บทที่ 794 สมบัติวิเศษลับ
“ข้าขอประกาศไว้ ณ ที่นี้ หัวใจข้าคงอยู่กับมรรคาสวรรค์ตลอดกาล หากอาจารย์ต้องการทำลายมรรคาสวรรค์ ข้าจะตัดสัมพันธ์กับเขาแน่นอน”
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยอย่างจริงจัง กวาดตามองอริยะทั้งหมด
วาจานี้เป็นการตีกระทบอริยะคนอื่นๆ เช่นกัน
นับตั้งแต่เหล่าอริยะมหามรรคแห่งแดนเทพหวนปัจฉิมแสดงเจตนาดีต่อมรรคาสวรรค์ มีการไปมาหาสู่อย่างใกล้ชิดระหว่างมรรคาสวรรค์และโลกของพวกเขา อาจจะมีใครบางคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับแดนเทพหวนปัจฉิมยิ่งนัก
หยางเช่อแค่นเสียง “ยุคสมัยแตกต่างกันแล้ว มรรคาสวรรค์ในปัจจุบันนี้ไหนเลยจะต้องกริ่งเกรงโลกอริยะไตรวิสุทธิ์ ในแง่ของอริยะ พวกเรามีจำนวนคนมากกว่าโลกอริยะไตรวิสุทธิ์ ในแง่ของจำนวนสิ่งมีชีวิต ก็ห่างชั้นมากเช่นกัน! ทอดสายตามองไปทั่วฟ้าบุพกาล ไม่มีโลกแห่งไหนที่รุ่งเรืองมีกฎเกณฑ์สมบูรณ์พร้อมเสมือนมรรคาสวรรค์แล้ว!”
เหล่าอริยะหน้าใหม่อย่างสวีตู้เต้า หลี่ไท่กู่และจั้งกูซิงต่างพยักหน้าเห็นพ้อง
หลังจากสำเร็จเป็นอริยะมรรคาสวรรค์ ในมรรคาสวรรค์พวกเขาเป็นอมตะมิวางวาย จึงหลงระเริงไปง่ายยิ่ง
ในมุมมองของพวกเขา ต่อให้สู้อริยะมหามรรคไม่ได้ อริยะมหามรรคก็อย่าหมายจะสังหารพวกเขาได้เช่นกัน!
เหตุใดพวกเขาต้องเกรงกลัวด้วย!
บรรพชนพุทธเบิกนภาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่งแท่นอยู่ในมรรคาสวรรค์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ พวกเรายังจะถูกโลกภายนอกดึงดูดใจได้อีกหรือ”
เมื่อเห็นท่าทีของเหล่าอริยะหน้าใหม่ เหล่าอริยะอาวุโสต่างส่ายหน้าหลุดหัวเราะออกมา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยโจมตี
นี่ก็นับเป็นเรื่องดี ยิ่งรู้มากเท่าไร จะยิ่งเกรงกลัวมากเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะทรยศหักหลังได้!
จอมอริยะเสวียนตูกล่าวว่า “ถูกต้อง หากโลกอริยะไตรวิสุทธิ์พุ่งเป้ามาที่มรรคาสวรรค์ ไม่ว่าจะมาไม้ไหน พวกเราล้วนสามารถตั้งรับได้! ผู้ใดมาก็ไม่หวั่น! มรรคาสวรรค์ในปัจจุบันนี้มิใช่มรรคาสวรรค์อ่อนแอเช่นในอดีตแล้ว!”
