บทที่ 812 ดวงจิตพุทธะ เจียงเจวี๋ยซื่อ
ข่าวผานกู่บาดเจ็บสาหัสแต่หนีรอดไปได้แพร่ไปทั่วฟ้าบุพกาลอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามฟ้าบุพกาลกว้างใหญ่เกินไป ข่าวจึงไม่นับว่าแพร่ไปเร็วนัก
เทพมารปฐมภพเจ้าแผนการ ยามที่กระจายเรื่องนี้ออกไปจงใจเอ่ยถึงเจ้าแดนต้องห้ามอันธการด้วย กล่าวว่าหากไม่มีเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ พวกเขาต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ถึงแม้จะเป็นความจริง แต่ก็เป็นการลากเจ้าแดนต้องห้ามอันธการออกมาอีกครั้ง ถึงขั้นที่เชิดชูขึ้นสูงด้วย ผานกู่ก็ทราบถึงตัวตนของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการแล้วเช่นกัน
ณ วังสวรรค์
กว่าจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายจะทราบเรื่องที่ผานกู่พ่ายแพ้ก็ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว
“เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว แม้แต่ผานกู่ก็ยังถูกสาปแช่งจนบาดเจ็บสาหัส แข็งแกร่งเกินไปแล้ว”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ น้ำเสียงชวนให้คนใคร่ครวญตาม
สามยอดแม่ทัพเทพก็อยู่ในตำหนักด้วย แม่ทัพฟ้าทมิฬกล่าวว่า “ฝ่าบาท คาดว่าผานกู่คงต้องพักฟื้นไปสักระยะ แผนการขยายอิทธิพลวังสวรรค์จะดำเนินต่อไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เนื่องจากสงครามใหญ่ระหว่างผานกู่และเทพมารฟ้าบุพกาล จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายกังวลว่ายามที่ทหารสวรรค์ออกไปทำภารกิจจะถูกลูกหลงเข้า ดังนั้นจึงเรียกทหารกลับมาพัก
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยว่า “ไม่ต้องรีบร้อน รูปการณ์ยังไม่ชัดเจน รอดูไปก่อน หากวันพรุ่งผานกู่กลับมาทรงพลังกระฉับกระเฉงเล่า เทพมารฟ้าบุพกาลเป็นตัวตนที่พวกเราไม่สามารถคาดเดาได้”
เขาถอนหายใจคราหนึ่ง
ในอดีตเขาเคยมีเทพมารฟ้าบุพกาลอยู่สองตน
ทุกครั้งที่นึกถึงขึ้นมา ในใจเขาล้วนเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
เหตุผลที่วังสวรรค์ไม่อาจขยายตัวออกไปได้ ประเด็นหลักเป็นเพราะไม่มีเทพมารฟ้าบุพกาลสองตนนั้นแล้ว
แม่ทัพเทพทั้งสองที่ให้การสนับสนุนขึ้นมาใหม่ในปัจจุบันนี้ พลังสู้หานทั่วและอี๋เทียนไม่ได้ก็แล้วไปเถิด แต่พวกเขากลับไม่ได้ทำเต็มที่และสมบูรณ์มากพอ
ไม่ใช่เทพเซียนทั้งหมดที่สนับสนุนให้จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายขยายอิทธิพล
เทพเซียนส่วนมากคิดว่าการปรับฐานอำนาจให้เข้าที่ก่อนสำคัญที่สุด
