“ลุกขึ้นเถอะ” จีเฉวียนเคาะลงไปบนหน้าโต๊ะเบาะ “นั่งลงค่อยพูด”
“พะยะค่ะ” ตู๋กูจุนลุกขึ้นมา นั่งลงตรงหน้าจีเฉวียน
เขาวางดาบยักษ์เอาไว้ที่ข้างกาย ดวงตาทั้งสองมองตรงไปที่จีเฉวียน “ที่กระหม่อมสามารถกลับมาเกิดใหม่ได้อีกครั้ง
ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะฝ่าบาทรงทุ่มเทพลังทั้งหมดเปิดวงล้อวัฏสงสารขึ้นมา และส่งกระหม่อมข้ามไป กระหม่อมทราบซึ้งในพระกรุณา”
ชาติก่อน เขาตกตายใต้คมดาบ เกือบจะดวงจิตแตกสลายไปแล้ว แต่ว่าในช่วงวิกฤตนั้นเอง ฝ่าบาททรงดึงดวงวิญญาณของเขากลับไป และเปิดวงล้อวัฏสงสารขึ้นมาอย่างกระทันหัน จึงทำให้เขาได้กลายมาเป็นตู๋กูจุน
“เจ้าใช้ชีวิตปกป้องเผ่าภูติ เป็นวีระบุรุษของเผ่าภูติเรา ไม่จำเป็นจะต้องขอบคุณใดๆ” เส้นผมที่งดงามของจีเฉวียนพลิ้วขึ้นมาราวกับอยู่ในภาพวาด
เขากับซื่อมั่วรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ดังนั้นการที่เหล่ายมราชจะถือว่าเขาคือหมิงอ๋องก็ย่อมชอบด้วยเหตุผล
สงครามเทพภูติในตอนนั้น สองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายกันมากมาย เมื่อย้อนคิดกลับไป ในสมองก็ยังมีภาพของสรรพชีวิตที่ต้องกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมาน แม้ว่าจะได้ใช้พลังตบะทั้งหมดของตนเพื่อส่งดวงวิญญาณทั้งหมดไปสู่สุขติแล้ว แต่ว่าในใจของเขาก็ยังคงรู้สึกหนักอึ้งอยู่ดี
คำพูดเกรงอกเกรงใจทั้งหลาย ตู๋กูจุนไม่คิดจะพูดให้มากไปกว่านี้อีกแล้ว เขากับหมิงอ๋องนับว่ามีวาสนาเกื้อหนุนต่อกัน เมื่อผ่านเรื่องราวมากหลายมาด้วยกัน คำพูดเวิ้นเว้อต่างๆย่อมไม่จำเป็นอีกต่อไป
แสงเทียนให้ห้องพระอักษรกระพริบไหวน้อยๆ นิ้วของจีเฉวียนที่วางอยู่บนโต๊ะก็เคาะลงไปบนโต๊ะอยู่ตลอดเวลา
ครู่หนึ่ง เขาถึงได้เอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “หยวนเมิ่งก็คือ หลีเกอ องค์หญิงเผ่ามาร พลังมารในร่างของนางยังไม่ตื่นขึ้นมา จึงทำให้แม้แต่เราก็ดูไม่ออก”
พอคิดถึงหยวนเมิ่ง ใบหน้าของตู๋กูจุนก็ต้องเคร่งขึมลงไป
“ตอนนั้นที่เผ่ามารยังคงอยู่ นางไล่ตามเจ้าไปจนถึงแดนสวรรค์ แต่เจ้ากลับไม่เคยมองดูนางอย่างเต็มตาเลยสักครั้ง”
ตอนที่หยวนเมิ่งไล่ตามเขานั้น เผ่ามารยังอยู่ในยุคแห่งความรุ่งเรือง
คนหนึ่งคือนักรบสวรรค์ที่สูงส่ง อีกคนคือองค์หญิงของเผ่ามารที่ไม่อาจอยู่ใต้แสงสว่างไปตลอดกาล
มิว่าจะมองดูอย่างไรก็ไม่คู่ควรกัน
แต่ว่าหลีเกอที่อยู่ในวัยเยาว์นั้นเชื่อมั่นใจตนเองอย่างยิ่ง นิสัยก็ดื้นรั้น นางเป็นสตรีที่ทั้งไม่เชื่อฟัง และไม่ยอมละทิ้งเป้าหมายเด็ดขาด
เพื่อซือหนานแล้้ว นางถึงกับไล่ตามมาตลอดพันปี