ชั่วขณะนั้น บรรยากาศภายในตำหนักเอกภพผ่อนคลายลงไม่น้อย
“พวกเราจะเอาแต่รอไม่ได้ ต้องหาวิธีตั้งรับเช่นกัน ปัจจุบันนี้มีสิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาลต้องการเข้าร่วมมรรคาสวรรค์ เรื่องนี้สมควรได้รับการตัดสินใจเช่นกัน” ผานซินเปิดปากเอ่ย
มรรคาสวรรค์ในปัจจุบันนี้มีการส่งผู้บำเพ็ญออกสู่ด้านนอกตลอด ทว่าไม่เคยรับสิ่งมีชีวิตเข้ามาเลย
ประเด็นหลักคือมรรคาสวรรค์มีความพิเศษเฉพาะตัวยิ่งนัก หากมิใช่ผู้ที่มีดวงชะตาและบ่วงกรรมเกี่ยวพันกับมรรคาสวรรค์ ก็ไม่อาจแทรกซึมหรือฝืนบุกรุกเข้ามาได้ มิเช่นนั้นจะต้องเผชิญกับการกดขี่ทางโชคชะตา ยกตัวอย่างเช่นไม่ สามารถฝึกบำเพ็ญในมรรคาสวรรค์ได้
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยอย่างใช้ความคิด “เรื่องนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ต้องได้รับการตัดสินจริงๆ ขึ้นอยู่กับว่าพวกเราต้องการให้มรรคาสวรรค์เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด จะให้เป็นบ้านอันปลอดภัย หรือกลายเป็นศูนย์กลางของฟ้าบุพกาล”
ฟางเหลียงเปิดปากเอ่ย “ย่อมต้องเป็นศูนย์กลางของฟ้าบุพกาล ขอเพียงพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีทางที่จะถูกศัตรูไล่ตามทัน!”
“ถูกต้อง จะปล่อยให้กระแสซบเซาลงได้อย่างไร”
“ข้าก็สนับสนุนให้เปิดรับเช่นกัน”
“ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ จะได้ถือโอกาสบุกเบิกโลกมนุษย์ธรรมดาให้มากขึ้น”
“ข้าเห็นด้วย”
อริยะรายอื่นพากันเปิดปากแสดงความเห็น ไม่มีอริยะคนใดคัดค้านเลย
ประเด็นสำคัญคือมรรคาสวรรค์เพิ่งรุ่งเรืองขึ้นได้ล้านกว่าปี แวดวงอริยะไม่เคยเผชิญอุปสรรคหนักหนา ล้วนฮึกเหิมเปี่ยมพลัง คึกคักกระตือรือร้น
หานเจวี๋ยไม่ได้ออกความเห็น เรื่องราวจึงถูกตัดสินตามนี้
สุดท้ายเทพสูงสุดหนานจี๋ได้รับการคัดเลือกให้รับผิดชอบเรื่องนี้ เทพสูงสุดหนานจี๋ได้ลงทุนครั้งใหญ่ บุกเบิกแดนศักดิ์สิทธิ์อุทิศดวงชะตามรรคาสวรรค์ให้แก่สิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาล หากต้องการเข้าร่วมมรรคาสวรรค์ จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นไปสักระยะหนึ่ง
อืม ให้ความรู้สึกคล้ายการลงทะเบียนสำมะโนครัวอยู่บ้าง
เทพสูงสุดหนานจี๋ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในใจตื่นเต้นยิ่ง
เขามองเห็นรูปการณ์ของมรรคาสวรรค์กระจ่างชัดมานานแล้ว เขาไม่ปวารณาตัวสวามิภักดิ์ต่อหานเจวี๋ยเลย จึงคิดว่าผลประโยชน์คงไม่มีทางตกมาถึงตนแล้ว
เขามองหานเจวี๋ยอย่างตื้นตัน นึกว่าเป็นเจตนาของหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยรู้สึกแปลกพิกล ทว่ายังคงพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย
เทพสูงสุดหนานจี๋ตื้นตันยิ่งกว่าเดิม แต่ยังคงควบคุมตัวได้ดียิ่ง
ท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ของทั้งสองคนถูกอริยะคนอื่นๆ จับสังเกตอยู่ เหล่าอริยะหน้าใหม่บังเกิดจินตนาการ ส่วนเหล่าอริยะอาวุโสกระจ่างขึ้นมาในทันใด
ตำหนักเอกภพดูคล้ายกลมเกลียวสมัครสมาน แต่เบื้องหลังเรียกได้ว่ามีสีสันอย่างยิ่ง
หานเจวี๋ยไม่ได้คิดมาก และไม่มีความจำเป็นต้องคิดด้วย
