บทที่ 806 เทพมารถือกำเนิด
หานอวี้เข้ามานั่งด้านหลังฟางเหลียงอย่างพินอบพิเทา ฟางเหลียงก็ไม่ได้พูดมากเช่นกัน กลับเป็นอริยะหน้าใหม่อย่างเทียนจ้านที่สนใจใคร่รู้ในตัวหานอวี้ยิ่ง
ผานซินเอ่ยว่า “ข้าพบทะเลเพลิงฟ้าบุพกาลแห่งนั้นแล้ว มีอยู่จริงๆ นักพรตเต๋าเสินเผาก็ตั้งใจกำนัลให้มรรคาสวรรค์จริงๆ เพียงแต่มีดินแดนอื่นสอดมือเข้ามายุ่ง อีกฝ่ายก็มีอริยะมหามรรคประจำการอยู่เช่นกัน ซ้ำยังเป็นสุนัขรับใช้ผู้ภักดีของนักพรตเต๋าเสินเผาด้วย นักพรตเต๋าเสินเผาถูกอีกฝ่ายตัดพ้อ หาทางออกไม่ได้ชั่วขณะ”
เทพสูงสุดอู๋ฝ่าแค่นเสียงกล่าว “เจ้าไม่ได้แจ้งนามของสหายเต๋าหานหรือ”
ผานซินเอ่ยว่า “แจ้งแล้ว ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงทำข้อตกลงกัน แต่ละฝ่ายจะส่งบุตรแห่งสวรรค์ระดับครึ่งอริยะหนึ่งคนออกมาประลองกัน ผู้ใดเป็นฝ่ายชนะ ทะเลเพลิงฟ้าบุพกาลก็จะตกเป็นของผู้นั้น ข้อตกลงนี้เป็นประโยชน์ต่อมรรคาสวรรค์อย่างสิ้นเชิง ในมรรคาสวรรค์มีบุตรแห่งสวรรค์มากมายนับไม่ถ้วน โลกภายใต้การปกครองของอริยะมหามรรครายนั้นยังห่างชั้นไม่อาจเทียบกับมรรคาสวรรค์ได้”
จี้เซียนเสินเอ่ยขึ้นว่า “เผ่าสวรรค์ของข้ามีบุตรแห่งสวรรค์มากมาย รับผิดชอบศึกนี้ได้”
เทียนจ้านพยักหน้าเห็นด้วย แสดงสีหน้าภาคภูมิใจ
ฟางเหลียงกล่าวเตือน “พึงระวังให้มากย่อมเดินทางราบรื่นนับหมื่นปี เลือกส่งคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ครึ่งอริยะไปจะดีที่สุด”
จอมอริยะเสวียนตูยิ้มออกมาอย่างที่หาได้ยาก กล่าวว่า “ข้าเห็นว่าในมรรคาสวรรค์มีบุตรแห่งสวรรค์นับไม่ถ้วน แต่บอกไม่ได้จริงๆ ว่าผู้ใดเป็นอันดับหนึ่งใต้หล้า”
เทียนจ้านกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ส่งศิษย์ของข้าไปเถอะ เขาเคยต่อสู้กับครึ่งอริยะเผ่าหายนะแบบหนึ่งต่อสิบ ไม่ตกเป็นรองเลย เป็นบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งของเผ่าสวรรค์”
จอมอริยะเสวียนตูเหลือบมองจี้เซียนเสินแวบหนึ่ง จี้เซียนพยักหน้าให้
จากนั้นจี้เซียนเสินลังเลครู่หนึ่ง เอ่ยไปอีกว่า “ศึกนี้จะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด หากแพ้ ก็ปลดเทียนจ้านออกจากตำแหน่งอริยะเถิด”
เทียนจ้านมีสีหน้าตื่นตะลึง จากนั้นแววตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่น
หลังจากกลับไปแล้ว เขาจะต้องสั่งสอนศิษย์ให้ดี เตรียมลู่ทางไว้ จะแพ้ไม่ได้
หานอวี้นั่งอยู่ด้านหลังฟางเหลียง ฟังบทสนทนาของเหล่าอริยะ ตระหนกอยู่ในใจ
มองจากจุดนี้ดูเหมือนอริยะจะไม่ได้มีศักดิ์ฐานะเสมอกัน ในหมู่อริยะก็ยังมีแบ่งระดับชนชั้น
อริยะหน้าใหม่ไม่มีสิทธิ์มีเสียง!
