จีเฉวียนมิได้เอ่ยอะไรออกไป ซีเหอสองคำนี้ เขาไม่ได้รู้สึกว่าแปลกประหลาด ทั้งยังไม่เห็นว่าน่าคุ้นเคย
มุมปากของหลีฉิงยังคงประดับด้วยรอยยิ้มดุจเดิม เขาดึงสายตากลับมาจากร่างของจีเฉวียน มองไปที่ซือเป่ยที่อยู่บนพื้นอีกครั้ง
ใต้ฝ่าเท้าที่ว่างเปล่ายามนี้กำจายไปด้วยไอมารที่แน่นขนัด
พอก้าวเท้าออกไปเพียงก้าวเดียวก็ถึงเบื้องหน้าของซือเป่ยแล้ว ฝ่ามือใหญ่ขยับวูบก็คว้าซือเป่ยลอยขึ้นมาในความว่างเปล่า
จากนั้นก็ฉีกแขนข้างหนึ่งของซือเป่ยลงมา ต่อหน้าต่อตาของจีเฉวียนและตู๋กูจุน
พออ้าปาก เผยให้เห็นฟันที่คมกริบดุจเขี้ยวของสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัว แต่ละซี่แหลมคมงอกเงยอยู่เต็มปาก
พอกัดลงไปคำหนึ่ง ก็กลืนกินทั้งเนื้อหนังลงท้องไป
ซือเป่ยที่ฝึกฝนจนถึงระดับเทพ แน่นอนว่าย่อมต้องไม่ขาดใจตายไปอย่างง่ายๆ
ขณะที่ตนเองถูกหลีฉิงคว้าเอาไว้ สายตาก็ยังมองเห็นเขากลืนกินแขนข้างหนึ่งของตนเองลงไป
พริบตานั้นเขาคิดจะรั้งจิตเทพของตนเองไว้ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ก็เห็นหลีฉิงฉีกแขนอีกข้างของตนเองลงมา และกลืนลงไปในทันที
จากนั้นก็ยิ้มแย้มให้กับซือเป่ยอย่างลึกลับและชั่วร้าย “เจ้ามิใช่ว่าแสวงหาเราด้วยความละโมภ อยากเป็นหนึ่งเดียวกับเราหรอกหรือ? เราย่อมต้องสนับสนุนเจ้าอยู่แล้ว”
เขาพูดพลางก็บดเคี้ยวแขนของซือเป่ยไปพลาง จนสามารถมองเห็นเลือดเนื้อของซือเป่ยได้จากในปากและฟันของเขา
“มันคืออะไรกันแน่…..” ซือเป่ยดิ้นรนอย่างกินแรง เดิมทีเขาคิดจะฉุดดึงจิตเทพออกจากกายเนื้อ แต่ไม่รู้ว่าทำไม จิตเทพของเขาถึงได้เหมือนกับว่าถูกคุมขังเอาไว้ในร่างกาย ไม่อาจดิ้นหลุดออกไปได้แม้แต่น้อยนิด
ทุกครั้งที่หลีฉิงกินร่างกายของเขาลงไปส่วนหนึ่ง จิตเทพของเขาก็ถูกกลืนกินลงไปส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน
“เจ้าทุ่มเทความคิดความอ่านทั้งหมดเพื่อปลุกเราขึ้นมา แล้วยังไม่รู้ว่าเราคือใครกระนั้นหรือ?” หลีฉิงหัวเราะเสียงดังออกมาในทันที “ช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันเสียงจริงๆ มิใช่หรือ?”
