ที่ผ่านๆมาซือเป่ยมักฆ่าคนโดยไม่กระพริบตามาตลอด แต่ไหนแต่ไรมีแต่เขาที่ปลิดชีวิตของผู้อื่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินผู้อื่นพูดเช่นนี้ต่อหน้าตนเอง
พอเห็นว่าเจ้าแห่งจอมมารผู้นั้นยังมิได้ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ เขาก็ไม่สนใจจะคิดอะไรอีก กลับมากุมง้าวในมือให้กระชับแน่นอีกครั้ง
เพียงพริบตาเดียวไอมารและไอทิพย์จากสวรรค์ในร่างก็ผสานเข้าด้วยกัน กลายเป็นแสงประหลาดที่ดูอันตรายชนิดหนึ่งรายล้อมร่างของเขาเอาไว้
ตอนที่อยู่หุบเขาปีศาจของโลกปัจจุบัน เขาก็มิได้เห็นจีเฉวียนอยู่ในสายตา ตอนที่อยู่ในแดนสวรรค์พอได้เห็นจีเฉวียน ก็ดูไม่ออกว่าเขาได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับซื่อมั่วไปแล้ว
จนกระทั่งผ่านไปพักใหญ่ จึงค่อยคิดฐานะของจีเฉวียนออก
แต่แล้วจะอย่างไร?
ตอนที่อยู่ในหุบเขาปีศาจนั่น ซื่อมั่วยังเคยตกตายใต้น้ำมือของเขาไปแล้วครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าย่อมสามารถตายได้อีกครั้ง!
อย่าว่าแต่พละกำลังของเขาในตอนนี้ยังสูงล้ำกว่าตอนที่ไปยังหุบเขาปีศาจนั้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า
ครั้งก่อนที่คนผู้นี้บุกไปแดนสวรรค์ เขามิได้เข้าร่วมการปะทะ ตอนนี้ในเมื่อเจอกันอีกครั้ง ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องเกรงใจอีกแล้ว
เพราะถึงอย่างไรเมื่อเขาขึ้นเป็นจักรพรรดิสวรรค์องค์ใหม่ เผ่าภูติที่มีใจฮึกเหิมคิดการใหญ่ ย่อมต้องสมควรถูกกำจัดแต่แรกอยู่แล้ว
ใต้แสงพระจันทร์สีดำสาดส่อง ซือเป่ยลอยร่างขึ้นมา เขารวบรวมพลังทั่วร่าง คิดจะกำจัดจีเฉวียนให้แหลกเละ
เขาไม่ต้องการสิ้นเปลืองเวลาไปกับการต่อสู้กับจีเฉวียน คิดจะจู่โจมเพียงครั้งเดียวก็ปลิดชีวิตจีเฉวียนให้ดับดิ้น
แม้ว่าราชันย์จอมมารจะมีรูปลักษณ์เช่นเดียวกับตี้เสีย แต่อีกเพียงแค่ครู่เดียวเขาก็จะดูดกลืนพลังของจอมมารทั้งหมดไปอยู่ดี
พลังของเขายังพุ่งไปไม่ถึงจีเฉวียน ก็เห็นเสาหินด้านหลังของจีเฉวียนที่ถูกตู๋กูจุนฟันลงมาแตกลงเป็นผุยผงไปก่อนแล้ว
เหล่ามารที่คุกเข่าอยู่บนพื้นพากันใจสั่นขึ้นมา พวกมันรู้สึกได้ว่าไอมารในร่างกำลังถูกพลังงานที่ไร้ที่มาบางอย่างสูบออกไป
อีกด้านหนึ่ง จีเฉวียนมิได้เคลื่อนไหวอันใด
ข้อนิ้วของเขายังคงแตะอยู่บนพิณโบราณ บรรเลงเสียงที่เนิบนาบออกมาชุดหนึ่ง
เสียงพิณล้ำลึก เสียงพิณนั้นก่อกำเนิดเป็นเขตอาคมแห่งหนึ่งครอบคลุมร่างของเขาเอาไว้ ขณะที่ซือเป่ยระบำง้าวเข้ามาด้วยเสียงอันดังกึกก้องนั้น เขตอาคมที่โปร่งใสนี้ก็ส่งเสียงสะท้อนเป็นจังหวะต่อเนื่อง ราวกับก้อนหินที่กระดอนลงไปบนทะเลสาบ
เสียงสะท้อนนั้นกระจายออกไปเป็นวงกว้าง จากนั้นก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
เขตอาคมมิได้รับผลกระทบใดๆทั้งสิ้น!
