่ยแม้แต่น้อย
ตอนนั้นช่วงแรกๆที่ซือหนานกลายเป็นยมราช พวกเขาทั้งหลายที่เป็นยมราชอยู่ก่อน ต่างก็ไม่คิดจะยอมรับหรือถอยให้ แต่ละคนพลัดกันออกไปท่าสู่ตัวต่อตัวมาแล้วรอบหนึ่ง สุดท้ายทั้งหมดล้วนพ่ายแพ้ใต้เงื้อมือของซือหนาน
ในเรื่องของพลังฝีมือ พวกเขานับว่าไม่มีผู้ใดสามารถตามทันซือหนานได้เลย แม้แต่เสินฟางก็ยังด้อยกว่าซือหนานอยู่เล็กน้อย
หลังผ่านสงครามมามากมาย ก็ทำให้เจ้านายใหญ่เช่นพวกเขา ยอมรับในตัวของซือหนานขึ้นมาเช่นกัน ดังนั้นเหล่ายมราชทั้งสิบ จึงถือเอาซือหนานเป็นผู้นำ
ในเมื่อเขากลับมาแล้ว ฉู่เจียงก็ขี้เกียจจะใช้สมองไปกับการกังวลสนใจเรื่องเหล่านี้เช่นกัน ว่าตามผู้นำง่ายกว่าตั้งแยะ
ตู๋กูจุนออกคำสั่งให้ให้หลุนจ่วนอ๋องและไท่ซานอ๋องไปยังจิ่วโจวเพื่อเสาะหาซ่งชิงไต้ด้วยกัน
หลังจากนั้นก็มอบหมายงานบางอย่างให้เหล่ายมราชก่อนที่จะให้แยกย้ายกันไป จากนั้นเขาก็ไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักตี้หัวกง
ในเมื่อจดจำทุกอย่างได้แล้ว เช่นนั้นก็สมควรจะไปเข้าเฝ้าหมิงอ๋องอย่างเป็นทางการสักครั้ง
ดึกสงัดแล้ว
ตู๋กูซิงหลันเหนื่อยจนเอวแทบจะหลุด จีเฉวียนจุดกลิ่นกำยามหอมภายในตำหนัก ตู๋กูซิงหลันก็หลับไหลอย่างสนิทกว่าเดิม
ในห้องหนังสือ ยังคงมีแสงตะเกียงสว่างอยู่
ยามที่ตู๋กูจุนไปถึง จีเฉวียนก็สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย นั่งรออย่างเงียบๆอยู่บนเก้าอี้
ดูจากท่าทางของเขา คงจะคาดเดาเอาไว้แต่แรกแล้วว่าเขาจะต้องมาหา
ตู๋กูจุนพึ่งไปถึงเบื้องหน้าเขา ก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งถวายคำนับจีเฉวียน
“กระหม่อม ขอถวายพระพรฝ่าบาท”
จีเฉวียนปรายตาลงมามองดูตราประทับยมราชบนหน้าผากของเขาครู่หนึ่ง
เขาใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางเอาไว้ พิงร่างกับพนักอย่างเกียจคร้าน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเช่นเดิม “กลับมาแล้วหรือ?”
“พะยะค่ะ กระหม่อมกลับมาแล้ว”
……………………….