นี่เป็นความมุ่งมั่นเพียงฝ่ายเดียวที่ไม่มีผู้ใดเห็นดีเห็นงามด้วยเลยสักคน
แต่ว่านางกลับยืนหยัดอย่างลำพังมาอย่างยาวนานนับพันปี
คำพูดของจีเฉวียนทำเอาตู๋กูจุนเงียบงันไปถึงพักใหญ่ สายตาของเขาอยู่ที่บนโต๊ะ มองดูจีเฉวียนเคาะโต๊ะเบาๆอยู่ตลอดเวลา เมื่อตกอยู่ในความเงียบ ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นก็ยังหมุนกลับมาในสมองของเขา
เดิมทีเขาคือบุตชายตนโตของตระกูลซือบนสวรรค์ เขาและน้องชายฝาแฝดซือเป่ยคือความภาคภูมิใจของแดนสวรรค์
ซือหนานแตกต่างจากซือเป่ยที่ชอบความสูงส่งหรูหรา เขาชอบเก็บงำซุกประกายมากกว่า ไม่เคยยอมพูดมาก
แต่ไหนแต่ไรเผ่ามารก็คือรากเหง้าแห่งความชั่วร้ายของหกภพภูมิ พวกมันปะปนอยู่ในหกภพภูมิ มันก่อเรื่องราวสร้างความไม่สงบให้กับหกภพภูมิอยู่เสมอ
และแดนสวรรค์ถือเป็นผู้นำของหกภพภูมิย่อมไม่อาจทนดูเผ่ามารกำเริบเสิบสานอยู่ใต้หนังตาของตนเอง
เมื่อนานมาแล้วอดีตจักรพรรด์แห่งสวรรค์ เคยแต่งตั้งซือหนานเป็นแม่ทัพใหญ่ นำกำลังพลหนึ่งแสนนาย ไล่ล่าสังหารเผ่ามาร
แต่ก่อนที่สงครามจะเริ่ม จอมมารได้ส่งองค์หญิงหลีเกอออกไป คิดใช้แผนสาวงามล่อลวงซือหนาน
ใครจะไปคิดว่า คนที่ใช้แผนการ สุดท้ายกลับตกลงไปในหลุมพรางของตนเอง?
ตอนนั้นองค์หญิงหลีเกอรับบัญชาให้มาหาทางเข้าใกล้ซือหนาน แต่นางก็คิดไม่ถึงว่า ตนเองจะกลายเป็นตกหลุมรักซือหนานเสียเอง
ในฐานะองค์หญิงของเผ่ามาร นางนับว่าทำผิดต่อหน้าที่ บังเกิดจิตปฏิพัทธ์อันไม่ควรจะมี ทั้งยังทุ่มเทเพื่อความรักนี้ด้วยการไล่ตามเขามานานถึงพันปี
แต่ก็เพราะตัวนาง…..แม้จะผ่านมาพันปีแล้ว แม่ทัพใหญ่ซือหนานก็ยังไม่อาจปราบปรามเผ่ามารได้จนหมดสิ้น
ตู๋กูจุนไร้คำพูดจะกล่าว ที่ฝ่าบาทรับสั่งมาทั้งหมดล้วนเป็นความจริง เขาไม่มีอะไรจะแก้ตัว
จีเฉวียนเคาะนิ้วลงบนโต๊ะอยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็ได้ยินเขาเอ่ยอีกว่า “แม้ว่าจะไม่เคยมองดูนางให้เต็มตา แต่ก็ยอมออกจากสรวงสวรรค์เพื่อนาง”
ใช่แล้ว ในหกภพภูมิผู้ใดจะรู้บ้างว่า ผู้ที่เป็นถึงแม่ทัพปราบมารของแดนสวรรค์ สุดท้ายแล้วกลับทำเพื่อองค์หญิงเผ่ามารที่อยู่ฝ่ายศัตรู ละทิ้งฐานะความสูงส่งทั้งมวล ละทิ้งความรุ่งโรจน์ทั้งหมดที่เขาเคยมี
เนิ่นนาน ตู๋กูจุนค่อยถอนหายใจออกมา “เมื่อในใจเกิดเมล็ดพันธุ์ความรักงอกเงย แล้วไหนเลยจะสามารถลงดาบกับนางและเผ่าพันธุ์ของนางได้กัน….”
ตอนที่ซือหนานเป็นแม่ทัพปราบมารนั้น มีเหล่ามารต้องตกตายใต้คมดาบของเขาไปนับไม่ถ้วน
แต่ว่าสุดท้าย เขากลับเลือกที่จะวางดาบสังหารลง เพื่อสาวน้อยของเผ่ามารผู้หนึ่ง
เขาสามารถปล่อยวางได้ แต่ว่าแดนสวรรค์กลับไม่ยินยอมให้เขาปล่อยวาง
ตระกูลซือก็ไม่ยินยอมให้เขาวางมือ!