กลับเป็นว่าเสียงพิณของจีเฉวียนมิได้หยุดลง ภายใต้เสียงพิณ ดวงวิญญาณภูติผีนับพันนับหมื่นได้ถูกปลุกขึ้นมาจากด้านหลังของเขา และพุ่งเข้าหาซือเป่ย แทบจะบดขยี้เขาให้เป็นชิ้นๆในชั่วพริบตา
พริบตานั้น ซือเป่ยเองก็ขุ่นเคืองจนถึงขึ้นเกรี้ยวกราดขึ้นมา
เขาเบิกตาโต ในใจต้องคิดว่าตนเองประมาทบุรุษผู้นี้ไปเสียแล้ว!
เปรียบเทียบกับตอนที่อยู่ในหุบเขาปีศาจแล้ว เขายังแข็งแกร่งขึ้นกว่าตอนนั้นไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า!
ตนสมควรคิดเรื่องนี้ออกตั้งแต่แรกแล้ว เพราะว่าก่อนนี้จีเฉวียนก็สามารถบุกขึ้นไปบนแดนสวรรค์ได้ด้วยกำลังของตัวเอง ทั้งยังล่าถอยกลับไปได้สำเร็จอีกด้วย
เพียงแต่ว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่ซือเป่ยไม่เข้าใจ ในระยะเวลาช่วงสั้นๆเขาสามารถเกิดความเปลี่ยนแปลงถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
ซือเป่ยกุมง้าวเทพสงครามเอาไว้ กวาดใส่ ‘ภูติผี’ ที่มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนออกไป
ครั้งนี้เขาไม่กล้าอยู่ใกล้จีเฉวียนอีกแล้ว
หากแต่เลือกถอยหลังออกไปอีกไกล ไกลจนไปอยู่ใกล้จิตมารของจอมมารหลีฉิง
ในตอนนั้น หลีฉิงยังคงลืมตาเพียงครึ่งเดียว ในแววตายังมีแต่เพียงความว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม
จิตมารของเขาปกคลุมเรือนร่างท่อนบนครอบคลุมถึงฝ่าเท้า ปลายเท้าอยู่ห่างจากพื้นดินสามจั้ง รอบกายมีไอมารเคลื่อนไหวอยู่มิได้ขาด ดูไปเหมือนยังไม่ได้ตื่นขึ้นมา
สำหรับซือเป่ยแล้ว นี่นับว่าเป็นโอกาสอันดีเยี่ยม
เขาไม่สนใจสิ่งใดอีก กรีดลงไปบนฝ่ามือของตนเอง จากนั้นก็เหาะเข้าไป ป้ายเลือดของตนเองลงไปบนกลางหน้าผากของของหลีฉิง
ตอนที่จับหยวนเมิ่งมาเป็นเครื่องสังเวย เขาก็ได้ตระเตรียมเรื่องที่ต้องกระทำเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
พอฝ่ามือสัมผัสลงไป ริมฝีปากก็เอ่ยคาถา
ภายในรถม้า ตู๋กูซิงหลันที่เห็นเหตุการณ์ผ่านบานกระจกต้องขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ซือเป่ยนับว่ามีสติและใจเย็น รู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรปะทะกับเสี่ยวเฉวียนเฉวียนอย่างตรงๆ แต่เลือกที่จะดูดซับไอมารของจอมมารเสียก่อน
เพียงแต่ว่า…..
ตู๋กูซิงหลันจดจ้องไปยังฝ่ามือของเขาที่กำลังจะสัมผัสลงไปบนหน้าผากของหลีฉิง แต่แล้วทันใดนั้น หัวคิ้วที่เดิมเรียบนิ่งก็ขมวดขึ้นมาในทันที
นางรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่มิสู้ดีบางอย่าง
อีกด้านหนึ่ง จีเฉวียนก็ไม่คิดที่จะปล่อยโอกาสให้กับซือเป่ย
เขาเก็บพิณโบราณกลับไป ในมือปรากฏดาบสีดำทองเล่มหนึ่งขึ้นมา สะกิดปลายเท้าเหาะเข้าหาซือเป่ยในทันที
ยามที่เหาะออกไปนั้นรอบกายก็ครอบคลุมด้วยหมอกดำชั้นหนึ่ง เสื้อผ้าและเส้นผมพลิ้วออกไปด้านหลัง เปี่ยมไปด้วยไอสังหารที่เข้มข้น
สำหรับจีเฉวียน เขาย่อมไม่คิดจะปล่อยให้จอมมารคงอยู่บนพิภพอยู่แล้ว
ดาบนี้เมื่อใช้ออกไป ก็คิดจะทำลายทั้งสองไปพร้อมๆกัน
บนเวที ตู๋กูจุนมิได้เอาแต่จมปลักอยู่ในความทุกข์ สถานการณ์เบื้องหน้ากำลังเป็นเช่นไร เขาล้วนกระจ่างใจดี
