ซูเยา “….” เขาเกือบจะกรอกตาบนใส่จีเฉวียนเสียแล้ว!
เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ ยังคงขี้หวงที่สุดอยู่เช่นเดิม!
จนถึงวันนี้อาหลันก็กำลังจะแต่ให้เขาอยู่แล้ว ก็ยังจะทำท่าหวงก้างอยู่นั้นแหละ ทำให้ผู้คนชื่นชอบเขาไม่ลงเลยจริงๆ
ยังคงเป็นซูจี่ที่ดูสถานการณ์ออก นางจึงลากน้องชายผู้โง่เขลาของตนเองกลับมาที่ข้างกาย
นางล้วงเอากล่องไม้ที่ปราณีตใบหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ ทันทีที่กล่องในนี้ปรากฏออกมา ก็ส่งกลิ่นหอมกำจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง ทำให้ในอากาศมีแต่กลิ่นหอมกำจาย นั่นเป็นกลิ่นของดอกไม้ที่สามารถทำให้ผู้คนหลงใหลจนเมามาย
“เจ้าจะอภิเษกทั้งที หุบเขาหมื่นปีศาจของข้าก็ได้แต่ต้องนำมุกวิญญาณบุปผานี้ออกมาเสียแล้ว”
ตอนนั้น สวนบุปผาวิญญาณในหุบเขาหมื่นปีศาจ ถูกท่านเจ้าสำนักดูดซับไปจนหมดสิ้นภายในคืนเดียว
มุกบุปผาวิญญาณนี้ คือรากฐานของสระบุปผาวิญญาณ บุปผาวิญญาณทั่วทั้งหุบเขาหมื่นปีศาจล้วนต้องอาศัยมันเพื่อการเกิดและเติบโต
ซูจี่ส่งมอบสิ่งนี้ให้กับตู๋กูซิงหลัน ก็เทียบเท่ากับว่านางได้มอบครึ่งหนึ่งของหุบเขาหมื่นปีศาจออกมา เพียงแต่นางมิได้อธิบายถึงความสำคัญอันยิ่งใหญ่ออกไปเท่านั้นเอง
หากจะถามนางว่าทำไมถึงได้มอบของขวัญที่สำคัญถึงเพียงนี้ให้กับตู๋กูซิงหลัน?
คำตอบก็คงเป็นเพราะว่านางคือคนในดวงใจของน้องชายผู้โง่เขลา อีกทั้งนางยังสามารถรอดชีวิตกลับมาจากแดนสวรรค์ได้สำเร็จ ของขวัญชิ้นนี้นางย่อมคู่ควรแล้ว
ตู๋กูซิงหลันรับของขวัญจากซูจี่ด้วยสองมือ
แม้ว่าจะไม่ได้เปิดออกมา แต่นางก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งจำนวนมหาศาลกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายใน
แค่ที่วันนี้ซูจี่สามารถมาร่วมงานได้ นางก็ประหลาดใจมากอยู่แล้ว แถมยังส่งมอบของขวัญที่ล้ำค่าให้อีก ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าช่างมากเกินไปจนนางชักจะละอายใจขึ้นมาบ้างแล้ว
ซูเยายืนอยู่ด้านข้าง เขารีบบอกให้นางรับเอาไว้ ในเมื่อเป็นของขวัญแต่งงานย่อมไม่อาจปฏิเสธ
ตู๋กูซิงหลันจึงมิได้บ่ายเบี่ยงอะไรอีก เพียงรับเอาไว้อย่างให้ความสำคัญ
ของขวัญเช่นนี้ สักวันนางย่อมต้องตอบแทนคืนให้อย่างแน่นอน
นางรับของขวัญเอาไว้ ค่อยหันไปเอ่ยกับซูจี่ว่า “บนแดนสวรรค์มีคนผู้หนึ่ง ต้องการให้ข้านำประโยคหนึ่งมาบอกกับท่าน
เงียบไปครู่หนึ่ง ตู๋กูซิงหลันก็เอ่ยออกมาว่า “เขาบอกว่า ความคะนึงหายาวนาน ไม่มีร้างรา”
คำพูดนี้ เดิมทีตู๋กูซิงหลันสมควรบอกกับซูจี่ตั้งแต่ตอนที่กลับมาใหม่ๆ แต่เพราะจิตวิญญาณของนางได้รับบาดเจ็บจึงทำให้เสียเวลาไปบ้าง
ประโยคนี้ พอพูดออกมาก็ทำให้ซูจี่หน้าเปลี่ยนสีไปในทันที
ไม่จำเป็นต้องให้ตู๋กูซิงหลันเอ่ยชื่อของคนผู้นั้นออกมา ซูจี่ก็เดาออกว่า คนผู้นั้นคือใคร
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตู๋กูซิงหลันจะได้ไปพบเจอคนผู้นั้นบนแดนสวรรค์
คนที่นางซูจี่แสนเกลียดชัง เกลียดถึงขั้นเข้ากระดูกดำ!
นางแค้นเขามานานถึงหมื่นปี!
