บทที่ 723 ผู้กำหนดชะตาเคราะห์ ชนรุ่นหลังของผานกู่
[หลี่เต้าคง: ระดับเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าระยะกลาง ผู้กำหนดชะตาเคราะห์ ผู้พิทักษ์สำนักซ่อนเร้น มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต เซียนกระบี่สมบูรณ์แบบ ผู้สืบทอดบรรพชนเต๋า สืบทอดรูปแบบเต๋าทั้งหมดของสามนิกายสำนักเต๋า เนื่องจากท่านเชี่ยวชาญมรรคกระบี่เทียมฟ้า จึงเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 6 ดาว]
ผู้กำหนดชะตาเคราะห์อย่างนั้นหรือ
หมายความว่าอย่างไร
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เขาจำเป็นต้องใช้ความสามารถวิวัฒนาการ สอบถามว่าผู้กำหนดชะตาเคราะห์เป็นใคร
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ผู้กำหนดชะตาเคราะห์: อิทธิฤทธิ์ดวงชะตามหามรรค เช่นเดียวกับดวงชะตามรรคาสวรรค์ นอกจากจะเป็นสถานะแล้ว ยังเป็นพลังอำนาจประเภทหนึ่งด้วย เป็นอิทธิฤทธิ์ประเภทหนึ่งที่สามารถเคลื่อนย้ายเคราะห์กรรมหายนะได้โดยไม่ได้รับผลกระทบจากบ่วงกรรมและแรงกรรม]
อิทธิฤทธิ์มหามรรคหรือ
หานเจวี๋ยนึกถึงจอมเทวาฟ้าบุพกาล หรือว่าเหล่าทวยเทพฟ้าบุพกาล้วนครอบครองอิทธิฤทธิ์ดวงชะตามหามรรคกันคนละอย่างเช่นนั้นหรือ
จากนั้น หานเจวี๋ยเข้าฝันหลี่เต้าคง
แดนความฝันก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
หานเจวี๋ยมองเห็นหลี่เต้าคงอยู่ในห้วงมิติเวิ้งว้าง หลี่เต้าคงสวมชุดสีดำ ผมดำปล่อยสยายตามธรรมชาติ ใบหน้าเย็นชา หว่างคิ้วประทับลวดลายกระบี่สีดำไว้
หลี่เต้าคงในเวลานี้ดูไม่เหมือนคนดีเลย
หลี่เต้าคงลืมตาขึ้น ดวงตาเจือแววสังหาร
หลังจากเขามองเห็นชัดเจนแล้วว่าเป็นหานเจวี๋ย ก็ระงับไอสังหารทันที
หลี่เต้าคงเอ่ยด้วยความแปลกใจ “เจ้าสำนัก ท่านรับรู้ได้ว่าข้าเกิดเรื่องใช่หรือไม่”
ในสถานการณ์ปกติหานเจวี๋ยไม่มีทางมาหาเขา
หากคำนวณกันตามเวลา หานเจวี๋ยน่าจะสิ้นสุดการปิดด่านแล้ว มาเข้าฝันเขาเร็วขนาดนี้ แปลว่าเป็นห่วงเขาจริงๆ
ในใจหลี่เต้าคงเต็มไปด้วยความตื้นตัน
ตามปกติหานเจวี๋ยดูเข้าถึงยาก เฉยชากับทุกคนเหมือนกันหมด แต่ยามที่เขาเผชิญปัญหา หานเจวี๋ยไม่เคยหลบเลี่ยงเลย
ก่อนหน้านี้โจวฝานเล่าเรื่องการลงมือช่วยเหลืออันน่าตะลึงของหานเจวี๋ยให้พวกเขาฟังผ่านหมื่นโลกาฉายชัด
หานเจวี๋ยเอ่ยสั้นๆ “เล่ามาเถอะ”
หลี่เต้าคงเล่าไปตามจริง เขาต้องการสืบข่าวมิ่ง จงใจทำตามคำยั่วยุของศัตรู ผลคือเขาและสือตู๋เต้าพ่ายแพ้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง หลี่เต้าคงก็มาอยู่ในมิติพิเศษแห่งหนึ่ง ภายในมิติมีแค่เขาคนเดียว เขาถูกแช่ไว้ในสระน้ำแห่งหนึ่ง ถูกพลังงานประหลาดบางอย่างปรับเปลี่ยนสังขารวิญญาณ เขาไม่สามารถขยับตัวได้
หลี่เต้าคงสัมผัสได้ว่าตนกำลังแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นจึงไม่เคยขอความช่วยเหลือผ่านหมื่นโลกาฉายชัด
“มิ่งมิได้มีคนเดียวกระมัง” หานเจวี๋ยถาม
หลี่เต้าคงพยักหน้ารับ “ขอรับ ข้าพบมิ่งไม่ต่ำกว่าสามคนแล้ว พวกเขาผลัดเปลี่ยนกันมาตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของตบะข้า แต่ข้ามองไม่เห็นใบหน้าของพวกเขา แปลกอย่างยิ่ง ข้ามองเห็นพวกเขาชัดๆ ทว่ากลับจดจำรูปลักษณ์ของพวกเขาไม่ได้เลย”
