บทที่ 799 ลึกล้ำเกินหยั่ง
หลังจากปรมาจารย์ลัญจกรสรวงผนึกเทพจักรพรรดิอัปมงคลไว้ในสายธารสีทองกลางฝ่ามือแล้ว มือซ้ายก็ขยับร่ายเวทต่อไป ผนึกอาคมเส้นแล้วเส้นเล่าประทับลงในสายธารสีทองในมือขวา สว่างพร่างตา
ภาพนี้ทำให้จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเบิกตากว้าง
เป็นไปได้อย่างไร!
เทพจักรพรรดิอัปมงคลเป็นตัวตนที่เทียบเท่ากับอริยะมหามรรค เหตุใดถึงตกอยู่ในกำมือของปรมาจารย์ลัญจกรสรวงอย่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรงขัดขืนเลยเล่า
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงก็เป็นอริยะมหามรรคเช่นเดียวกันมิใช่หรือ
จู่ๆ จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก็รู้สึกว่าปรมาจารย์ลัญจกรสรวงดูแปลกหน้าห่างเหินไปอย่างยิ่ง
ในอดีตที่ผ่านมายามอยู่ในมรรคาสวรรค์ ปรมาจารย์เก็บงำตบะไว้อย่างนั้นหรือ
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายคิดไม่ออกเลย แต่เขาเข้าใจอย่างหนึ่งว่า สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
เทพจักรพรรดิอัปมงคลถูกผนึก ไม่มีใครคอยถ่วงมือถ่วงเท้าปรมาจารย์ลัญจกรสรวงไว้ ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงจะรอคอยต่อไป หรือจะเปิดฉากสังหารล้างบางครั้งใหญ่กันแน่
ในเวลานี้เอง
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายพลันนึกถึงหานเจวี๋ยขึ้นมา
หรือจะอัญเชิญหานเจวี๋ยมาช่วยดี
ตอนนี้ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขานึกถึงก็คือหานเจวี๋ย แม้แต่เทพมารมหามรรคหลบเร้นก็เทียบไม่ติดแล้ว
และในเวลานี้เอง
จู่ๆ ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงก็หันมองไปทางส่วนลึกของความมืดมิด
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายที่จ้องมองเขาอยู่ตลอด ก็อดไม่ได้ที่จะหันมองตาม
ในส่วนลึกของความมืดมิด ไร้ซึ่งสิ่งใด
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายไม่รับรู้ถึงกลิ่นอายของกองหนุนเลย
หลี่เต้าคงสำแดงหมื่นกระบี่ก่อกำเนิด ซากปรักหักพังนับไม่ถ้วน อาวุธวิเศษ หินอุกกาบาตรล้วนแปรสภาพเป็นกระบี่ โจมตีใส่โจวฝาน
“โจวฝาน ต้องการร้องขอความเมตตาหรือไม่” หลี่เต้าคงถามหยอกเย้า
โจวฝานโมโหจนพาลโกรธ ร้องด่าว่า “อะไรกัน เจ้าคิดจะสังหารข้าเช่นนั้นหรือ”
หลี่เต้าคงเอ่ยยิ้มๆ “จะเป็นไปได้อย่างไร ดีร้ายอย่างไรพวกเราก็เป็นสหายเก่ากัน แต่สถานการณ์ของสงคราม เจ้าเองก็เห็นอยู่”
เขารู้สึกชื่นมื่นยิ่งนัก ไม่เพียงแต่ได้กลั่นแกล้งโจวฝานเท่านั้น ที่สำคัญคือเขาได้เห็นสือตู๋เต้าถูกทุบตีด้วย
สือตู๋เต้าถูกทุบตี แต่เขากลับเป็นฝ่ายได้เปรียบ!
เมื่อนำทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน เห็นได้ชัดว่าเขาร้ายกาจกว่า เขาจะไม่ดีใจได้อย่างไรเล่า
….
นอกมรรคาสวรรค์ หานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้นบนเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล
เขามองไปทางแดนต้องห้ามอันธการ ค่อยๆ ชูมือขวาขึ้น
“ปรมาจารย์ ท่านอยากสู้หรือ น่าเสียดาย ตัวข้าผู้นี้ไม่มีนิสัยชอบออมมือ เพื่อป้องกันไม่ให้สังหารท่านในเสี้ยววินาที ข้าจะเว้นระยะห่างแล้วค่อยโจมตีท่านแทน”
เงาร่างเทพมารร่างแล้วร่างเล่าผุดขึ้นเหนือศีรษะหานเจวี๋ย จากนั้นก็มุดหายเข้าไปในร่างเขา
วิชาผสานร่างจำลอง!
เมื่อผสานร่างจำลองไปได้ราวห้าสิบร่าง หานเจวี๋ยยื่นนิ้วออกไป โทสะเทพมารอนธการก่อตัวขึ้น จากนั้นยิงดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพออกไป
ตูม!