มาถึงตอนนี้เขากลับให้คนมาบอกว่า ความคะนึงหายาวนาน ไม่มีร้างรา?
สีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปของนางสงบลงอย่างรวดเร็ว หากเพียงมองจากดวงหน้างดงามที่สามารถสร้างความลุ่มหลงให้กับทุกชีวิตได้นั้น ก็คงมองไม่ออกว่ากำลังรู้สึกเช่นไร
เพราะต่อให้ในใจของนางกำลังปั่นป่วนเป็นเกลียวคลื่น เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนทั้งหลายซูจี่ก็ไม่ได้แสดงสิ่งใดออกไปแม้เพียงนิดเดียว
นางผงกศีรษะน้อยๆ เอ่ยเพียงคำเดียวว่า “ข้ารู้แล้ว”
ว่าแล้ว นางก็ถอยออกไปด้านข้าง สายตามองไปยังเหล่านักรบสวรรค์ที่เคยมีจำนวนอยู่มากมาย
และสุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่ซือหลิน
เมื่อถูกจิ้งจอกเก้าหางที่งามล้ำโลกหมายตา ทำเอาซือหลินถึงกับรู้สึกอึดอัดจนย่ำแย่ขึ้นมา
“อาหลัน ของเล่นพวกนี้เจ้าจะจัดการอย่างไร?” ซูเยาคิดแต่อยากจะขยับเข้าไปใกล้ๆตู๋กูซิงหลันอีกสักนิด
แม้ว่านางกำลังจะแต่งงาน แต่เขาก็ยังอยากอยู่ใกล้นางอีกสักหน่อย
นักรบสวรรค์เหล่านั้น ถูกเจ็ดยมราชดับชีวิตไปกลุ่มหนึ่ง ถูกเขากับพี่สาวทำลายไปอีกกลุ่ม ตอนนี้ที่เหลืออยู่รวมซือหลินด้วยก็มีเพียงห้าคนเท่านั้น
ที่เหลืออยู่นั่นใช้เพียงมือข้างเดียวก็บี้แบนได้แล้ว!
ต่อให้เป็นถึงเทพก็เท่านั้น
พอเขาถามออกไป ผู้ที่ตอบกลับมากลับเป็นจีเฉวียน “เจ้าสมควรเรียกนางว่าฮ่องเต้หญิง หรือฝ่าบาท”
คำว่าอาหลัน นั่น เรียกอย่างใกล้ชิดสนิทสนมไปแล้ว จีเฉวียนไม่ชอบใจเลย
พวกซือหลินนั่นจะต้องจัดการเช่นไร เขาย่อมมีแผนการของตนเองอยู่แล้ว
ซูเยา “…..” ในใจของเขากำลังร้องด่าฮ่องเต้สุนัขว่า ‘ไอ้เ-ี’
แต่ว่าจีเฉวียนกลับไม่สนใจจะมองเขาอีกแม้แต่น้อย
เพียงแค่เขาปรายตาออกไป พวกฉู่เจียงก็เข้าในความหมายแล้ว พวกเขารีบจับตัวซือหลินและพวกทั้งห้าคนเอาไว้
มีฉู่เจียงนำขบวนไปจับกุม พวกซือหลินย่อมยากที่จะหลบหนีไปได้
อีกด้านหนึ่งฉางซุนซิ่วที่ถูกควบคุมตัวไว้ ก็ต้องถือกับปากอ้าตาค้างไป
เดิมทีเขาคิดว่า เทพในแดนสวรรค์นั้นสูงส่งไร้เทียมทาน ไม่มีผู้ใดแตะต้องได้
แต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ สิ่งที่เขาได้เห็นมันคืออะไรกัน?
นังแพศยาผู้นั้น …..นางสามารถเรียกเอาเผ่ามังกรและจิ้งจอกเก้าหางออกมา ทั้งยังมีกลุ่มคนที่ไม่มีผู้ใดรู้ฐานะเหล่านี้มาร่วมอวยพร ส่งมอบของขวัญล้ำค่า?
หากมิใช่เพราะว่าลิ้นของเขาถูกตู๋กูซิงหลันตัดขาดไป ทำให้เจ็บปวดไปถึงหัวใจแล้วละก็ ฉางซุนซิ่วคงจะคิดว่าตนเองกำลังอยู่ในความฝันอย่างแน่นอน!
ซือหลินกับเขาร่วมมือกันวางแผนการขึ้นมา แต่ว่าสุดท้ายแล้วกลับตกลงไปในหลุมพลางที่ผู้อื่นตระเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว?
ถึงตอนนี้ฉางซุนซิ่วถึงได้รู้ว่า ตนเองนั้นทั้งโง่เขลาและอ่อนแอ!
