พอฟังเขาพูดจบ ตู๋กูจุนถึงกับพูดอะไรไม่ออก เงียบงันไปเนิ่นนาน
เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย เขานึกว่าหลีเกอสาบสูญไปนานหลายปีแล้ว ที่แท้นางกลับอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา
ผ่านวันและคืน เนิ่นนานนับหมื่นปี!
เขาคิดไม่ออกเลยว่า หลีเกอจะต้องรู้สึกเช่นไรบ้าง
ผู้ใดก็ไม่อาจมองเห็นนาง ไม่มีใครได้ยินนาง ขณะที่เผ่าของนางล่มสลายไปแล้ว นางกลับต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพังนานนับพันปี
ยามนี้ ตู๋กูจุนรู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจของเขาถูกแทงลึกลงไปดาบหนึ่ง
เขามิใช่ว่าไม่ได้รักหลีเกอ
ต่อให้เป็นเทพที่สูงส่งเพียงใด ก็ย่อมต้องมีสักวันที่หวั่นไหวใจ
และเพราะหัวใจที่หวั่นไหวนี้เอง จากที่เป็นแม่ทัพปราบมารแห่งแดนสวรรค์เขาก็กลายเป็นยมราชของเผ่าภูติ
เพียงแต่ว่าเพราะความวิตกกังวล เขาจึงเก็บงำความรักของเขาเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจตลอดมา
วิตกและกังวลจนมากเกินไป
จีเฉวียนมองดูเขานิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ตอนที่ตนเองเป็นหมิงอ๋อง เขาเองก็ไม่เข้าใจเรื่องราวของความรักเช่นกัน
ขณะที่ปลายนิ้วที่เคาะลงไปบนหน้าโต๊ะของเขาหยุดลง ดวงตาหงส์ก็กวาดมองไปที่ตู๋กูจุนอีกครั้ง ก่อนที่จะเอ่ยออกมาว่า “ก่อนหน้านี้เราก็เคยตัดสินใจเช่นเดียวกับเจ้ามาเหมือนกัน”
ตู๋กูจุนไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเขากำลังหมายถึงสิ่งใด
“เราเคยคิดว่า หากไม่ให้นางต้องมาเผชิญอันตราย หากอยู่ให้ห่างจากนางสักหน่อย ก็จะสามารถมอบความสงบสุขให้กับนางได้ แต่ว่าภายหลังจึงได้เข้าใจว่า นี่เป็นเพียงความต้องการของเราเพียงฝ่ายเดียว”
“หากว่าเราอยู่เคียงข้างนางตลอดเวลา นั่นต่างหากจึงจะทำให้นางสงบสุขและปลอดภัยที่สุด”
ตู๋กูจุนตกตะลึงไป
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า สักวันหนึ่งจะมาได้ยินคำพูดเช่นนี้จากพระโอษฐ์ของฝ่าบาท
ความรักที่ฝ่าบาททรงมีต่อน้องเล็กนั้น ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเป็นรักที่หนักแน่นซึมลึกถึงกระดูกเพียงไร
“หากว่าทั้งสองฝ่ายมิได้มีใจให้แก่กัน มิว่าอีกฝ่ายจะทุ่มเทสักเท่าไร ก็ล้วนเป็นเพียงความสูญเปล่า” แสงเทียนที่ไหววูบ ส่องเข้าไปในแววตาหงส์คู่นั้น
ที่เขาและซิงซิงสามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้ ต้องข้ามผ่านอุปสรรคมานานับประการ ดังนั้นจีเฉวียนจึงทนุถนอมความรักนี้อย่างยิ่ง
ชนิดที่เรียกว่า ประคองเอาไว้ในฝ่ามือ กอดเอาไว้ในหัวใจ ด้วยความเกรงกลัวว่าจะบอบช้ำหรือละลายหายไป
คราวนี้ ตู๋กูจุน ค่อยถามออกไปว่า “ฝ่าบาทต้องการให้ข้าดูแลองค์หญิงหลีเกอในชาตินี้กระนั้นหรือ?”