ปราณกระบี่อันน่าหวาดผวาสายหนึ่งพุ่งออกไป ฉีกกระชากความมืดมิด เฉือนแยกออกเป็นเส้นตัดตรงสีขาวที่มองไม่เห็นปลายทาง ขยายลามเข้าไปสู่ส่วนลึกของฟ้าบุพกาล
จากนั้นหานเจวี๋ยก็หันหลังกลับ
ผานซินและเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเขา ผานซินถามด้วยความประหม่า “มีศัตรูหรือ”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยก็หวั่นวิตกยิ่งนักเช่นกัน
สามารถบีบให้หานเจวี๋ยต้องลงมือด้วยตัวเองได้ อีกฝ่ายต้องร้ายกาจมากแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องเป็นอริยะมหามรรค!
หานเจวี๋ยยิ้มน้อยๆ กล่าวไปว่า “ไม่มีศัตรู เพียงแต่มีคนมาท้าข้ารบอยู่ที่เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่เท่านั้น”
เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่อย่างนั้นหรือ
ผานซินและเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยตะลึงงัน อดสบตากันไม่ได้ ต่างมองเห็นสายตาเหลือจะเชื่อของอีกฝ่าย
ระยะห่างระหว่างเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่และมรรคาสวรรค์ไกลโพ้นถึงเพียงใด ต่อให้เป็นอริยะเสรี ก็ไม่สามารถเดินทางได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ
หานเจวี๋ยลงมือทั้งที่อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้หรือ
พวกเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าที่แท้ตบะของหานเจวี๋ยสูงมากเพียงใด
หานเจวี๋ยเลือนหายไปจากจุดเดิม กลับไปที่อารามเต๋า นั่งลงบนแท่นบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรฝึกบำเพ็ญต่อ
….
ณ อาณาเขตของเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่
ทันใดนั้นปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนก่อนเอ่ยขึ้นมาว่า “หยุด!”
วินาทีนั้นทัพมิ่งทั้งหมดที่กำลังต่อสู้อยู่พากันหยุดมือ เงยหน้ามองไปที่เขา
หลี่เต้าคงและสือตู๋เต้าก็หยุดมือเช่นกัน
เทพเซียนและผู้บำเพ็ญของเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่รีบถอยหลังไป ถือโอกาสพักหายใจ
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนเงยหน้ามองไปที่ปรมาจารย์ลัญจกรสรวง ราวกับมดปลวกที่เงยหน้ามองฟ้า
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายขมวดคิ้ว สังหรณ์ใจไม่ดีอย่างน่าประหลาด
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงคิดจะทำอะไรกันแน่
ในเวลานี้เอง!
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดรับรู้ได้ถึงแรงกดดันสูงสุดที่โถมทับลงมา ทำให้วิญญาณของพวกเขาล้วนสั่นคลอนโยกไหว
รวมถึงจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย สือตู๋เต้า หลี่เต้าคงและโจวฝานด้วย!
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอันน่าหวาดหวั่นสุดขีด ความรู้สึกหวาดกลัวและความรู้สึกเล็กจ้อยไร้กำลังพลันเข้าครอบงำพวกเขา
พวกเขาหันมองไปตามสัญชาตญาณ ทว่าสายตายังจับจุดไม่ได้ ปราณกระบี่สายหนึ่งก็ส่องแสงเจิดจ้าแหวกอากาศเข้ามา โถมเข้าใส่ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงอย่างเผด็จการไม่อาจหยุดยั้งได้!
ซากอุกกาบาตปลิวว่อนนภา!
สั่นสะเทือนห้วงมิติ!
สองฝ่ามือของปรมาจารย์ลัญจกรสรวงยกขึ้นต้านทันที ปลดปล่อยพลังเวททั้งหมดออกไป ผนึกอาคมเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งเข้ารวมกับพลังเวทใจกลางฝ่ามือเขาอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นจานเข็มทิศสีทองใหญ่ยักษ์ชิ้นหนึ่งในชั่วพริบตา เข้าต้านปราณกระบี่ของหานเจวี๋ย
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งส่วนพันล้านวินาที จานเข็มทิศที่ใหญ่มโหฬารปานดวงอาทิตย์ก็ถูกปราณกระบี่ทำลายล้าง
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเบิกตากว้าง เส้นผมขาวโพลนถูกพัดปลิวไปด้านหลัง
แสงกระบี่เจิดจ้าพร่าตาสิ่งมีชีวิตทั้งหมด แม้แต่จิตศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกปิดกั้นจนสิ้น!