หลงเซียวกับอู้เจินไม่ปล่อยให้เขาได้อยู่กีดขวางสายตาผู้คนอีกต่อไป พวกเขารีบพาฉางซุนซิ่วกลับไปกักขังเอาไว้
ฉู่เจียงเองก็รีบนำตัวซือหลินและพวกทั้งห้าไปกักขังด้วยเช่นกัน
เมื่อผ่านพ้นความวุ่นวายไปรอบหนึ่ง บรรยากาศในงานอภิเษกก็ยิ่งคึกคักกว่าเดิม
เก้ามังกรสวรรค์โบยบินบนท้องฟ้า โปรยปรายฝนกลีบบุปผาทองคำลงมา ตู๋กูซิงหลันมีราชโองการประทานอนุญาตให้ราษฎรที่พบเห็นสามารถรับเอาไว้!
ในเมื่อตู๋กูซิงหลันตรัสเช่นนี้ ก็เท่ากับว่านางประทานซองแดงในวันอภิเษกให้กับราษฎรทั้งหลาย
คราวนี้ เหล่าราษฎรต่างก็คุกเข่าลงกราบกรานด้วยความสำนึกในพระทัย และเก็บกลีบบุปผาทองคำด้วยความยินดี
แต่ละคนเพียงเก็บเอาไว้กลีบหนึ่ง ของสิ่งนี้ย่อมต้องเก็บรักษาเอาไว้ เพื่อเป็นที่ระลึก ต่อไปก็ส่งต่อให้ลูกหลาน บอกกับพวกเขาว่า บรรพชนเคยได้เห็นงานอภิเษกอันยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้หญิงมาแล้ว
บรรยากาศในงานยิ่งทียิ่งคึกคัก ยิ่งตระการตา
จนกระทั่งถึงยามที่พระอาทิตย์คล้อยต่ำไปทางทิศตะวันตก ฮ่องเต้หญิงและตี้โฮ่วถึงได้เสด็จไปยังตำหนักตี้หัวผ่านพิธีการสำคัญสามีภรรยาคำนับกันและกันอย่างเป็นทางการ
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย โคมดอกไม้จำนวนนับหมื่นก็ถูกปล่อยขึ้นไปบนท้องฟ้าในราตรีนั้น เพียงพริบตาเดียวท้องฟ้าที่มืดมิดก็กลายเป็นสว่างไสวด้วยแสงโคมราวกับเป็นกลางวัน
ทุกคนต่างยิ้มแย้มออกมา ส่งมอบคำอวยพรให้กับฮ่องเต้หญิงและตี้โฮ่วอย่างจริงใจ
วันนี้ฮ่องเต้หญิงทรงอภิเษก แม้ว่าระหว่างงานจะมีอะไรติดขัดอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี เช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว
ที่ด้านนอกวัง บนกำแพงสูง ฟ่านอิงยืนตัวตรงดุจพู่กันอยู่ในชุดคลุมสีดำทั้งร่าง
เขาออกมาจากหุบเขาหมื่นปีศาจและมาถึงก่อนหลายวันแล้ว
เพื่อจะมาเฝ้าดูงานอภิเษกของตู๋กูซิงหลัน
เขาที่อัปลักษณ์ มีแต่ไอความตายทั่วร่าง ย่อมไม่มีคุณสมบัติจะออกไปพบนาง
แผ่นดินต้าโจวแห่งนี้ เขาก็เกลียดชังถึงกระดูกดำ
แต่ครั้งนี้พอมาถึง ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจกลับเกิดความสงบขึ้น
พอได้เห็นงานอภิเษกของตู๋กูซิงหลัน ก็ทำให้เขาคิดขึ้นมาว่า หากว่าตอนนั้นแคว้นกู่เย่วมิได้เกิดเหตุเช่นนั้นขึ้นมา งานแต่งงานของเขากับเจียงเย่วก็คงจะยิ่งใหญ่และงดงามเช่นนี้เหมือนกัน
หากว่าเจียงเย่วได้มาเห็นบรรยากาศในวันนี้ ไม่รู้ว่าในใจของนางจะคิดเช่นไร?
ฟ่านอิงยืนมองจากบนกำแพงอย่างเงียบๆ ในมือของเขาถือกลีบบุปผาทองคำเอาไว้กลีบหนึ่ง เมื่ออยู่ท่ามกลางพลุไฟที่กระจายเต็มท้องฟ้า กลีบดอกไม้นี้จึงยิ่งเป็นประกายระยิบระยับกว่าเดิม
เขาเงยหน้าขึ้นมากวาดตาดูท้องฟ้ายามราตรีอันงดงาม ค่อยหันกลับมามองดูวังหลวงอีกครั้ง
สุดท้ายก็ยังขยับเท้าไปเบื้องหน้าอีกก้าวหนึ่ง
ความแค้นในชาติก่อน…..ก็ปล่อยให้มันผ่านพ้นไปเถอะ
นับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันเรียกเขาว่าท่านตา ปมที่อยู่ในใจของเขา ก็คลายออกแล้ว
ที่มาในวันนี้ ก็เพื่อจะอวยพรเท่านั้น
………………..
วังหลวง เต็มไปด้วยเทียนสีแดง คืนนี้เป็นคืนเข้าหอของฮ่องเต้หญิงและตี้โฮ่ว
……………………………….