จีเฉวียนมิได้ปฏิเสธ ชาตินี้ ตู๋กูจุนคือพี่ใหญ่ของซิงซิง ชาติก่อนก็คือแม่ทัพคู่ใจของเขา มิว่าจะด้วยเหตุผลส่วนตัวหรือเพื่อเรื่องอื่น เขาก็หวังให้ตู๋กูจุนสามารถมีความสุขที่ตนเองปรารถนา
“แต่ว่าฝ่าบาท ในโลกนี้มิใช่ว่าทั้งสองรักใคร่แล้วก็จะได้ลงเอยด้วยกันเสมอไป”
ตู๋กูจุนนั่งหลังตรง “กระหม่อมเป็นยมราชของเผ่าภูติ ในใจไม่อาจมีเพียงความรักของบุรุษและสตรี”
“องค์หญิงหลีเกอเป็นเผ่ามาร พวกเรามีชะตาที่ไม่อยู่ด้วยกัน”
ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะกลายเป็นยมราชของเผ่าภูติไปแล้ว แต่ว่าเลือดในกายของเขาก็ยังเป็นสายเลือดของเทพในแดนสวรรค์
มือของเขาไม่เพียงแต่เปรอะเปื้อนไปด้วยชีวิตของเผ่ามารนับร้อยนับพัน
แต่เทพและมารนั้นเป็นปรปักษ์ต่อกัน ไม่อาจหลอมรวมกันได้
หากว่ายังฝืนจะอยู่ด้วยกัน ก็จะผิดต่อวิถีแห่งฟ้าดิน จุดจบนั้น….ยังอนาถกว่าร่างแหลกวิญญาณแตกสลายเสียอีก
เขาไม่กลัวตาย แต่ว่าเขาไม่ต้องการให้หลีเกอตาย
เขาจึงเลือก ที่จะให้หลีเกอได้อยู่อย่างปลอดภัย
ชาติก่อน ตอนที่เผ่ามารล่มสลาย และหลีเกอได้หายสาบสูญไปนั้น เขาก็เคยทุ่มเทออกเสาะหาว่าวิญญาณของนางไปเกิดในที่ใด
เขาเองก็เคยทุ่มเทเพื่อให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันมาแล้ว
แต่ว่าความพยายามทั้งหมดนั้นสุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า
ส่วนจีฉุน….ในชาติก่อนตอนที่เขาเสาะหาหลีเกอ เขาเคยเข้าใจผิดไปว่านางคือหลีเกอที่กลับชาติมาเกิดใหม่….ดังนั้นจึงได้ติดค้างจีฉุนไปชีวิตหนึ่ง
บางทีที่ชาตินี้เขาต้องเกี่ยวพันกับจีฉุนอยู่ตลอด ก็อาจเป็นเพราะโชคชะตาต้องการให้เขาชดใช้ให้กับนางก็เป็นได้
หากว่าเขาเป็นเพียงตู๋กูจุน…. เขาก็อาจจะใช้ชีวิตกับจีฉุนเพื่อชดใช้หนี้ชีวิตที่ติดค้างในชาติก่อน
แต่ว่าตอนนี้ เขากลับจดจำทั้งหมดได้แล้ว และเขาเองก็คือซือหนานด้วย
แค่เขาพูดออกมาเพียงไม่กี่คำ จีเฉวียนก็เข้าใจแล้วว่าเขาหมายความเช่นไร
แม้ว่าชาตินี้จะได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ซือหนานก็ยังคงตัดสินใจเลือกเช่นเดิม
ไม่อาจบอกว่าเขารักนางไม่มากพอ มิเช่นนั้นเขาเองก็คงไม่ละทิ้งทุกสิ่งในแดนสวรรค์เพื่อหลีเกอ และเป็นศัตรูกับทั้งเผ่ามารและแดนสวรรค์
แต่หากบอกว่าเขารักอย่างเกินพอ เขาก็ไม่มีความกล้าที่จะจับมือเคียงคู่กับหลีเกอ เผชิญหน้าภยันอันตรายทั้งหมดไปด้วยกัน
จีเฉวียนคิดว่าหากเขาเป็นซือหนาน การตัดสินใจของเขาคงจะแตกต่างไป
เขาพูดเพียงเท่านี้ ซือหนานเองก็มีความดื้อรั้นของเขาเองเช่นกัน
สำหรับจีเฉวียนแล้ว ทุกสิ่งที่เขาได้ทำไปในยามที่เป็นซือหนานนั้น นับว่าเพียงพอแล้ว
เรื่องอย่างพรหมลิขิตและความรักนั้น ไม่อาจบ่งบอกได้อย่างชัดเจน ต่อไปภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร ก็คงต้องดูที่การแสดงออกของเขาแล้ว
ทั้งสองเงียบงันไปครู่หนึ่ง
ตู๋กูจุนพยายามสงบจิตใจของเขาให้ราบเรียบ จากนั้นก็หันเหไปสู่หัวข้ออื่นต่อไป
“มิทราบว่าก้าวต่อไป ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์จะทำเช่นไร?
ตอนนี้สถานการณ์ของหกภพภูมิช่างพิลึกพิลั่นนัก
แม้แต่ตู๋กูจุนก็ยังคิดไม่ถึงว่า สักวันหนึ่งซือเป่ยก็จะก่อกบฏขึ้นมา
เขาคิดจะหยิบยืมพลังของเผ่ามาร เพื่อกลายเป็นผู้ควบคุมหกภพภูมิ ความคิดนี้ช่างเลอะเทอะและบ้าคลั่งนัก
หากว่าวันหนึ่งเขาสมประสงค์ขึ้นมา หกภพภูมิคงต้องสูญเสียชีวิตมากมาย
กับน้องชายฝาแฝดของตนเอง ตู๋กูจุนคิดว่าตนเข้าใจเขาดี
ความทะเยอทะยานของซือเป่ย เขาดูออกตั้งแต่ตอนที่อยู่ในแดนสวรรค์แล้ว
แต่ว่าซือเป่ยกลับมีความละโมบโลภมากยิ่งกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้เสียอีก
หากว่าซือเป่ยกลายเป็นประมุขผู้ปกครองทั้งหมดขึ้นมา ก็คงจะทำให้ทุกสิ่งย่ำแย่ยิ่งกว่าที่ตี้เสียได้ทำลงไปเสียอีก
“สังหารแดนสวรรค์ ลบล้างเผ่ามารทำลายต้นตอแห่งเภทภัย ให้หกภพภูมิได้อยู่อย่างสงบสุข”
จีเฉวียนมิใช่ผู้ที่ชื่นชอบสงคราม แต่ว่าก็มิได้ยินยอมให้ผู้ใดมารังแก
เขาจดจำความแค้น จดจำความแค้นได้เป็นอย่างดี!