แม่ทัพฟ้าทมิฬเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาททรงรู้จักโลกพุทธะหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิสวรรค์กล่าวตอบ “ย่อมรู้จัก เจ้าของโลกพุทธะมีศักดิ์เป็นศิษย์หลานของทั่วเอ๋อร์”
“ระยะนี้โลกพุทธะมีดวงจิตพุทธะที่คุณสมบัติเลิศล้ำตนหนึ่งถือกำเนิดขึ้น ถือกำเนิดขึ้นได้ไม่ถึงสองแสนปีก็พิสูจน์มรรคสำเร็จแล้ว ถึงแม้จะเป็นเพราะพระคุณของผู้ปกครองโลกพุทธะที่ช่วยชี้ทางเบิกปัญญา แต่พรสวรรค์ของเขาก็เลิศล้ำอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ดวงจิตพุทธะนี้เป็นเลิศด้านการศึกแต่กำเนิด เทียบได้กับสิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาลของเหล่าเทพมารฟ้าบุพกาล”
แม่ทัพฟ้าทมิฬเอ่ยเสียงเบา เขาไหนเลยจะไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายและโลกพุทธะ อันที่จริงเป็นเพราะทราบดีถึงได้เอ่ยเรื่องนี้
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเข้าใจแล้ว อดใคร่ครวญไม่ได้
“ร้ายกาจถึงเพียงนั้นจริงๆ น่ะหรือ”
“จริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ดวงจิตมหามรรคอย่างนักพรตเต๋าเสินเผาก็เคยไปเยือนด้วยตัวเองแล้ว ซ้ำยังมอบสมบัติให้ด้วย”
“เช่นนั้นเราจะลองไปดู”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายหรี่ตาเอ่ยวาจา แม่ทัพฟ้าทมิฬไม่พูดต่ออีก แม่ทัพเทพอีกสองคนก็ไม่ได้เอ่ยวาจา แต่ก้มหน้าลงเล็กน้อย
….
สองหมื่นปีผ่านไป
หานเจวี๋ยใกล้จะอายุครบหนึ่งล้านแปดแสนปีแล้ว
หลังจากผานกู่บาดเจ็บสาหัสก็นิ่งเงียบไปจริงๆ อย่างน้อยก็ไม่เห็นเขาปรากฏในแวดวงสหายเลย
วันนี้เอง หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น
เหตุเป็นเพราะไม่นานมานี้ฉู่ซื่อเหรินส่งคำขอเข้าฝันเขา แต่ก็ไม่ได้ใช้วิชาอัญเชิญเทพ คาดว่าคงมิใช่เรื่องเร่งด่วน
หานเจวี๋ยเข้าฝันฉู่ซื่อเหริน
ในแดนความฝัน
ฉู่ซื่อเหรินลืมตาขึ้น เมื่อเห็นหานเจวี๋ย ก็ลุกขึ้นทำความเคารพทันที
“มีเรื่องใด” หานเจวี๋ยถาม
ฉู่ซื่อเหรินเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวออกมาอย่างละเอียด
ที่แท้โลกพุทธะมีบุตรแห่งสวรรค์คนหนึ่งถือกำเนิดขึ้น แต่เชี่ยวชาญการรบแต่กำเนิด บังเอิญจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายมาเยี่ยมพอดี ต้องการชุบเลี้ยงบุตรแห่งสวรรค์คนนี้ ฉู่ซื่อเหรินค่อนข้างลังเล เหตุผลที่ไม่ได้ปฏิเสธตรงๆ เป็นเพราะจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายชุบเลี้ยงหานทั่วได้ยอดเยี่ยมจริงๆ
“อาจารย์ปู่ จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายไว้ใจได้หรือไม่ขอรับ” ฉู่ซื่อเหรินถาม
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “หากเจ้าเอ่ยถึงเขา แล้วเขารับประกันมั่นเหมาะ เช่นนั้นก็ไว้ใจได้ ประเด็นสำคัญคือเจ้าหักใจส่งมอบตัวเขาออกไปลงหรือ”
