เลือดสดๆไหลออกจากกายไม่ยอมหยุด สายตาของหยวนเมิ่งเริ่มจะพร่าเลือนไปแล้ว
เลือดไหลไปรวมกันอยู่บนเวทีใต้ฝ่าเท้านาง หมอกสีแดงในอากาศเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม เพียงครู่เดียวก็มองเห็นได้ว่าดวงจันทร์ดวงนั้นกำลังถูกอาบย้อมไปด้วยเลือด
ไกลจากกลุ่มหมอกสีแดงออกไป รถม้าของตู๋กูซิงหลันจอดลงที่ด้านนอก
“ ที่นี่คล้ายจะมีเขตหวงห้ามบางอย่าง พลังวิญญาณถูกจำกัดขอบเขต พวกม้ามังกรไม่อาจเหาะเข้าไป” รถม้าหยุดลง ตู๋กูซิงหลันเปิดม่านหน้าต่าง มองผ่านหมอกหนาทึบเข้าไป
นางขมวดหัวคิ้วมุ่น “กลิ่นคาวเลือดรุนแรงจริงๆ”
“เกิดเรื่องกับหยวนเมิ่งแล้ว!” ตู๋กูจุนกระโดดลงไปจากรถโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด เขาคว้าดาบยักษ์วิ่งพุ่งเข้าไปในกลุ่มหมอกหนา
ตู๋กูซิงหลันยังคงนั่งอยู่ในรถม้า ตะโกนเรียกเขาคำหนึ่ง “พี่ใหญ่”
พอได้ยินเสียงของนาง ตู๋กูจุนก็หยุดฝีเท้าลง หันหน้ากลับมามองรถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกล
“ท่านไปเช่นนี้ มีโอกาสจะตายสูงมาก” ตู๋กูซิงหลันพูดออกไป นางลงมาจากรถม้า “ท่านยังคิดจะบุกเข้าไปอีกหรือ?”
“ข้าไม่อาจยืนมองดูนางเกิดเรื่องโดยไม่ทำสิ่งใด”
“นางก็เป็นเพียงแค่คนเผ่ามาร ท่านมิได้สนใจนางมิใช่หรือ? แล้วใยต้องเสี่ยงชีวิตด้วย?” ตู๋กูซิงหลันเดินไปข้างหน้าอีกสองก้าว แม้อยู่ท่ามกลางความมืดมิด แต่ก็ยังไม่อาจปิดบังประกายในดวงตาดอกท้อของนางไปได้
“ใครว่ามิได้สนใจ….” ตู๋กูจุนกำหมัด “ก็แค่ไม่อาจเข้าใกล้นางตลอดกาล …… นางไม่อาจตาย”
เขาไม่ยอมให้นางต้องตายอีกแล้ว
ว่าแล้ว ดาบยักษ์ในมือของตู๋กูจุนก็โบกออกไปครั้งหนึ่ง เกิดเป็นเขตอาคมกึ่งโปร่งแสงขึ้นมา ครอบคลุมตู๋กูซิงหลันเอาไว้ภายใน
ในใจของเขาคิดถึงหยวนเมิ่ง แต่ว่าก็มีความห่วงใยน้องสาวของตนเอง
เขาย่อมไม่ต้องการให้ตู๋กูซิงหลันไปเสี่ยงอย่างเด็ดขาด
ตู๋กูซิงหลันมองดูเขา โดยไม่พูดอะไร
นางทำตัวว่าง่าย ไม่ได้ฝ่าออกจากเขตอาคมไป
พอตู๋กูจุนหันร่างไป ขณะที่ยังไม่ทันหายไปในหมู่หมอกที่หนาทึบนั้น มุมปากของตู๋กูซิงหลันถึงได้ขยับขึ้นน้อยๆ “ขอให้ท่านโชคดี พี่ใหญ่”
ว่าแล้ว นางก็หมุนตัวกลับขึ้นไปบนรถม้า
คราวนี้ ในมือของนางมียันต์สีแดงสิบกว่าใบ พลังวิญญาณถูกขับเคลื่อนออกมา ยันต์สีแดงพุ่งออกไป สู่ความมืดมิดในอากาศ กลายเป็นวิญญาณแค้นกุ่ยหลัวซานับร้อยนับพัน
ตู๋กูซิงหลันโบกมือพลางเอ่ยเบาๆ “ไป ทัพหนุน”
ครั้งนี้ย่อมต้องใช้ทัพหนุนแล้ว ทั้งยังต้องหนุนกันให้ดี มิเช่นนั้นคนผู้นั้นก็อาจจะหลบหนีไปได้มิใช่หรือ?
