บทที่ 764 ชะตากรรม ความดีความชอบ
เหล่าอริยะหารือกันอยู่นาน ในที่สุดก็เลือกยกตำแหน่งอริยะให้จี้เซียนเสิน
ชัดเจนยิ่งนักว่าในที่นี้มีคนมากมายที่ต้องสงสัยว่าทำไปเพราะอยากจะเอาใจหานเจวี๋ย
อย่างไรก็ตามหากว่ากันในแง่คุณสมบัติ จี้เซียนเสินนั้นเข้าเกณฑ์จริงๆ ตบะระดับครึ่งอริยะ ปกครองเผ่าสวรรค์ นับตั้งแต่เผ่าสวรรค์ถูกอริยะเมินเฉยทอดทิ้ง ถดถอยลงไปอยู่ในยมโลก เขาก็อุทิศตัวทำงานเงียบๆ มาโดยตลอด ภายหลังด้วยการสนับสนุนจากมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อ เผ่าสวรรค์และเผ่าหายนะสมรสเกี่ยวดองกัน ทำให้เผ่าสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
จะว่าไปแล้ว หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ให้ความสนใจศิษย์คนนี้มานานมากแล้ว
หลังจากทำผิดพลาดในตอนนั้น จี้เซียนเสินก็ปิดด่านฝึกบำเพ็ญมาโดยตลอด ไม่ได้บ่นน้อยใจอันใด
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ต่อไปจะพูดถึงสิบยอดปราชญ์บรรพกาล ตำนานนี้ยังไม่อาจทำให้ฟ้าบุพกาลเชื่อถือได้ พวกเราต้องคัดเลือกบุตรแห่งสวรรค์มาสิบคน เป็นตัวแทนมรรคาสวรรค์ออกไปสร้างชื่อเสียง และต้องมิใช่อริยะด้วย”
สิบยอดปราชญ์บรรพกาลอย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยทำนายดูเงียบๆ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง
จอมอริยะเสวียนตูก็ช่างรังสรรค์โดยแท้
ในมุมมองของอริยะมหามรรคอาจจะดูน่าขัน แต่สำหรับสรรพสิ่งทั้งปวง นั่นก็ไม่แน่
เมื่อมีคนเชื่อมากเข้า ย่อมกลายเป็นเรื่องจริง
จอมอริยะเสวียนตูเชี่ยวชาญกลยุทธ์เช่นนี้ยิ่งนัก มิติวัฏจักรที่สร้างขึ้นก่อนหน้านี้ก็ยังคงพัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เพียงพอจะแสดงให้เห็นฝีมือของเขาแล้ว
เหล่าอริยะเริ่มเอ่ยเสนอชื่อบุตรแห่งสวรรค์ที่ตนคิดว่าสามารถปั้นให้เป็นสิบยอดปราชญ์บรรพกาลได้
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องคัดเลือกจากสำนักซ่อนเร้น จะดูจงใจเกินไป ไม่ส่งผลดี มรรคาสวรรค์จำเป็นต้องให้โอกาสผู้บำเพ็ญรายอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ขอเพียงในอนาคตมรรคาสวรรค์ขยายตัวออกไปเรื่อยๆ อำนาจของเหล่าอริยะจะคงอยู่อย่างต่อเนื่อง เมื่อมรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นทุกท่านล้วนจะเป็นดั่งนาวาลอยลำเมื่อน้ำหนุน”
เหล่าอริยะได้ฟังต่างชื่นชมในแนวคิดเพื่อส่วนรวมของหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยมิได้มีคุณธรรมสูงส่ง แม้จะรู้สึกว่าทำเช่นนี้น่าเบื่อ แต่เขากลับชื่นมื่นยิ่ง แค่ไม่ได้แสดงออกมาเท่านั้น
หัวข้อในช่วงท้ายหายเจวี๋ยไม่ได้เข้าร่วมแล้ว
หลังจากกำหนดตัวสิบยอดปราชญ์บรรพกาล ผานซินก็เอ่ยขึ้นว่า “มิ่งทำร้ายข้า มรรคาสวรรค์จะทำลายมิ่งเมื่อใด”
น้ำเสียงเขาขุ่นข้องยิ่ง
อริยะที่เหลือเงียบไป
มิ่งมิใช่ตัวตนที่มรรคาสวรรค์สามารถต่อกรได้ ผีเท่านั้นที่รู้ว่าในหมู่มิ่งมีอริยะมหามรรคซุกซ่อนอยู่อีกเท่าใด
หานเจวี๋ยถาม “มิ่งยั่วยุเจ้าเช่นไร”
ผานซินกัดฟันตอบ “พวกเขาเพ่งเล็งเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล อีกอย่าง ข้าสงสัยว่ายอดสมบัติชิ้นหนึ่งของข้าถูกกลุ่มมิ่งขโมยไปเสียแล้ว!”