ฉู่ซื่อเหรินเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ถึงหักใจไม่ลงก็คงไม่ได้ขอรับ เด็กคนนี้เอะอะมะเทิ่งเกินไป ประลองกับศิษย์โลกพุทธะเป็นประจำ ทำให้คนอื่นบาดเจ็บสาหัสทุกครั้ง ถ้าเก็บไว้ต่อไป เกรงว่าคงไม่เป็นผลดี และข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะดัดนิสัยเขาอย่างไรจริงๆ ขอรับ”
“ติดตามจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก็ดีเหมือนกัน มีแต่ต้องผ่านประสบการณ์ก่อนถึงจะปล่อยวางได้”
หานเจวี๋ยถามด้วยความสงสัย “เหตุใดโลกพุทธะถึงมีบุตรแห่งสวรรค์เช่นนี้ถือกำเนิดขึ้น”
ฉู่ซื่อเหรินตอบว่า “ถึงอย่างไรก็เป็นโลกที่วิวัฒนาการขึ้นจากมหามรรค มีโชควาสนาไร้ขอบเขต ฟ้าบุพกาลเป็นโลกที่ผสานร้อยเรียงขึ้นจากมหามรรคสามพันวิถี ในอนาคตต้องมีตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าเทพมารฟ้าบุพกาลปรากฏขึ้นแน่ ข้ารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงขอรับ”
หานเจวี๋ยอดนึกถึงมรรคาสวรรค์ไม่ได้
เหตุใดมรรคาสวรรค์ถึงไม่มีบุตรแห่งสวรรค์ที่น่าตะลึงเช่นนี้
แม้ว่ามรรคาสวรรค์จะมีบุตรแห่งสวรรค์มากมาย แต่ล้วนไม่เข้าตาหานเจวี๋ย
อาจเป็นเพราะฟ้าบุพกาลยังไร้มหามรรค ขีดจำกัดด้านโชควาสนาจึงยังด้อยไปบ้าง
พูดคุยกันอยู่สักพัก แดนความฝันถึงสิ้นสุดลง
สำหรับเรื่องนี้ หานเจวี๋ยไม่ได้เก็บมาใส่ใจอีก
อย่างไรก็ตามครึ่งวันผ่านไป จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายมาเข้าฝันหานเจวี๋ย ในฝันได้ขอบอกขอบใจหานเจวี๋ยอยู่พักใหญ่ พร้อมรับประกันว่าจะชุบเลี้ยงดวงจิตพุทธะให้ยิ่งใหญ่ ภายหน้าจะส่งตัวคืนให้โลกพุทธะแน่นอน
เขาช่วยบ่มเพาะบุตรแห่งสวรรค์ให้โลกพุทธะ บุตรแห่งสวรรค์ของโลกพุทธะช่วยเขาขยายอำนาจ นับว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย เขาไม่ได้คาดหวังให้ดวงจิตพุทธะอยู่รับใช้เขาไปตลอด
แต่เขาเชื่อมั่นในจุดหนึ่งว่า เมื่อวังสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วจะปรากฏดวงจิตพุทธะที่เป็นของวังสวรรค์อย่างแท้จริงขึ้นแน่นอน
หลังสิ้นสุดแดนความฝัน หานเจวี๋ยทอดสายตาสอดส่องมรรคาสวรรค์
เขากำลังคิดว่าในมรรคาสวรรค์จะมีบุตรแห่งสวรรค์ที่เลิศล้ำอยู่หรือไม่
แบบซย่าจื้อจุน ยังด้อยไปบ้าง
อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นตัวตนแบบเดียวกับฉินหลิง
ค้นหาอยู่พักใหญ่ หานเจวี๋ยก็หาพบคนหนึ่งจริงๆ
ถือกำเนิดขึ้นในเผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์เช่นกัน ลืมตาดูโลกได้สามร้อยปี ยังคงอยู่ระดับจักรพรรดิเซียน
สำเร็จเป็นจักรพรรดิเซียนในสามร้อยปี เกินไปมากนัก!