นับตั้งแต่แต่งงานกับจีเฉวียน ตู๋กูซิงหลันก็พบว่าพละกำลังของตนเองยิ่งทียิ่งเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากมาย แม้แต่การจะใช้ยันต์เรียกวิญญาณเหล่านี้ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย วิญญาณแค้นกุ่ยหลัวซาเหล่านี้ ตอนที่เคยบุกไปยังแดนจิ่วโจว นางได้ช่วยพวกมันออกมาจากประมุขวังตันติ่งกงซ่งชิงอี ตอนนี้ได้เวลาที่นางจะใช้งานมันบ้างแล้ว
เหล่ากุ่ยหลังซาได้ยินคำสั่ง ก็พากันเกิดความเคลื่อนไหว
ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ในรถม้า ล้วงเอากระจกบานหนึ่งออกมาจากในถุงเฉียนคุน
ภายในกระจก มีแต่หมอกสีแดงเลือดเข้มข้น ตู๋กูจุนบุกฝ่าเข้าไปในหมอกเลือดพร้อมกับดาบยักษ์ที่แบกเอาไว้บนบ่า
เพียงไม่นานท่ามกลางหมอกหนาก็ได้ยินเสียงปวดร้าวลอยออกมา ยิ่งติดตามไปก็พบว่าเป็นเงาร่างของคนผู้หนึ่ง
ยิ่งลึกเข้าไป เงาร่างของผู้คนก็ยิ่งหนาแน่น
“เอ๋? ดูท่าหลายปีมานี้ เขาสะสมคนเผ่ามารได้จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว” ตู๋กูซิงหลันหัวเราะเสียงเย็นออกมาสองคำ นางจ้องมองภาพไปในกระจกต่อไป
ครั้งนี้พอมองเข้าไป ก็เห็นภาพที่เกิดขึ้นบนเวที
ถึงแม้ว่านางจะเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว แต่ว่าพอได้เห็นสภาพของหยวนเมิ่ง หัวใจของนางก็ต้องกระตุกไปรอบหนึ่ง
สองมือได้แต่กำเข้าหากันเป็นหมัดอย่างอดไม่ได้
ในขณะเดียวกัน บนเวที ซือเป่ยยังมิได้หยุดมือ
ในมือของเขายังคงถือกริชเล่มนั้นเอาไว้ พอฟันลงไปครั้งหนึ่ง ก็แล่เนื้อบนท่อนแขนของหยวนเมิ่งออกมาแผ่นหนึ่ง
ทีละแผ่นๆ เรื่อยๆไม่หยุด
เนื้อของหยวนเมิ่งตกลงบนเวที ไม่นานเนื้อเหล่านั้นก็ถูกดูดซับไป แม้แต่จิตมารที่อยูู่ในร่างก็ถูกฉีกทำลายไปด้วยพร้อมๆกัน
ยามที่ตู๋กูจุนเร่งรุดไปถึง ก็ได้เห็นซือเป่ยเฉือนแขนข้างขวาของหยวนเมิ่งจนเหลือแต่เพียงกระดูกขาวแล้ว
พริบตานั้นความเกรี้ยวกราดในร่างของเขาก็ถูกระเบิดออกมา
ใต้ฝ่าเท้าเกิดลมหนุน เขาควงดาบยักษ์พุ่งเข้าใส่เวทีด้วยความโกรธเกรี้ยว เหล่าศิษย์มารที่เข้ามาขัดขวางเขาล้วนถูกฟันทิ้งอย่างอเน็จอนาถราวผ่าแตงโม
พอมาถึงเบื้องหน้าซือเป่ย ดาบนั้นก็บรรจุพลังทั่วทั้งร่างของเขาเข้าไป ฟันใส่ซือเป่ยด้วยความโกรธแค้นอย่างต้องการให้ขาดเป็ยสองท่อน
ซือเป่ยขยับเล็กน้อย ก็หลบออกไปได้อย่างง่ายดาย
ดาบยักษ์ของตู๋กูจุนฟันลงไปบนเสาที่อยู่ด้านหลังของหยวนเมิ่ง เพียงดาบเดียว ก็ฟันเสาต้นนั้นขาดลงมาเป็นสองส่วน
เสาหินขนาดใหญ่ล้มลง กระแทกใส่พื้นเวทีจนเกิดเป็นเสียงกึกก้องกังวาน
“ฟันเสาต้นนั้นทิ้งไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร พันธนาการบนโซ่ตรวนเหล่านั้นชอนไชเข้าไปในกระดูกของนางตั้งนานแล้ว เจ้ายังคิดว่าจะทำลายทิ้งได้อีกหรือ?” ซือเป่ยมองดูพี่ชายที่ไม่ได้พบหน้าเนิ่นนานหลายปี เขาหัวเราะใส่เสียงเย็นชา