อย่างน้อยลำดับศักดิ์ของท่านบรรพชนก็คงจะเท่าเทียมกับจอมอริยะเสวียนตูกระมัง
หานอวี้คิดเงียบๆ
เขาทราบว่าหานเจวี๋ยแข็งแกร่งยิ่ง แต่ผู้ปกครองมรรคาสวรรค์คือจอมอริยะเสวียนตู ถึงขั้นที่มีคนพูดเล่นว่าจอมอริยะเสวียนตูคือหัวหน้าเหล่าอริยะ ส่วนอริยะสวรรค์เกรียงไกรคือศูนย์รวมใจของมรรคาสวรรค์
จอมอริยะเสวียนตูรับผิดชอบดูแลมรรคาสวรรค์ ส่วนอริยะสวรรค์เกรียงไกรรับผิดชอบข่มขวัญฟ้าบุพกาล!
“เรื่องนี้ว่ากันตามนี้เถิด ต้องเอาทะเลเพลิงฟ้าบุพกาลมาให้ได้ เรื่องราวเกี่ยวพันถึงอนาคตอีกนับล้านล้านปีของมรรคาสวรรค์”
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยเสียงเบา “ใช่แล้ว ตำแหน่งอริยะในครั้งต่อไปถูกกำหนดไว้แล้ว ก็คือคนผู้นี้ที่อยู่ด้านหลังสหายเต๋าฟาง ศิษย์สืบทอดของหลี่เต้าคงอดีตอริยะมรรคาสวรรค์ ผู้ครอบครองเขาเทพปู้โจว”
เทพสูงสุดอู๋ฝ่า ผานซิน ฟางเหลียงและจี้เซียนเสินต่างพยักหน้ารับ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ
เทียนจ้านกระจ่างขึ้นมาในทันใด ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ฐานะของคนผู้นี้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่แปลกเลยที่จะได้ครองตำแหน่งอริยะล่วงหน้า
หานอวี้รีบค้อมคำนับ ไม่คิดเลยว่าจะกำหนดกันตรงๆ เช่นนี้ แม้แต่พิธีการก็ไม่มี
จากนั้นจอมอริยะเสวียนตูก็โบกแขนเสื้อ เหล่าอริยชนถอยออกไป ในตำหนักเหลือเพียงหานอวี้
จอมอริยะเสวียนตูมองหานอวี้ เอ่ยยิ้มๆ “เจ้าหน้าตาเหมือนสหายเต๋าหานจริงๆ จะว่าไป ฉินหลิงเองก็นับว่าได้รับการอบรมสั่งสอนจากเจ้ากระมัง เด็กคนนี้ยอดเยี่ยมมาก วันหน้าจะกลายเป็นเทพพิทักษ์ของมรรคาสวรรค์เป็นแน่”
หานอวี้ตอบว่า “ที่ศิษย์หลานของข้ามีวันนี้ได้ ต้องขอบคุณความเมตตาของเหล่าอริยะ”
จอมอริยะเสวียนตูถาม “เจ้ารู้สึกว่าทุกอย่างล้วนเป็นดูเป็นสิ่งเลื่อนลอย ถึงขั้นที่เป็นความผิดบาปใช่หรือไม่”
หานอวี้ผงะไป เงียบงันไม่ยอมตอบ
จอมอริยะเสวียนตูกล่าวว่า “ข้าเห็นว่าเมื่อครู่ดวงตาเจ้าซ่อนเร้นความดูแคลนเสี้ยวหนึ่งไว้ เป็นเพราะรู้สึกว่าอริยะจัดการเรื่องของฉินหลิงอย่างใจดำไร้เมตตา มองสรรพสิ่งในฟ้าดินเป็นดั่งสุนัขฟางกระมัง”
หานอวี้ยังคงนิ่งเงียบ
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “ต่อให้เป็นเรื่องโกหกลวงโลกแล้วอย่างไรเล่า เรื่องลวงโลกนี้ก่อให้สิ่งมีชีวิตที่ไร้ความผิดต้องสิ้นชีพจริงๆ แต่เมื่อเทียบกับมหาเคราะห์ในอดีตของมรรคาสวรรค์แล้ว ความสูญเสียนี้จะนับเป็นอันใดเล่า