เพียงแค่เรื่องที่แดนสวรรค์รังแกซิงซิง จีเฉวียนก็ไม่คิดจะปล่อยพวกมันไปอย่างนี้แน่นอน
แดนสวรรค์ สมควรหายไปจากหกภพภูมิเนิ่นนานแล้ว
ว่าแล้ว จีเฉวียนก็ปรายตาไปดูตู๋กูจุนแวบหนึ่ง “ซือเป่ยเป็นน้องชายของเจ้า”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงเย็นเฉียบกว่าเดิม “เขาต้องตาย”
“นับจากวันที่ออกจากแดนสวรรค์มา ก็ได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลซือทั้งหมดแล้ว ซือเป่ย…. กับข้าเป็นศัตรูกันมานานแล้ว”
จุดนี้ ซือหนานมิได้มีความลังเล
ในแดนสวรรค์ ความผูกพันใดๆล้วนบอบบางดุจแผ่นกระดาษ ต่อให้เป็นพี่น้องคลานตามกันมาก็ตาม…..
“เสินฟางอยู่ที่โลกปัจจุบัน ฝ่าบาทย่อมสามารถเรียกเขากลับมาได้ทุกเมื่อ ตอนนี้ยมราชของเผ่าภูตินั้นขาดเพียงแค่ซ่งซือไต้ผู้เดียวเท่านั้น รอให้เสาะหานางพบ สิบยมราชรวมตัว ฝ่าบาทย่อมสามารถมีพระบัญชา เผ่าภูติทั้งหมดย่อมกู่ร้องด้วยความฮึกเหิม ถึงตอนนั้น จักเป็นวันที่พวกเราเป็นฝ่ายบุกขึ้นไปบนแดนสวรรค์บ้าง”
ส่วนเรื่องของความรัก ย่อมต้องวางเอาไว้ที่ด้านข้างชั่วคราว ตู๋กูจุนไม่อาจสงบใจ ปลายนิ้วของเขาขยับไปสัมผัสด้ามดาบของดาบยักษ์เอาไว้
สิ่งที่เผ่าภูติต้องสูญเสียไปในชาติก่อน ชาตินี้ย่อมต้องทวงคืนกลับมาทั้งหมด
หากจะบอกว่าในหกภพภูมินี้ผู้ใดมีคุณสมบัติจะได้เป็นผู้ปกครองสูงสุดแล้วละก็ นั่นย่อมมีแต่เพียงฝ่าบาทเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าไปพักฟื้นสักระยะ เพื่อจะได้แสดงออกในยามศึกสงครามได้อย่างเต็มที่”
ซือหนานพึ่งจะฟื้นคืนกลับมา ย่อมต้องการเวลาสักช่วงหนึ่ง
“กลับไปพักผ่อนให้ดี ใคร่ครวญเรื่องที่เราได้พูดกับเจ้าไปให้มากๆ ชาตินี้…..อย่าได้ทำอะไรให้ต้องเสียดายอีก”
จีเฉวียนว่าแล้ว ก็สั่งให้หลี่กงกงส่งเขากลับไปด้วยตนเอง
ตลอดทางจากวังหลวงมาจนถึงจวนตระกูลตู๋กู หลี่กงกงก็รู้สึกว่าบรรยากาศดูแปลกๆ
ท่านแม่ทัพผู้พิชิตในวันนี้มีอะไรแปลกไปจากเดิม
…………………………
ลมหนาวในยามค่ำพัดแรงจนฝุ่นคลุ้ง ยามนี้เป็นยามโฉ่ว (ตี1-ตี3)แล้ว แต่เมื่อตู๋กูจุนไปถึงหน้าประตูจวนของตระกูลตู๋กูก็เห็นว่าที่หน้าประตูใหญ่มีสตรีในชุดสีขาวผู้หนึ่งพิงร่างอยู่กับพยัคฆ์หิน หลับอยู่
เขาหยุดฝีเท้าครู่หนึ่ง พอเดินเข้าไปใกล้ถึงได้เห็นว่าสตรีผู้นั้นก็คือ จีฉุน
“อ้ายโย่ว องค์หญิงใหญ่ ดึกดื่นน้ำค้างลงหนักเช่นนี้ ไยพระองค์จึงมาบรรทมอยู่ที่นี่?” หลี่กงกงรีบเดินเข้าไปประคองคนขึ้นมา
…………………