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยเรื่องที่สองขึ้นมา “ข้าได้ยินข่าวว่าช่วงก่อนหน้านี้มีสิ่งมีชีวิตใช้โอสถอนธการ กระตุ้นกฎระเบียบสูงสุดแห่งฟ้าบุพกาลเข้า กฎระเบียบสูงสุดจึงวิวัฒนาการขุนพลศักดิ์สิทธิ์หนึ่งหมื่นคนออกตระเวนไปทั่วฟ้าบุพกาล ไม่ทราบว่าจะมาถึงมรรคาสวรรค์ยามใด ข่าวนี้แพร่ไปทั่วฟ้าบุพกาลแล้ว พวกเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร”
มหาจักรพรรดิเซียวเอ่ยถาม “ลาดตระเวนอย่างไร จะเข้ามาในมรรคาสวรรค์อย่างนั้นหรือ”
จอมอริยะเสวียนตูตอบ “คาดว่าจะเป็นเช่นนั้น”
พอเอ่ยมาเช่นนี้ เหล่าอริยชนได้ยินต่างก็แตกตื่น เริ่มพูดคุยหารือกัน
อริยะส่วนใหญ่ล้วนไม่ต้องการให้มีอริยะหรือตัวตนที่เหนือกว่าอริยะเข้ามาในมรรคาสวรรค์ เลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องร้ายขึ้น
หารือกันอยู่ครึ่งชั่วยาม เหล่าอริยชนลงความเห็นร่วมกัน ตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยให้ขุนพลศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่มรรคาสวรรค์
หานเจวี๋ยลอบขบขันอยู่ในใจ
อริยะมหามรรคหนึ่งหมื่นคน พวกเจ้าจะต้านทานไหวหรือ
หานเจวี๋ยไม่ได้เอ่ยออกไปตรงๆ ด้วยเกรงว่าเหล่าอริยชนจะตกใจ เห็นได้ชัดว่าข้อมูลของจอมอริยะเสวียนตูตกหล่นไป แต่ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน เมื่อเกี่ยวพันถึงอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค ต้องมีสิ่งมีชีวิตทราบเรื่องน้อยยิ่งอย่างแน่นอน
ยังมีเวลาอีกสี่ล้านกว่าปี เมื่อถึงเวลานั้นหานเจวี๋ยค่อยแจ้งเหล่าอริยะมรรคาสวรรค์ก็ยังไม่สาย
ไม่จำเป็นต้องทำให้ขวัญกำลังใจของกองกำลังตนปั่นป่วนก่อนถึงเวลา
จอมอริยะเสวียนตูมองไปที่หานเจวี๋ย เอ่ยว่า “สิบสองบรรพชนจอมเวทจะมาเยี่ยมเยือนมรรคาสวรรค์ เกรงว่าจะไม่ได้มาด้วยเจตนาดี เมื่อถึงเวลานั้นคงต้องให้สหายเต๋าหานช่วยออกหน้า ถึงอย่างไรตี้เจียงและจู๋จิ่วอินก็เป็นอริยะมหามรรค ส่วนบรรพชนจอมเวทคนอื่นๆ ล้วนเป็นอริยะเสรี”
สิบสองบรรพชนจอมเวทอย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยคิดเล็กน้อย ตอบไปว่า “ตกลง”
ระดับของคนกลุ่มนี้ล้วนสู้หานเจวี๋ยไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพลังในการต่อสู้เลย
เหล่าอริยะหน้าใหม่อดไม่ได้ที่จะคาดหวังตั้งตารอการมาถึงของสิบสองบรรพชนจอมเวท จุดประสงค์หลักของพวกเขาคืออยากเห็นความร้ายกาจของหานเจวี๋ย
ช่วงที่นักพรตเต๋าเสินเผามาโจมตีก่อนหน้านี้ การต่อสู้จบลงเร็วเกินไป รวมถึงภายในแวดวงอริยะ ทราบเพียงหานเจวี๋ยแข็งแกร่งยิ่ง ทว่ามิได้สัมผัสอย่างลึกล้ำ
เมื่อเป็นเช่นนี้ การประชุมอริยะครั้งนี้จึงสิ้นสุดลง
หานเจวี๋ยลุกขึ้นเตรียมจากไป
ผานซินพลันเดินเข้ามาหาหานเจวี๋ย กล่าวว่า “สหายเต๋าหานสะดวกมาเยือนตำหนักผานกู่สักรอบหรือไม่”
หานเจวี๋ยพยักหน้า คาดว่าผานซินคงมีเรื่องรายงาน
ทั้งสองจากไป
อริยะตนอื่นแม้จะใส่ใจใคร่รู้ แต่ก็ไม่ได้ถามไถ่ให้มากความ
ภายในตำหนักผานกู่
หานเจวี๋ยและผานซินนั่งตรงข้ามกัน ผานซินเอ่ยด้วยความกังวล “เดิมทีไม่อยากนำเรื่องนี้มารบกวนท่าน แต่ข้าทำใจไม่ได้จริงๆ ขวานเบิกฟ้าของข้าถูกมิ่งขโมยไปแล้วขอรับ!”