หานเจวี๋ยถาม “เช่นนั้นเจ้ารู้สึกอึดอัด หรือถูกพวกเขาควบคุมหรือไม่”
หลี่เต้าคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “น่าจะไม่ขอรับ หากว่าปรากฏสถานการณ์เช่นนั้นขึ้นจริง ข้าจะติดต่อไปหาสำนักซ่อนเร้นเป็นอันดับแรก”
หานเจวี๋ยพยักหน้าพลางกล่าวว่า “จำไว้ อย่าทะนงตัวไปเสียทุกเรื่อง วิชาอัญเชิญเทพที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้ามิใช่วิชาต้องห้าม เรียกหาข้าได้”
“เจ้าสำนักโปรดวางใจ ข้าอยากรอดูอีกสักระยะก่อน เพื่อสืบข่าวเกี่ยวกับมิ่ง”
“อืม”
หานเจวี๋ยสลายแดนความฝันทันที เลี่ยงไม่ให้ถูกมิ่งพบเห็น
ภายในอารามเต๋า
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น
มีมิ่งปรากฏขึ้นไม่ต่ำกว่าสามคนแล้วอย่างนั้นหรือ
มิ่งคือกลุ่มอิทธิพลแห่งหนึ่งหรือไร
หานเจวี๋ยคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ จึงเลี่ยงไม่คิดอีกต่อไป ถึงอย่างไรตอนนี้หลี่เต้าคงก็ยังสบายดี
ต่อให้หลี่เต้าคงพลาดท่าถูกจับเป็นทาส หานเจวี๋ยก็ยังมีความสามารถชำระล้างสมบูรณ์และคุกสวรรค์อนธการอยู่
หานเจวี๋ยมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง สังเกตสถานการณ์บำเพ็ญของเหล่าเทพมาร
และก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังเลย มู่หรงฉี่ จิ้งจอกชาด เทพมารขุนพลสวรรค์ กวนปู้ไป้ต่างพิสูจน์มรรคสำเร็จแล้ว
หานมิ่ง เทพมารกาลเวลา เทพมารข้ามภพและเทพมารหมอกเลือนต่างบรรลุถึงระดับครึ่งอริยะแล้ว
หานเจวี๋ยมองไปที่หยางตู๋
หยางตู๋ยังไปไม่ถึงระดับเซียนทองต้าหลัว ข้อจำกัดด้านคุณสมบัติร่างกายใหญ่หลวงเกินไปแล้วจริงๆ
ต้องรอไปอีกสักระยะหนึ่ง ขอเพียงหยางตู๋ฝึกบำเพ็ญถึงระดับเซียนทองต้าหลัว หานเจวี๋ยจะช่วยเปลี่ยนเขาให้เป็นเทพมารฟ้าบุพกาลก่อนกำหนด
จำเป็นต้องปล่อยให้ต่อสู้ดิ้นรนกับกาลเวลาด้วยตัวเองไปสักระยะก่อน ถึงจะได้สำนึกเห็นค่าในความกรุณาที่หานเจวี๋ยมอบให้
ลี่เหยาลืมตาขึ้น มองเห็นหานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้นข้างกาย จึงรีบลุกขึ้นมา
หานเจวี๋ยดึงนางให้นั่งลง ให้ความสนใจกับสถานการณ์บำเพ็ญในช่วงนี้ของนาง
ลี่เหยาพลันตื่นเต้นขึ้นมา เล่าอย่างฉะฉานต่อเนื่อง ไม่มีท่าทางเย็นชาเช่นในอดีตเลย
หลังกลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล ตบะของนางเรียกได้ว่าหนึ่งวันก้าวหน้าพันลี้ ถึงอย่างไรพลังวิญญาณในอาณาเขตเต๋าก็พรั่งพร้อมไร้สิ้นสุดอยู่แล้ว นางสามารถดูดซับปราณฟ้าประทานได้อย่างเต็มที่
มองเห็นนางมีความสุขเช่นนี้ อารมณ์ของหานเจวี๋ยเบิกบานขึ้นมาเช่นกัน
คนรอบข้างยังคงมีอิทธิพลต่อเขามากนัก!
หลายวันต่อมา หานเจวี๋ยกลับมาที่อาณาเขตเต๋าหลัก ปิดด่านฝึกบำเพ็ญต่อ
ไม่มีผู้ใดต้องการความช่วยเหลือจากเขา เขาก็สามารถฝึกบำเพ็ญอย่างสบายใจได้
หากไม่มีใครต้องการความช่วยเหลือจากเขาและไม่มีใครมาหาเรื่องเขาไปตลอดจะดีที่สุด เขาจะได้ฝึกบำเพ็ญไปตลอด จนกระทั่งอยู่บนจุดสูงสุด
….
ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ตำหนักเอกภพ เหล่าอริยะมารวมตัวกัน
จอมอริยะเสวียนตูถามว่า “หลี่เต้าคงกับสือตู๋เต้ายังไม่ส่งข่าวมาอีกหรือ”
ผานซินส่ายหน้า “ไม่มีเลย พวกเขาออกจากเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล และไม่พบเห็นร่องรอยการเผชิญความเสียหายใดๆ ในเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลเลย คาดว่าพวกเขาคงออกไปแสวงหาโชควาสนากันกระมัง”
เทพสูงสุดอู๋ฝ่าแค่นเสียง “พวกเขาช่างเป็นสุขกันเสียจริง ปกติอยู่ในมรรคาสวรรค์ก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว”
เหล่าอริยะต่างเห็นด้วย
แต่ก่อนพวกเขารู้สึกว่าพวกหลี่เต้าคงทั้งสองไม่แก่งแย่งอำนาจก็ดีแล้ว แต่เมื่อมรรคาสวรรค์พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ พื้นที่ที่เหล่าอริยะต้องรับผิดชอบก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเริ่มอิจฉาพวกหลี่เต้าคงทั้งสองขึ้นมาแล้ว
พัฒนาสำนักดวงชะตาแล้วอย่างไรเล่า
ตบะของตนต่างหากที่สำคัญที่สุด!
เสมือนหานเจวี๋ย สลัดการปกครองทุกอย่างให้พ้นมือ แต่ไม่มีลูกน้องคนใดกล้าหักหลังเขา
ส่วนพวกเขาถึงตื่นตัวตลอด แต่มักจะมีศิษย์ในสังกัดถูกล่อลวงไปเสมอ ถึงขั้นที่บางครั้งก็ปรากฏสถานการณ์ทรยศหักหลังขึ้น
“ระยะนี้มีชนรุ่นหลังของผานกู่ปรากฏตัวขึ้นในแดนเซียนและปวงสวรรค์หมื่นโลกามหาศาลนัก สหายเต๋าผาน เล่าสถานการณ์เถอะ” จอมอริยะเสวียนตูเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
หัวข้อการประชุมในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวภายในแดนเซียน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แจ้งต่อหานเจวี๋ย
ผานซินเอ่ยด้วยสีหน้าไม่น่ามอง “ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่ล้วนเป็นสายเลือดของผานกู่จริงๆ ข้าสงสัยว่าเทพยักษาผานกู่อาจยังไม่ตาย แต่คอยจับตามองมรรคาสวรรค์อยู่ในความมืดมิด ถึงขั้นที่ว่าเขาอาจจะเป็นมรรคาสวรรค์ก็ได้”
พอเขากล่าวเช่นนี้ เหล่าอริยะต่างมีสีหน้าแตกตื่นขึ้นมา
ฟางเหลียงกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้! มรรคาสวรรค์มิใช่ผานกู่ ดวงจิตมรรคาสวรรค์ผสานรวมกับข้าแล้ว มันเป็นดวงจิตเอกเทศ ตอนนี้ยังคงถูกระเบียบมรรคาสวรรค์ต่อต้านอยู่”
เทพสูงสุดหนานจี๋เอ่ยว่า “ชนรุ่นหลังเหล่านี้ของผานกู่มีคุณสมบัติอย่างไร”
จิ้นเสินตอบว่า “แข็งแกร่งมาก มีคุณสมบัติเป็นบุตรแห่งสวรรค์แทบทั้งสิ้น”
“นั่นมิใช่เรื่องดีหรอกหรือ”
“แต่มีจำนวนมากเกินไป หากผานกู่สามารถควบคุมพวกเขาได้ รอจนกระทั่งพวกเขากลายเป็นตัวหลักของดวงชะตามรรคาสวรรค์ ผานกู่อาจเข้าควบคุมมรรคาสวรรค์ผ่านทางพวกเขาโดยตรง”
จิ้นเสินเผยสีหน้าวิตกกังวลออกมา
จอมอริยะเสวียนตูเองก็ขมวดคิ้ว เรื่องนี้ตึงมือจริงๆ
พวกเขาไม่สามารถจับตัวชนรุ่นหลังเหล่านี้ของผานกู่มาตรงๆ ได้ เนื่องจากชนรุ่นหลังเหล่านี้ของผานกู่ต่างมีญาติสนิทมิตรสหายของตนอยู่ ถึงขั้นที่อยู่ในกลุ่มอิทธิพลด้วย แตะต้องสักคนจะสะเทือนไปเป็นวงกว้าง หากจับตัวชนรุ่นหลังทั้งหมดของผานกู่มา เกรงว่าคงทำให้สรรพสิ่งแตกตื่นเอาได้
ยามนั้น พวกเขาจะอธิบายอย่างไรเล่า
บอกว่าผานกู่เป็นศัตรูอย่างนั้นหรือ
ทว่าสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ทั้งหมด ผู้ใดบ้างที่ไม่นับถือในพระคุณของเทพยักษาผานกู่
ผานกู่ผันร่างสู่สรรพสิ่ง ถึงได้มีเหล่าสรรพสิ่งถือกำเนิดขึ้น!
………………………………………………………………