จนกระทั่งแสงกระบี่สลายไป จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเงยหน้าขึ้นมองเป็นคนแรก
ปราณกระบี่สลายไปแล้ว ในส่วนลึกของความมืดมิดแตกเป็นโพรงใหญ่ ห้วงมิติสีม่วงเข้มในชั้นถัดไปดูคล้ายกับ ปากที่อ้ากว้างของสัตว์ประหลาดแห่งจักรวาล ทำให้คนรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงลอยอยู่ในอากาศ ผมสยายรุ่ยราย หลังโก่งงุ้ม คอตก แต่แผ่นหลังที่สั่นไหวนิดๆ ยืนยันได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
ไม่นานนัก ประสาทสัมผัสของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็กลับคืนมา พวกเขาเงยหน้ามองขึ้นไป เมื่อเห็นสภาพของปรมาจารย์ลัญจกรสรวง ต่างสูดหายใจด้วยความตกใจ
โดยเฉพาะกองทัพมิ่ง ขวัญกำลังใจแตกพ่าย หวาดกลัวสุดขีด
โจวฝานสบตากับจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายแวบหนึ่ง
พวกเขาคาดเดาความจริงได้แล้ว
หานเจวี๋ยลงมือ!
จากนั้นน้ำเสียงอ่อนระโหยของปรมาจารย์ลัญจกรสรวงดังขึ้น “ถอยทัพ”
เขายืดกายขึ้น มุ่งหน้าสู่ความมืดมิด
หลี่เต้าคงยิ้มให้โจวฝานพลางกล่าวว่า “สู้กันใหม่ครั้งหน้า ระวังข้าจะชิงเอาเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ของเจ้ามา วันหน้าก็วางท่าให้มันน้อยๆ หน่อย!”
“ฮึ่ม!”
โจวฝานไม่สบอารมณ์ยิ่ง แต่ก็ไม่มีอะไรจะพูด
สือตู๋เต้ามองจักรพรรดิสวรรค์อย่างมีนัยลุ่มลึกแวบหนึ่ง พากองทัพมิ่งนับไม่ถ้วนตามปรมาจารย์ลัญจกรสรวงไป
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายและโจวฝานก็ไม่ได้ออกคำสั่งให้ตามไล่ล่า
ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่ามุมปากของปรมาจารย์ลัญจกรสรวงที่จากไปแล้วยกขึ้นนิดๆ เผยรำพันด้วยเสียงที่มีเพียงตัวเขาที่ได้ยิน “ชนรุ่นหลังที่เก่งกล้า”
….
ภายในอารามเต๋า
หานเจวี๋ยรู้สึกตระหนกอยู่บ้าง ถึงแม้เขาจะออมมือแล้ว แต่ไม่คาดคิดเลยว่าปรมาจารย์ลัญจกรสรวงจะรักษาสังขารเอาไว้ได้
ดูเหมือนปรมาจารย์จะมียอดสมบัติคุ้มกาย
แต่ก็ไม่เป็นไร หานเจวี๋ยผสานพลังร่างจำลองเพียงห้าสิบร่างเท่านั้น
หากว่าเขาประสานพลังร่างจำลองหลักพันร่างขึ้นไป ถึงมีสิบปรมาจารย์ลัญจกรสรวงยืนอยู่รวมกัน ก็ต้องร่างสิ้นวิญญาณสลาย!
[ความประทับใจที่ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 6 ดาว]
แจ้งเตือนแถวหนึ่งพลันเด้งขึ้นมาเบื้องหน้า หานเจวี๋ยพูดไม่ออกเลย
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่ วิกฤตของวังสวรรค์และเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่นับว่าคลี่คลายแล้ว
หานเจวี๋ยนึกขึ้นได้ว่าฉู่ซื่อเหรินก็เผชิญวิกฤตอยู่เช่นกัน วิญญาณของเขาถูกคนจองจำไว้
เขาเข้าฝันฉู่ซื่อเหรินต่อ
แดนความฝันคือใต้ต้นฝูซัง อาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลมาจากจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย ยามเข้าฝันหานเจวี๋ยจึง มักจะแฝงความอาลัยในอดีตไว้
ฉู่ซื่อเหรินลืมตาขึ้น เมื่อเห็นหานเจวี๋ย ก็รีบคุกเข่าทำความเคารพ
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “มีปัญหาใช่หรือไม่”
ฉู่ซื่อเหรินผงะไป ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าเล็กน้อย
“เหตุใดถึงไม่ใช้วิชาอัญเชิญเทพ”
“ศิษย์ไม่อยากนำเรื่องของตนไปรบกวนอาจารย์ปู่ขอรับ หากว่าเป็นตัวตนระดับอาวุโสที่ระดับสูงล้ำกว่า ศิษย์ย่อมจะเรียกหาท่าน แต่อีกฝ่ายเป็นเพียงอริยะเสรี หากเรียกหาท่าน ข้ารู้สึกว่าจะเป็นการรังแกผู้อื่นเกินไป”
ฉู่ซื่อเหรินเอ่ยอย่างจริงจังยิ่ง หานเจวี๋ยฟังแล้วอยากขำออกมา
หานเจวี๋ยกล่าวไปว่า “แล้วเจ้าไม่กลัวตายหรือ”
ฉู่ซื่อเหรินตอบ “ไม่มีทางขอรับ ข้ายังคิดจะสยบอีกฝ่ายด้วย รับมาเป็นบรรพชนพุทธแห่งโลกพุทธะ!”
หานเจวี๋ยถาม “เจ้าอาศัยสิ่งใดถึงได้โอหังเช่นนี้”
………………………………………………………………