ว่าแล้ว เขาก็ยกกรงเล็บที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้กรงเล็บนั้นทะลวงเข้าไปในทรวงอกของซือเป่ย ควักหัวใจที่ยังคงเต้นอยู่ออกมาทั้งอย่างงั้น
หัวใจที่เดิมทีสมควรจะเป็นสีแดงสด ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้กลายเป็นสีดำไปเสียแล้ว
หลีฉิงถือเอาไว้ในมืออยู่ครู่หนึ่ง “จุ๊ๆ…เราชอบกินหัวใจสีดำเช่นนี้เป็นที่สุด คิดไม่ถึงว่าพอตื่นขึ้นมา ก็มีหัวใจสีดำเช่นนี้มาเซ่นสรวง ยอมเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก”
ต่างกับตอนที่กินแขนของซือเป่ยเข้าไป หัวใจดวงนี้ เขากลับลิ้มรสอย่างเอร็ดอร่อย ค่อยๆละเอียดชิมอย่างช้าๆ สีหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ
เห็นแล้วก็ยิ่งน่าหวาดกลัว
ตู๋กูจุนมาถึงที่ข้างกายของจีเฉวียนแล้วอย่างรีบร้อน แม้ว่าเขาเองก็เป็นถึงแม้ทัพผู้พิชิต เห็นศพและกองกระดูกมามากมายนับไม่ถ้วน แต่เมื่อได้เห็นภาพการกินคนลงไปกับตา ก็ยังต้องรู้สึกว่าในกระเพาะมีแต่ความปั่นป่วน
มิว่าจะอย่างไร ตนเองกับซือเป่ยก็คือพี่น้องฝาแฝดกัน ระหว่างสองชีวิตย่อมมีสิ่งที่เชื่อมโยงกันอยู่บ้าง
แม้ว่าจะเป็นเพราะเรื่องของหยวนเมิ่ง ทำให้แม้แต่ตัวเขาเองก็แทบจะอยากสับซือเป่ยเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น แต่พอเห็นเขาถูกจอมมารค่อยๆกลืนกินลงไปเรื่อยๆ ร่างกายของเขาก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดเช่นกัน
ราวกับว่าจอมมารผู้นั้นกำลังกลืนกินร่างกายของเขาลงไปด้วย
“ฝ่าบาท….” เขาเบนหน้าหันไปทางจีเฉวียน ด้วยความไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมจีเฉวียนถึงได้ยังไม่ลงมืออีก
หรือว่าจะรอให้จอมมารผู้นี้เป็นฝ่ายลงมือก่อนอีกครั้งกระนั้นหรือ?
มิใช่ว่าจีเฉวียนจะไม่ลงมือ แต่พอได้ยินชื่อซีเหอสองคำนั้น เขาก็รู้สึกว่ามีบางเรื่องจำเป็นจะต้องได้รับความกระจ่างจากหลีฉิงก่อน
ส่วนซือเป่ยนั้น สมควรตายแต่แรกแล้ว
เขาจึงมิได้ขัดขวางอันใด
“อย่าได้ออกจากเวที เฝ้าเอาไว้ให้ดี” จีเฉวียนมิได้หันมามองดูตู๋กูจุนแม้แต่แวบเดียว แต่กลับเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาเป็นน้ำแข็ง ราวกับว่าไม่ต้องการให้ใครเข้ามาใกล้ชิดทั้งสิ้น
ตู๋กูจุนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่กล้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง
เหล่ายมราช ล้วนต้องฟังและทำตามคำสั่งของหมิงอ๋องเสมอ นับตั้งแต่ชาติก่อน จนมาถึงชาตินี้
เพียงพริบตาเดียว ตู๋กูจุนก็เหาะกลับมาที่เวทีอีกครั้ง
พอก้มหน้ามองลงไป ก็ไม่รู้ว่าบนเวทีที่อาบไปด้วยเลือดนั้้นเพิ่มหุ่นคนอีกหนึ่งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ดุเหมือนจะเป็นหุ่นคนที่แกะสลักขึ้นมาจากเนื้อไม้ ยามนี้หุ่นคนนั้นอาบย้อมไปด้วยเลือดสดๆทั้งร่าง ตอนแรกเขายังไม่คิดจะสังเกตอะไร แต่พอมองผ่านใบหน้าของหุ่นคนนั่น ก็เห็นว่ามีส่วนคลับคล้ายกับหลีเกอ ….หรืออาจบอกว่าเป็นหยวนเมิ่ง
พอคิดถึงคำพูดที่ฝ่าบาทตรัสออกมาเมื่อครู่ สมองในของตู๋กูจุนก็เหมือนมีเสียงแตกดังเปรี้ยะออกมาในทันที
พอยิ่งมองดูให้ละเอียด ก็เห็นว่าเลือดบนใบหน้านั่นกำลังถูกดูดซึมเข้าไป อีกทั้งบนหน้าผากก็ยังปรกาฏตราประทับสีดำที่ดูลึกลับตราหนึ่งขึ้นมา
“นี่คือ?” หัวใจของเขาเต้นเสียงดังโครมคราม ในฐานะที่เป็นถึงผู้นำของสิบยมราช เขาย่อมชัดเจนกว่าใครทั้งหมด!
ตราประทับยมราช!
นี่แสดงให้เห็นว่า หุ่นมนุษย์ผู้นี้ก็คือยมราชผู้หนึ่ง!
“หยวนเมิ่ง เจ้ากำลังจะกลับคืนมา?” ตู๋กูจุนคุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง นัยตาของเขาเบิกโพลงเป็นประกาย
เขารู้อยู่แล้วว่าฝ่าบาททรงแข็งแกร่งอย่างที่สุด แม้แต่กับคนตายก็ยังสามารถช่วยฟื้นชีวิตขึ้นมาได้
แต่ว่านี่ฝ่าบาทกำลังแอบทำสิ่งใด ไยต้องช่วยให้หยวนเมิ่งเกิดใหม่อีกครั้ง?