เขาหาเหตุผลไม่ได้จริงๆ หากว่ากันไปแล้ว มิ่งเพียงเตร็ดเตร่ในละแวกเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล รวบรวมข่าวสารเท่านั้น เป็นเขาที่ออกไประบายโทสะเพราะขวานเบิกฟ้าสลายเป็นเถ้าธุลีปลิดปลิวไป กลับถูกอีกฝ่ายเล่นงานจนน่าอนาถยิ่ง
เทพสูงสุดหนานจี๋ถามด้วยความอยากรู้ “ยอดสมบัติชิ้นใด ขวานเบิกฟ้าหรือว่าบัวขจีฟ้าบุพกาล”
เหล่าอริยะต่างมีสีหน้าแปลกๆ
ยอดสมบัติของผานซินถูกขโมย…
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เมื่อถูกพวกเขาจ้องมองผานซินก็ดูลุกลี้ลุกลนขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ราวกับลูกแกะพลัดเข้าถ้ำเสือ เขากัดฟันเอ่ยว่า “เอาเป็นว่ามีสมบัติถูกขโมยไปแล้ว!”
หานเจวี๋ยหรี่ตาลง เขาลอบทำนายดู
จนปัญญาที่ผานซินมีดวงชะตามรรคาสวรรค์มหาศาลอยู่กับตัว เขาไม่อาจทำนายให้กระจ่างได้
ยามนี้ผานซินถูกสยบทาสแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็นับว่าเป็นคนของหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยจำเป็นต้องช่วยออกหน้าให้
หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ยว่า “ข้าจะพิจารณาเรื่องนี้ดู แต่กลุ่มอิทธิพลมิ่งลึกล้ำเกินหยั่ง ไม่อาจผลีผลามได้ บางทีมรรคาสวรรค์ไม่จำเป็นต้องลงมือ มิ่งก็คงยืนหยัดอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว”
เมื่อเขาออกปากมา ผานซินจึงได้แต่ยอมจำนน
อริยะคนอื่นๆ ก็รู้สึกโล่งใจเช่นกัน
ไม่ง่ายเลยกว่ามรรคาสวรรค์จะได้รับความสงบสุข ดำรงต่อเนื่องมาได้ไม่กี่แสนปี พวกเขาไม่คิดจะทำลายมันลง
สำหรับเหล่าอริยะ ไม่กี่แสนปีนั้นรวดเร็วมากจริงๆ
ตามปกติพวกเขายุ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ เช่นเดียวกับหานเจวี๋ย เมื่อหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้งโลกก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกยุค
หนึ่งชั่วยามผ่านพ้น เหล่าอริยะแยกย้ายกันไป
หลังจากหานเจวี๋ยกลับมาถึงอารามเต๋า ก็เคลื่อนย้ายไปยังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองก่อน ปล่อยเทพมารสิ้นแสงที่กำเนิดขึ้นนานแล้วออกมา ให้มู่หรงฉี่รับตัวไปดูแลเช่นเดียวกับที่ผ่านมา
จากนั้นหานเจวี๋ยกลับมาที่อาณาเขตเต๋าหลักและเริ่มฝึกบำเพ็ญต่อ
กลุ่มอิทธิพลมิ่งเคลื่อนไหวอยู่เงียบๆ อีกไม่ช้าก็เร็วต้องสร้างความวุ่นวายให้มรรคาสวรรค์อีกครั้งแน่
ตอนนี้หานเจวี๋ยยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าชะตาอันธการ ดังนั้นจึงรู้สึกกดกัน เขาจำเป็นต้องเร่งฝึกบำเพ็ญแข่งกับเวลา
ยิ่งสำเร็จยอดมหามรรคได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น!