ถึงแม้ปัจจุบันนี้พลังวิญญาณของมรรคาสวรรค์จะเหนือชั้นกว่าในอดีต แต่พิสูจน์จักรพรรดิเซียนได้ในสามร้อยปีก็นับว่าไม่เคยมีมาก่อน
ตอนอายุสามร้อยปีหานเจวี๋ยเพิ่งอยู่ระดับใดกันเล่า
เขานับนิ้วทำนายชะตา พบว่าเด็กคนนี้มีประวัติภูมิหลังจริงๆ
เด็กคนนี้มีนามว่าเจียงเจวี๋ยซื่อ เป็นพี่ชายของเจียงตู๋กูศิษย์แห่งนิกายเหริน เขาแตกต่างกับเจียงตู๋กูที่ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ เมื่อเจียงเจวี๋ยซื่อบรรลุถึงระดับเทพจะมรณะไปในท่านั่งสมาธิ ในแต่ละภพชาติเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ชาติแล้วชาติเล่า พรสวรรค์เพิ่มพูนขึ้นในทุกๆ ชาติ ยามนี้เวียนว่ายตายเกิดมาหนึ่งแสนชาติแล้ว ร่างที่กลับชาติมาเกิดผ่านมหาเคราะห์มาหลายครั้งหลายครา
แม้แต่พลังวิเศษทำลายมรรคาก็ทำลายล้างวิญญาณของเขาไม่ได้
เนื่องจากพอบรรลุระดับเทพก็จะมรณะในท่าสมาธิทันที ทำให้เจียงเจวี๋ยซื่อไม่เคยได้เผยโฉมเลย เจียงตู๋กูก็คิดว่าพี่ชายดับสูญไปแล้วเช่นกัน
ชาตินี้ ดูเหมือนเจียงเจวี๋ยซื่อจะมีแนวโน้มรุ่งโรจน์ดุจโบยบิน
ไม่ทราบเช่นกันว่าชาตินี้เขาจะมรณะในท่าสมาธิอีกหรือไม่
อีกอย่าง เหล่าอริยะคล้ายจะไม่รับรู้ถึงตัวตนของเขาเลย เขาเก็บตัวเกินไป ดวงชะตาเบาบางยิ่ง แทบจะไม่มีอยู่เลย หากมิใช่เพราะอริยะมหามรรคอย่างหานเจวี๋ยนึกอยากค้นหาบุตรแห่งสวรรค์ขึ้นมา ก็คงไม่พบตัวเขาอย่างแน่นอน
ในใจหานเจวี๋ยเกิดความหวังขึ้นมา จากนั้นก็หลับตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อ
หมื่นปีต่อมา เขาลืมตาขึ้น
เขามองหาเจียงเจวี๋ยซื่ออีกครั้ง
ในหมื่นปีนี้ เด็กคนนี้กลับชาติมาเกิดสองครั้งแล้ว
ทั้งสองชาติล้วนไม่ปรากฏชื่อเสียง ฝึกบำเพ็ญเงียบๆ มรณะในท่าสมาธิไปอย่างเงียบๆ ราวกับมรรคาสวรรค์ไม่เคยมีตัวตนของเขาอยู่
หานเจวี๋ยสนใจเขาขึ้นมาอย่างเต็มที่แล้ว
เหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้
กลับชาติมาเกิดอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณสมบัติหรือ
คุณสมบัติของเขาในปัจจุบันนี้สูงมากพอแล้ว เหตุใดยังไม่ยอมหยุดอีก
หานเจวี๋ยตัดสินใจสร้างร่างแยกขึ้นมาร่างหนึ่ง รอให้เจียงเจวี๋ยซื่อกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง จะส่งร่างแยกไปรับมาเป็นศิษย์
สี่พันปีต่อมา เจียงเจวี๋ยซื่อมรณะในท่าสมาธิภายในหุบเขาลูกหนึ่ง เมื่อวิญญาณเข้าสู่ยมโลก แม้แต่พญายมก็ยังรับรู้ถึงคุณสมบัติอันน่าพรั่นพรึงที่ผสานอยู่ในวิญญาณของเขาไม่ได้ ตัดสินว่าเขาเป็นมนุษย์ธรรมดา ส่งเขาไปเกิดใหม่อีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
ชาตินี้ เขาถือกำเนิดในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บิดามารดายังอยู่ ทั้งยังมีพี่น้องพร้อมหน้า
เจียงเจวี๋ยซื่อผ่านประสบการณ์กลับชาติมาเกิดในสภาพแวดล้อมสารพัดรูปแบบมาแล้ว เกิดในราชวงศ์เอย ในครอบครัวยากจนเอย ในครอบครัวสูงศักดิ์มั่งคั่งเอย ถึงขั้นที่ถือกำเนิดในตระกูลชั่วร้ายนอกรีตด้วย แต่เขามักจะปลีกตัวออกจากบ่วงกรรมอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงเสมอ เสาะหาสถานที่ฝึกบำเพ็ญตามลำพัง
………………………………………………………………