พอเห็นว่าเหล่ามารที่คุกเข่าอยู่บนพื้นพากันลุกขึ้น และพุ่งเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อรั้งจีเฉวียนเอาไว้ ตู๋กูจุนก็คว้าดาบยักษ์ขึ้นมาใหม่ เข่นฆ่าไปตลอดเส้นทาง ชำระแนวหลังของจีเฉวียนจนสะอาดเกลี้ยง
ทุกดาบล้วนปลิดชีตพวกมารจนร่างแยก เลือดเนื้อเจิ่งนองแผ่นดิน
ยามนี้ซือเป่ยหันหลังให้กับจีเฉวียน ปลายดาบของจีเฉวียนพุ่งเข้าหาหลังกระหม่อมของเขาอย่างตรงๆ ระยะห่างเหลือเพียงนิ้วเดียวก็จะแทงทะลุหลังกระหม่อมของเขาไปจนถึงดวงจิตของจอมมารหลีฉิงแล้ว
คมดาบยังอาบไล้ไปด้วยไอหยินหนาวเย็นที่เข้มข้นสุดประมาณ แม้ยังไปไม่ถึงซือเป่ย ก็แทบจะทำให้คนกลายเป็น แท่งน้ำแข็งได้แล้ว
แต่ว่าซือเป่ยก็มิได้หันร่างกลับมาเลย
เขายังคงหันหลังให้จีเฉวียนเช่นเดิม ขณะที่เห็นอยู่ว่าดาบเล่มนั้นกำลังจะแทงทะลุหลังกระหม่อมของเขาเข้าไปอยู่แล้ว ทันใดนั้นที่ตรงเหนือหน้าผากของเขา ก็พลันปรากฏกรงเล็บที่แหลมคมข้างหนึ่งแทงทะลุจากหน้าผากไปจนถึงหลังกระโหลกศีรษะ
กรงเล็บนั้นทะลวงผ่านกระโหลกศีรษะของซือเป่ยออกไป ปลายเล็บที่ยาวแหลมมีแต่ไขมันในสมองเกาะพราวไปหมด!
ขณะที่ดาบของกำลังจะแทงลงไป กรงเล็บนั้นกลับแทงออกมาจากหลังกระโหลกศีรษะของซือเป่ยด้วยความเร็วที่เหนือกว่าก้าวหนึ่ง
ดาบเล่มนั้นแทงลงไปในรูกระโหลก แต่แล้วกลับถูกกรงเล็บนั่นคว้าเอาไว้ในฝ่ามือ
กรงเล็บนั้นออกกำลัง ก็สามารถหักดาบสีดำอมทองของจีเฉวียนออกเป็นสองท่อนได้ในทันที!
ขณะเดียวกัน ซือเป่ยที่ยืนตัวตรงดุจพู่กันก็ส่งเสียงออกมาและล้มลงไป
หลังศีรษะกระแทกเข้ากับพื้นดิน ส่งเสียงตึงดังกึกก้องออกมา ศีรษะที่ถูกทะลวงด้วยกรงเล็บแตกออกราวกับลูกแตงโม
อีกทั้งยังคงยังเบิกตาโพลง มองดูจอมมารหลีฉิงที่สูงส่ง
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน……” มิว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่อยากจะเชื่อ ตนเองทำทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จจนเสร็จสมบูรณ์แล้วแท้ๆ ทำไมจอมมารผู้นี้ถึงได้พลันตื่นขึ้นมา ทั้งยังสามารถปลิดชีวิตของเขาลงได้อย่างไม่อาจระวังป้องกันใดๆทั้งสิ้น!
ทั้งๆที่บนหน้าผากของจอมมารผู้นั้นก็ถูกเลือดสดๆของเขาวาดตราประทับลงไปแล้วแท้ๆ!
ขณะที่ซือเป่ยส่งเสียงและล้มลงไป จีเฉวียนก็สามารถมองเห็นจอมมารผู้นั้นได้อย่างแจ่มชัด
หลีฉิงที่มีรูปโฉมดุจเดียวกับตี้เสีย ตอนนี้ได้ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แล้ว
นัยตาสีดำคู่นั้นลึกล้ำดุจหุบเหวที่เพียงมองดูแค่แวบเดียวก็สามารถดึงดูดผู้คนลงไป
สายลมกรรโชกอย่างรุนแรงปัดเป่าเส้นผมยาวสลวยของเขาจนกระจาย เรือนร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่านั้นถูกเส้นผมห่อหุ้มเอาไว้จนเหมือนจะกึ่งอำพรางกึ่งเปิดเผย
เมื่อไม่มีซือเป่ยบดบัง หลีฉิงก็สามารถมองเห็นจีเฉวียนได้อย่างแจ่มชัดเช่นกัน
พริบตาที่มองเห็นเขานั้น เขาก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกึ่งหัวเราะอย่างแปลกประหลาด “ซีเหอ ผ่านมานานหลายปี เจ้าก็กลับคืนมาอีกครั้ง”
จีเฉวียนสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง แม้แต่น้ำเสียงของหลีฉิงก็ยังเหมือนกับตี้เสียแห่งแดนสวรรค์อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
……………..