เขาถูกแดนสวรรค์ขับไล่ในฐานะผู้ทรยศ และถูกเผ่ามารหมายหัวในฐานะหนามตำตา
สุดท้าย หมิงอ๋องทรงรับเขาเอาไว้ มอบฐานะยมราชให้แก่เขา นับแต่นั้นเป็นต้นมา แม่ทัพปราบมารผู้สูงส่ง จึงกลายเป็นยมราชที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าภูติ
แต่ว่าตั้งแต่ต้นจนถึงจบ ซือหนานก็มิเคยได้เคียงคู่กับหลีเกอ
เขาปฏิเสธนางครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับคนที่ไร้จิตใจไร้ผู้หนึ่ง
“เพื่อปกป้องนาง เจ้าจึงได้ปฏิเสธนางครั้งแล้วครั้งเล่า” คราวนี้ จีเฉวียนเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง “ตอนนั้น เราเองก็ไม่เคยมีความรัก จึงไม่เข้าใจ ตอนนี้เมื่อมีซิงซิงถึงได้รู้ว่า เจ้าเองก็ได้เสียสละเพื่อหลีเกอไปมากมาย”
มือของซือหนาน อาบไปด้วยเลือดของเผ่ามารนับพันนับหมื่นชีวิต หากว่าเขาดึงดันจะอยู่ร่วมกับหลีเกอจริงๆ เช่นนั้นองค์หญิงหลีเกอก็จะต้องได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรยศเผ่าพันธุ์
ดังนั้นเขาจึงได้ปฏิเสธหลีเกอครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะว่าเขาไม่ต้องการให้นางกลายเป็นศัตรูของส่วนรวม
“ยิ่งนางห่างไกลจากข้าเท่าไร ก็จะยิ่งปลอดภัยเท่านั้น” ตู๋กูจุนเอ่ยตอบ เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมวันนี้ฝ่าบาทถึงได้มาตรัสเรื่องนี้กับเขา?
พอเขาพูดมาถึงตรงนี้ นิ้วมือที่เคาะบนหน้าโต๊ะของจีเฉวียนก็พลันหยุดลง
ดวงตาหงส์คู่นั้นจ้องมองไปที่ตู๋กูจุน เนิ่นนานค่อยเอ่ยออกมาที่ละคำว่า “แต่ว่าสุดท้าย นางก็กลับต้องมาตายไป”
ประโยคนั้น ทำเอาหัวใจของตู๋กูจุนกระตุกอย่างแรงในทันที
ในชาติก่อน สุดท้ายแล้วเผ่ามารก็ถูกเผ่าเทพสังหารและทำลายจนแตกสลาย แต่ว่ากว่าจะทำได้นับว่าอดีตจักรพรรดิสวรรค์ต้องทรงใช้เวลาไปนานถึงหมื่นปีเลยทีเดียว
ในสงครามสุดท้ายของเผ่าเทพมาร เขาเคยออกตามหาหลีเกอ
แต่ว่ามิว่าจะหาอย่างไรก็หาไม่เจอ
พอเผ่ามารล่มสลายไปแล้ว หลีเกอก็หายสาบสูญไปเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะพลิกแผ่นดินตามหาไปทั่วทั้งหกภพภูมิ แต่ก็ไม่เจอร่องรอยของนางแม้แต่น้อย
ดังนั้น นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาจึงยิ่งเกลียดชังแดนสวรรค์ และในที่สุดก็ได้กลายเป็นข่านอ๋อง (อ๋องสังหาร)ของเผ่าภูติที่ผู้คนต่างก็เกรงกลัวกันทุกคน
ถึงขนาดที่ว่า ในชาติก่อน ตอนนั้นเขาถึงกับสังหารนักรบสวรรค์ไปมากกว่าห้าหมื่นนายด้วยฝีมือของตนเองเพียงผู้เดียว!
เขาต้องการจะใช้เลือดของพวกมันมาแทนเครื่องสังเวยชดเชยให้กับหลีเกอ
พอคิดถึงตรงนี้ ตู๋กูจุนก็อดไม่ได้ที่จะต้องกำหมัดให้แนบแน่น
เขากัดฟันกรอด เส้นเลือดบนใบหน้าปูดโปนขึ้นมาเต็มไปหมด
“มีเรื่องบางเรื่อง ที่ก่อนหน้านี้เราไม่ทันได้บอกกับเจ้า ชาติก่อนหลังจากที่เผ่ามารล่มสลายไปแล้ว หลีเกอก็อยู่ที่ข้างกายของเจ้าตลอดเวลา เคียงข้างเจ้าอยู่เสมอ”
ประโยคนี้ของจีเฉวียน ทำเอาตู๋กูจุนถึงกับนิ่งอึ้งไป
“เพียงแต่ว่าเจ้ามองไม่เห็นนาง ไม่ได้ยินเสียงของนาง เผ่ามารล่มสลาย หลีเกอเองก็ตายไปด้วย แต่ว่าจิตมารของนางมิได้แตกสลาย นางไล่ตามเจ้าอยู่ตลอด จนกระทั่งถึงยามที่เกิดสงครามเทพภูติที่เจ้าจบชีวิตไป”
พอพูดถึงตรงนี้จีเฉวียนก็เงียบงันไปครู่หนึ่ง จึงค่อยเอ่ยต่อไปว่า ตอนนั้นที่เราสามารถเรียกดวงวิญญาณของเจ้ากลับมาได้อย่างราบรื่น ก็เพราะว่ามีองค์หญิงหลีเกอให้ความช่วยเหลือ”
“สุดท้าย เราแผ่เมตตาต่อชีวิตทั้งหลาย จึงได้ส่งทุกชีวิตข้ามวงล้อวัฏสงสารไป รวมทั้งดวงวิญญาณของหลีเกอด้วย”
ดังนั้น นางจึงได้กลายเป็นหยวนเมิ่งในวันนี้
วาสนาอาภัพนี้ จึงได้สืบเนื่องจากชาติก่อนมาจนถึงชาตินี้
…………………..