ขวานเบิกฟ้าอย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
ขวานเบิกฟ้าเล่มนั้นของผานซินแข็งแกร่งยิ่ง มอบความประทับใจอย่างล้ำลึกให้หานเจวี๋ยตั้งแต่ครั้งแรก ยอดสมบัติระดับนี้หากตกไปอยู่ในมือของมิ่ง ย่อมไม่ใช่เรื่องดีเลย
“เจ้าทราบหรือไม่ว่าเป็นผู้ใดขโมยไป” หานเจวี๋ยถาม
ผานซินกัดฟันตอบ “น่าจะเป็นปรมาจารย์ลัญจกรสรวงขอรับ! ในกลุ่มมิ่งที่ปรากฏตัวขึ้นละแวกเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลช่วงนี้ ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงมาป้วนเปี้ยนบ่อยที่สุด อีกทั้งเขาแข็งแกร่งยิ่ง มีความสามารถพอจะขโมยขวานเบิกฟ้าไปจากข้าตรงๆ ได้”
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงอย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม เขารู้สึกว่าปรมาจารย์ลัญจกรสรวงไม่คล้ายจะเป็นคนประเภทนี้
‘ขวานเบิกฟ้าของผานซินถูกผู้ใดขโมยไป’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[เนื่องจากขวานเบิกฟ้าของท่านยกระดับถึงระดับเลิศมรรคา ขวานเบิกฟ้าของเขาจึงสลายไปด้วยตัวเอง สมบัติเลิศมรรคามีได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องด้วยมีผลกรรมยิ่งใหญ่]
เมื่อหานเจวี๋ยเห็นข้อความนี้ สีหน้าท่าทางพลันแปลกพิกลขึ้นมา
ที่แท้หัวขโมยก็คือข้าเช่นนั้นหรือ
ผานซินเอ่ยด้วยความลังเล “หากว่าทำให้ท่านลำบากใจ เช่นนั้นก็แล้วไปเถิดขอรับ”
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “มรรคาสวรรค์ติดค้างผลกรรมหนักหนาต่อปรมาจารย์ลัญจกรสรวง เจ้าเคยเห็นเองกับตา หรือเขาเป็นฝ่ายยอมรับหรือไม่”
“ไม่มีขอรับ ข้าเพียงคาดเดาเท่านั้น…”
หานเจวี๋ยถอนหายใจคราหนึ่ง นำป้ายคำสั่งพิฆาตมรรคาออกมา เอ่ยว่า “นี่คือป้ายคำสั่งพิฆาตมรรคา ยอดสมบัติสังหารระดับเสรี สังเวยอายุขัยหรือดวงชะตาเพื่อสั่งพิฆาตศัตรู วาจาคือประกาศิต ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือไม่สามารถสังหารสิ่งมีชีวิตที่ไร้บ่วงกรรมเกี่ยวข้องกับตนได้ ข้ายกให้เจ้า หวังว่าเจ้าจะปกป้องคุ้มครองมรรคาสวรรค์ต่อไป”
เรื่องขวานเบิกฟ้า หานเจวี๋ยไม่คิดจะบอกความจริง หากพูดไปแล้วไม่กระจ่าง อาจจะเกิดปัญหาตามมาในภายหลัง
ขวานเบิกฟ้าเป็นสมบัติวิเศษลับของเขา!
………………………………………………………………