“ไม่มีสันติสุขที่แท้จริง หากว่าอริยะไม่บุกเบิกเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลขึ้น สรรพสิ่งที่มุ่งหน้าสู่แดนต้องห้ามอันธการจะถูกสิ่งอัปมงคลโจมตี มรรคาสวรรค์ถูกปิดกั้นเช่นนี้ เมื่อจำนวนสรรพสิ่งบรรลุถึงขีดจำกัด แม้แต่จะดูดซับพลังวิญญาณก็ยังต้องแย่งชิงกัน เจ้าว่าภาพนั้นจะเป็นอย่างไรเล่า”
หานอวี้หน้าเปลี่ยนสี เขาไม่ใช่คนทะนงตนถือดี เขาก็ทราบถึงมุมมองภาพรวมของเหล่าอริยะเช่นกัน เพียงแต่ค่อนข้างไม่สบอารมณ์ที่เหล่าอริยะหลอกลวงสรรพสิ่งเท่านั้น
ต่อให้เป็นการโกหกด้วยเจตนาดีก็ยังเป็นการโกหกอยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อคำโกหกเหล่านั้นจะชักนำสิ่งมีชีวิตไปสู่ความตาย นี่ถือเป็นความผิดบาป
“เรื่องราวบนโลกาเดิมทีก็หาได้ยุติธรรมไม่ หากหลังจากเจ้าสำเร็จเป็นอริยะแล้ว สามารถหาคำตอบพบ นั่นก็เป็นเรื่องดี บางทีอาจจะมีเส้นทางที่มรรคาสวรรค์ยังไม่ค้นพบอยู่จริงๆ” จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยอย่างลุ่มลึกมีนัย
หานอวี้ใคร่ครวญตาม
ผ่านไปพักใหญ่
เขาคำนับจอมอริยะเสวียนตู เอ่ยว่า “ผู้เยาว์ขอบพระคุณอริยะท่านที่ช่วยชี้แนะ”
ที่จอมอริยะเสวียนตูพูดเรื่องพวกนี้กับเขา แปลว่าให้ความสนใจเขา มิเช่นนั้นคงปล่อยให้เขากระทำการบุ่มบ่ามเลินเล่อไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อวันหน้าทำผิดพลาด ค่อยฉวยโอกาสปลดจากตำแหน่งอริยะ
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “กำลังว่างอยู่พอดี ข้าจะเทศนาธรรมให้เจ้าแล้วกัน ยกระดับตบะให้เจ้า พลังมรรคของเจ้ายังคงอยู่ห่างจากตำแหน่งอริยะ”
หานอวี้ละอายใจ ได้แต่พยักหน้ารับ
….
เพียงชั่วพริบตาเดียว
หานเจวี๋ยปิดด่านครบห้าหมื่นปีอีกครั้ง เขาลืมตาขึ้น บิดขี้เกียจคราหนึ่ง
กำหนดระยะเวลาห้าหมื่นปีสามารถทำให้เขาสัมผัสถึงความก้าวหน้าของตบะได้
เขาอยากจะปิดด่านรวดเดียวจนกระทั่งทะลวงขั้นได้จริงๆ
หากว่าไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องใดเลย บางทีอาจจะเหมือนความฝันตื่นหนึ่ง ผ่านไปในชั่วพริบตา
น่าเสียดายที่ทำไม่ได้ เขายังคงอดทนไม่ไหวอยากรู้ความเป็นไปของเหล่าศิษย์บ้าง
เขาเปิดอ่านจดหมาย
[ฉู่ซื่อเหรินศิษย์หลานของท่านกายาผันพันล้านร่างจำลอง ท่องไปตามห้วงมิติฟ้าบุพกาล]
[เจียงอี้สหายของท่านดูดซับพลังสุริยะฟ้าบุพกาล พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากนักพรตเต๋าเสินเผาสหายของท่าน]
[ตี้เจียงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากนักพรตเต๋าเสินเผาสหายของท่าน]
[เจ้าแม่หนี่ว์วาสหายของท่าน…]
….
[หวงจุนเทียนสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]
[หานทั่วบุตรชายของท่านตระหนักรู้ในมหามรรคต้นกำเนิด พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสหายของท่านได้รับการชี้แนะจากบรรพชนเต๋าสหายของท่าน พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
….
เหตุใดนักพรตเต๋าเสินเผาถึงตีกับจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายรวมถึงอริยะมหามรรคแห่งแดนเทพหวนปัจฉิมได้เล่า
โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ คาดว่าคงเป็นการทะเลาะวิวาทเล็กๆ น้อยๆ
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าปรมาจารย์ลัญจกรสรวงติดต่อกับบรรพชนเต๋า
บรรพชนเต๋าฟื้นคืนชีพแล้วหรือ
ไม่สิ
คาดว่าเป็นเจตจำนงที่ยังคงอยู่
จะว่าไปแล้วบรรพชนเต๋าและผานกู่ต่างก็ลึกลับจริงๆ ดูเหมือนจะดับสูญไปแล้ว แต่ยังคงโผล่มาสร้างเรื่องอยู่เป็นระยะๆ
หานเจวี๋ยไล่อ่านลงไปเรื่อยๆ ระยะนี้บรรพชนมารน่าจะกบดานอยู่ หานทั่วและอี๋เทียนต่างปิดด่านฝึกบำเพ็ญมาโดยตลอด กลุ่มอิทธิพลมิ่งเองก็เป็นเช่นเดียวกัน
ฟ้าบุพกาลสงบ เป็นเรื่องที่ดียิ่ง
ทุกคนต่างสงบใจฝึกบำเพ็ญ
รอจนข้าไร้พ่ายแล้ว พวกเจ้าค่อยก่อเรื่องเถิด มอบโอกาสให้ข้า ทำให้ข้าได้เฉิดฉาย
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
ถึงแม้เขาจะเป็นอริยะมหามรรคแล้ว แต่โดยทั่วไปแล้วเขายังคงติดต่อกับผู้คนน้อยยิ่ง เขาจึงเกิดนิสัยเสียชอบบ่นในใจ มีเพียงการทำเช่นนี้ เขาถึงจะไม่รู้สึกว่าการฝึกบำเพ็ญน่าเบื่อ
ทุกครั้งที่สิ้นสุดการปิดด่าน เขาล้วนคาดหวังกับเนื้อหาในจดหมายยิ่ง
หลังอ่านจดหมายเสร็จ หานเจวี๋ยทอดสายตาสอดส่องแดนเซียน
ฉินหลิงหลุดพ้นจากผนึกแล้ว เขาไม่ได้ล้างแค้นในทันที แต่ไปปิดด่านฝึกบำเพ็ญในวังเทพ
คาดว่ารอจนฉินหลิงพิสูจน์ครึ่งอริยะสำเร็จ มหาเคราะห์ไร้ขอบเขตถึงจะเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ
ยังเร็วไป!
หานเจวี๋ยนึกถึงขุนพลศักดิ์สิทธิ์หมื่นนาย ไม่ทราบเช่นกันว่าขณะนี้กองทัพนี้อยู่ที่ใดแล้ว ยังไม่ปรากฏขึ้นในจดหมายของเขาชั่วคราว
[ตรวจสอบพบว่าเทพมารฤทธาประสบความสำเร็จในการฟูมฟัก กำลังจะสั่นคลอนรูปการณ์ของฟ้าบุพกาล ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
………………………………………………………………