….
ภายในห้วงมิติมืดมัว หมอกหนาปกคลุม
ในสระน้ำแห่งหนึ่งมีเงาร่างสามร่างนั่งสมาธิอยู่ นอกจากหลี่เต้าคงและสือตู๋เต้าแล้ว ยังมีคนอื่นอยู่อีกคนด้วย
เป็นปรมาจารย์ลัญจกรสรวงนั่นเอง
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงต่างไปจากในอดีตราวกับเป็นคนละคนกัน สวมอาภรณ์สีดำ หว่างคิ้วยับย่นตามกาลเวลา ปรากฏเป็นรอยขีดแนวตั้ง แฝงกลิ่นอายชั่วร้ายบางอย่างไว้
เขาดูเหมือนจะแปรสภาพเข้ารีตมารเสียแล้ว
ในเวลานี้เอง เสียงดังกังวานสายหนึ่งพลันแว่วขึ้น
“ภารกิจแรกของพวกเจ้ามาแล้ว ต้องออกปฏิบัติภารกิจ ทำงานให้สำเร็จ!”
เมื่อได้ยินเสียง ปรมาจารย์ลัญจกรสรวง หลี่เต้าคงและสือตู๋เต้าต่างก็ลืมตาขึ้น
เสียงก้องกังวานเอ่ยต่อว่า “ปรมาจารย์ลัญจกรสรวง เจ้าเป็นผู้นำกลุ่ม มุ่งหน้าไปจับตัวเจ้านิกายทงเทียนและบรรพชนมารหลัวโหวมา”
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงขมวดคิ้วเอ่ยไปว่า “เจ้านิกายทงเทียนแข็งแกร่งเกินไป เกรงว่าพวกเราจะสู้ไม่ไหว ส่วนบรรพชนมารหลัวโหวนั่นคือร่างจำลองของบรรพชนเต๋า มิ่งยุแหย่ดวงจิตมหามรรคแล้ว ยังจะยุแหย่บรรพชนเต๋าด้วยหรือ”
หลี่เต้าคงและสือตู๋เต้าขมวดคิ้วตามๆ กัน สองนามนี้พวกเขาก็เคยได้ยินเช่นกัน นั่นคือผู้ทรงพลังในตำนานบรรพกาลของมรรคาสวรรค์
“เจ้านิกายทงเทียนบาดเจ็บสาหัสเพราะข้าแล้ว มีพลังไม่ถึงหนึ่งในสิบ พวกเจ้าไปกล่อมให้เขายอมสยบได้ ส่วนหลัวโหว ดวงชะตาของบรรพชนเต๋ากระจัดกระจายไปตามฟ้าบุพกาล มิได้มีร่างจำลองเพียงหลัวโหวเท่านั้น จึงไม่มีทางปรากฏตัวขึ้นเพื่อหลัวโหว
“หลังจากสองคนนี้กลายเป็นมิ่ง พวกเขาจะกลายเป็นผู้ใต้บัญชาของพวกเจ้า ในอนาคตจะทำงานร่วมกันกับพวกเจ้า”
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเงียบงัน
ประตูแสงบานหนึ่งปรากฏขึ้นริมสระน้ำ
หลี่เต้าคงขมวดคิ้ว สือตู๋เต้าเลิกคิ้วขึ้น พวกเขาต่างมีความคิดแฝงเร้นอยู่ คิดจะแฝงตัวอยู่ในกลุ่มอิทธิพลมิ่ง ไม่คิดเลยว่าจะได้รับภารกิจเร็วขนาดนี้
หลี่เต้าคงทำเพื่อหานเจวี๋ย ส่วนสือตู๋เต้าถึงแม้จะเดาได้แล้วว่าหานเจวี๋ยคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ แต่ในมุมมองของเขา เจ้าแดนต้องห้ามต่างหากคือตัวตนที่แท้จริง ส่วนหานเจวี๋ยเป็นเพียงตัวตนปลอมของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ดังนั้นทิศทางที่ทั้งสองมุ่งมั่นเพียรพยามจึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คนหนึ่งคิดหาทางกำจัดมิ่ง อีกคนหาทางทำความเข้าใจมิ่ง หาโอกาสแทรกซึมเข้าร่วมกับมิ่ง