ตู๋กูจุนไม่รู้อะไรเลย เขาได้แต่คุกเข่าอยู่ข้างหุ่นมนุษย์ ไม่กล้าขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว
ราวกับว่าแม้แต่เรื่องของจอมมารทางด้านโน้นก็มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีกแล้ว
ขอเพียงหยวนเมิ่งสามารถกลับมามีชีวิต ครั้งนี้ขอเพียงได้อยู่ร่วมกัยนาง เขาขอเสียสละทุกสิ่งโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ใดๆอีก
เขาไม่กล้าสูญเสียนางไปอีกแล้ว
………….
จอมมารหลีฉิงกลืนกินหัวใจของซือเป่ยไปจนหมดสิ้นอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน ไอมารในร่างกายของเขาก็ยิ่งระเบิดออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง ตลอดหลายปีมานี้สิ่งที่ซือเป่ยดำเนินการอยู่ในโลกหล้า ทุกดอกผลที่มีอยู่ ล้วนถูกเขาเก็บเกี่ยวขึ้นมาและกลืนกินลงไป คลื่นพลังอันต่อเนื่องไหลบ่าเข้าสู่ในร่างกายของหลีฉิง
แม้แต่จิตมารของเขาก็ยิ่งทียิ่งแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนซือเป่ยก็ได้แต่เพียงมองดูทุกสิ่งเกิดขึ้นตรงหน้า
พักก่อนนี้ เขายังได้ทรมานตี้เสียจนกลายเป็นไม่เป็นผู้เป็นคนอีกต่อไป คิดไม่ถึงว่าพริบตาเดียว เขาก็จะถูกจอมมารที่เหมือนกับตี้เสียทุกกระเบียดนิ้วกินลงไป!
ทุกสิ่งที่เขาทุ่มเทเลือดเนื้อและจิตใจมาตลอดหลายต่อหลายปีกลับกลายเป็นจุลไปในวูบเดียว!
ขณะที่ หลีฉิงกำลังขบเคี้ยวกัดกินศีรษะของซือเป่ยลงไป ในมือของจีเฉวียนก็ปรากฏดาบสีดำอมทองเล่มใหม่อีกครั้ง
คมดาบชี้เข้าหาทรวงอกของหลีฉิง พร้อมกับน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกของจีเฉวียน
“เจ้ากับตี้เสีย ที่แท้ก็เป็นคนเดียวกันมาแต่แรก”
นี่มิใช่คำถาม แต่ว่าเป็นประโยคที่พูดออกไปด้วยความมั่นใจ
หลีฉิงได้ยินแล้ว ก็ชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะออกมา
“เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดละ ตอนนั้นเผ่ามารของข้าถูกตี้เสียออกคำสั่งทำลายล้าง แล้วข้ากับเขาจะเป็นผู้เดียวกันได้อย่างไร?”
พอเอ่ยถึงตี้เสียสองคำนั้น ไอมารในร่างของหลีฉิงก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นมา
“เมื่อข้าบอกว่าใช่ ก็คือใช่” ดาบของจีเฉวียน พุ่งเขาใส่ทรวงอกของเขาในทันที หลีฉิงกลัยยมิได้หลบหลีก
ดวงตาที่ล้ำลึกคู่นั้นจับจ้องไปที่จีเฉวียนอย่างจริงจัง “สมแล้วที่เป็นซีเหอ สายตานั่น ช่างร้ายกาจอย่างยิ่ง”
เขาพูดพลาง ก็ยกกรงเล็บขึ้นรับดาบของจีเฉวียน
กรงเล็บของเขาคล้ายกับกรงเล็บมังกรแต่ก็มิเชิงว่าใช่ กรงเล็บสีดำเกลื่อนไปด้วยเกล็ดแข็งแน่นขนัด เพียงออกแรงก็สามารถสะบั้นดาบสีดำอมทองของจีเฉวียนได้แล้ว
ยามที่ยิ้มให้ ในปากก็ชุ่มไปด้วยเลือด
“ไม่ผิด เรากับตี้เสียแต่เดิมก็คือคนคนเดียวกัน” คราวนี้ หลีฉิงกับเอ่ยปากยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “เพียงแต่ว่าในขณะที่ตี้เสียกลายเป็นจักพรรดิแห่งสวรรค์ไปนั้น เราก็ได้แยกออกมาจากร่างกาย เจ้าคิดดูสิ มารจะกลายเป็นผู้นำแห่งแดนสวรรค์ไปได้อย่างไร?”
……………