ใบหน้านั่นเหมือนกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน ทำให้เขาชิงชังเหลือเกิน
ตอนนั้นดาบสุดท้ายที่ปลิดชีวิตของซือหนานทิ้งไป ก็เป็นเขาที่ฟันลงไปบนร่างของซือหนานด้วยตนเอง คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีฝีมืออยู่ไม่น้อย ยังสามารถกลับมาเกิดใหม่ได้อีกครั้ง ซือเป่ยนึกรู้ได้ในทันทีว่า ผลงานนี้คงจะต้องยกความดีความชอบให้กับหมิงอ๋อง
“นับว่าเจ้ามาได้รวดเร็วดีทีเดียว ผ่านมาก็นานหลายปีแล้ว เจ้าก็ยังคงคิดถึงแต่สตรีเผ่ามารผู้นี้อยู่ไม่คลาย ซือหนาน เจ้าช่างทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก”
ตู๋กูจุนไม่สนใจเขา เพียงมองดูหยวนเมิ่งในอ้อมแขน
เส้นผมของนางยาวสยาย เสื้อผ้าฉีกขาด ทรวงอกมีเหล็กจารมารปักอยู่เล่มหนึ่ง เหล็กนัั่นแทงลึกจนทะลุหัวใจของนาง
ตลอดทั้งแขนขวาถูกเฉือนจนเหลือแต่เพียงกระดูกขาว เลือดสดในร่างกายไหลออกไปจนแห้งเหือด
สาวน้อยในอ้อมแขนของเขา ทั้งๆที่เป็นสาวน้อยที่สดใสน่ารักและชมชอบเคลื่อนไหวอย่างกระตือรือล้นผู้หนึ่ง แต่ว่านางในตอนนี้ กลับแทบจะไม่แตกต่างอะไรกับซากศพ!
หัวใจของตู๋กูจุนสั่นสะท้าน เขาอยากให้บาดแผลทั่วร่างของหยวนเมิ่ง เกิดขึ้นกับร่างของเขาแทน ให้หนักหนากว่านางอีกนับพันนับร้อยเท่า
เขาอุตส่าห์ระมัดระวังอย่างที่สุด ผลักไสนางออกไปจนไกลครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะหวาดกลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บ
แต่ว่าสุดท้ายแล้ว นางก็…..
“หยวนเมิ่ง เจ้าตื่นก่อน ตื่นขึ้นมา” เขากอดคนในอ้อมอกเอาไว้แนบแน่น ใช้มือที่อาบย้อมไปด้วยเลือดของนาง มาประคองใบหน้าของนางเอาไว้
ใบหน้านั้นซีดขาวจนปราศจากสีเลือดใดๆไปนานแล้ว
หยวนเมิ่งถูกทรมานจนสลบไสลไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง นางตื่นขึ้นมาในภวังค์ ขยับเพียงเบาๆ ก็เจ็บปวดรวดร้าวเหมือนโดนฟันลงมานับพันดาบ
ใช่แล้ว …..นางในตอนนี้ต้องรับทรมาน เป็นพันเป็นหมื่นดาบจริงๆ
ขนตาของนางกระพริบเบาๆ พยายามอย่างที่สุดค่อยลืมตาขึ้นมาเป็นเส้นบางๆได้เล็กน้อย
นางมองเห็น…..ตู๋กูจุนแล้ว
ทำไมเขาถึงได้….ดูเจ็บช้ำและโกรธแค้นถึงเพียงนี้?
นางพยายามจะเอ่ยปาก แต่กลับขยับไม่ได้แม้เพียงครึ่งคำ นางเห็นตู๋กูจุนกำลังพูด แต่นางไม่ได้ยินแล้วว่าเขาพูดว่าอะไร
จิตวิญญาณของนางกำลังจะถูกทำลาย นางสูญเสียประสาทสัมผัสการได้ยิน ได้กลิ่นไปแล้ว แม้แต่จะพูดก็ทำไม่ได้
ที่น่าขำก็คือ ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นนางไม่ได้ยินเสียงของเขาแล้ว
…………..