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงลุกขึ้นมาก่อน เดินไปทางประตูแสงก่อนเอ่ยว่า “ไปเถอะ บางทีนี่อาจจะเป็นชะตากรรมของพวกเรา”
สือตู๋เต้ารีบตามไป
หลี่เต้าคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เลือกตามไปเช่นกัน
พวกเขาฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่มาหลายแสนปี มีพลังสะท้านฟ้าสะเทือนดินมาเนิ่นนานแล้ว จะได้อาศัยประสบการณ์ต่อสู้ครั้งนี้พิสูจน์ผลลัพธ์ของการฝึกบำเพ็ญพอดี
….
ภายในตำหนักใหญ่ที่มืดมนเวิ้งว้างหลังหนึ่ง นักพรตเต๋าเสินเผานั่งสมาธิอยู่ในลำแสงสีแดงสายหนึ่ง อาภรณ์ขยับไหวนิดๆ
เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในตำหนัก
เป็นเทพมารต้องสาป
เทพมารต้องสาปค้อมคำนับ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านเสิน ข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่าน”
นักพรตเต๋าเสินเผาลืมตาขึ้น จ้องมองเทพมารต้องสาปด้วยแววตาหม่นมัว
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นเทพมารต้องสาปอยู่ในสายตาเลย ยามที่ถูกสยบเป็นของทาสหานเจวี๋ย ก็ไม่ได้นึกถึงเทพมารต้องสาปเลย ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้กับหานเจวี๋ย
ตอนนี้เทพมารต้องสาปปรากฏตัวขึ้น เขากำลังใคร่ครวญอยู่ว่าหากสังหารคนผู้นี้ จะได้รับความดีความชอบจากหานเจวี๋ยหรือไม่
“มีเรื่องใด” นักพรตเต๋าเสินเผาถามอย่างเย็นชา
เทพมารต้องสาปใจเต้นแรง นักพรตเต๋าเสินเผาเปลี่ยนไป
แต่ก่อนมักจะหัวเราะเสียงดังกับเขา เหตุใดจู่ๆ ถึงกลายเป็นเย็นชาเช่นนี้เล่า
หรือว่าเป็นเพราะการต่อสู้กับหานเจวี๋ย มรรคจิตได้รับความกระทบกระเทือนเข้า
เทพมารต้องสาปคิดพลางเอ่ยไปว่า “จอมเทพข่งเซวี่ยตามราวีข้าอยู่ตลอด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าข้าคงต้องตายด้วยน้ำมือเขา”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เทพมารต้องสาปกัดฟันแน่น แววตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ
ตอนนี้ความแค้นเคืองที่เขามีต่อจอมเทพข่งเซวี่ยนำหน้าความเกลียดชังที่มีต่อหานเจวี๋ยไปแล้ว!
………………………………………………………………