บทที่ 814 มรรคาเทพ
“ภารกิจอะไร จัดการผู้ใด”
อี๋เทียนถามด้วยความตื่นเต้น เขากำสองมือแน่น เลือดลมในร่างกระจายตัวส่งเสียงก้องสะท้อน ราวกับมังกรขานพยัคฆ์คำราม
บรรพชนมารลู่หยวนพิจารณาพวกหานทั่วทั้งสองอยู่พักหนึ่ง ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ทะลวงมรรคาเทพ!”
หานทั่วถามด้วยความสงสัย “มรรคาเทพคือสิ่งใด”
“มรรคาเทพคือเส้นทางทะลวงสู่ดวงจิตมหามรรค”
“ดวงจิตมหามรรคมิได้กลายสภาพขึ้นจากมหามรรคหรอกหรือ”
“เป็นเช่นนี้จริง แต่ก็ปรากฏข้อแตกต่างอยู่ นี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง เตรียมตัวเถอะ อีกพันปีให้หลังจงออกเดินทางให้ตรงเวลา”
บรรพชนมารลู่หยวนพูดจบ ก็กลายสภาพเป็นปราณมารเลือนหายไป
อี๋เทียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าๆๆ พวกเราจะได้กลายเป็นดวงจิตมหามรรคอย่างนั้นหรือ ได้ยินว่าดวงจิตมหามรรคเป็นขั้วหนึ่งที่ควบคุมฟ้าบุพกาล!”
หานทั่วขมวดคิ้ว “เกรงว่าคงไม่ง่ายดายปานนั้น เมื่อถึงเวลาระวังเอาไว้หน่อยเถอะ”
เขามีลางสังหรณ์บางอย่าง บรรพชนมารส่งพวกเขาไปยังมรรคาเทพมิใช่เพื่อให้พวกเขากลายเป็นดวงจิตมหามรรคแน่นอน
บรรพชนมารชุบเลี้ยงพวกเขา มิใช่เพราะเห็นความสามารถ!
พวกเขาเป็นแค่ตัวหมากเท่านั้น!
….
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า
หานเจวี๋ยจมจ่อมอยู่กับการปิดด่านฝึกบำเพ็ญ ไม่ทันรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปอีกห้าหมื่นปีแล้ว
เขาลืมตาขึ้น ยิ้มออกมา
ตบะก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว!
นับจากการทะลวงขั้นครั้งก่อนผ่านมาห้าแสนปีแล้ว เขาเข้าใกล้ระดับเบิกฟ้ามหามรรคระยะสมบูรณ์ไปเรื่อยๆ
เขาเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู
ช่วงหลายหมื่นปีมานี้ ยังคงไม่ปรากฏเงาร่างของผานกู่ ดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
มองจากสถานการณ์ในแวดวงสหาย ระยะนี้ไม่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ทุกอย่างสงบดี ไม่มีจดหมายที่ดึงดูดความสนใจของหานเจวี๋ยได้เลย
หานเจวี๋ยให้ความสนใจกับเจียงเจวี๋ยซื่อ
ร่างแยกอยู่กับเจียงเจวี๋ยซื่อมาหลายหมื่นปี เมื่อได้เฝ้ามองเจียงเจวี๋ยซื่อ ยิ่งทำให้หานเจวี๋ยชอบเด็กคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
นี่คือคนที่เหมาะสมจะเป็นศิษย์ของเขาอย่างแท้จริง
ศิษย์ในสังกัดของหานเจวี๋ยอันที่จริงแล้วไม่มีคนที่นิสัยเข้ากันได้กับเขาอย่างแท้จริงเลย เหล่าศิษย์สืบทอดอย่างพวกไก่คุกรัตติกาลและสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นก็แค่ถูกเขาบังคับเคี่ยวเข็ญเท่านั้น
ต้องรับตัวเด็กคนนี้ไว้ให้ได้!
นอกจากนิสัยแล้ว วิธีเพิ่มพูนพรสวรรค์ของเจียงเจวี๋ยซื่อก็ดึงดูดความสนใจของเขามากเช่นกัน
แม้ว่าจะเป็นอริยะมหามรรคแล้ว เขาก็ยังมองไม่ออก แต่มีจุดหนึ่งที่ยืนยันได้ว่า เจียงเจวี๋ยซื่อไม่มีอดีตชาติที่โดดเด่นเลิศล้ำเลย
นี่คือพัฒนาการของฟ้าบุพกาล มักจะมีชนรุ่นหลังที่เหนือล้ำกว่าคนรุ่นเก่าอยู่เสมอ มิเช่นนั้นก็ยากจะพัฒนาฟ้าบุพกาลได้
หากว่าอริยะมหามรรคมองเห็นได้แต่แรกว่าชนรุ่นหลังผงาดขึ้นมาได้อย่างไร เช่นนั้นจะถูกผูกขาดระดับไว้ได้ง่ายยิ่ง แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย มักจะมีผู้บำเพ็ญมุ่งหน้าฝ่าฟันอย่างห้าวหาญ ก้าวสู่มหามรรค
‘ตามติดไปตลอดเช่นนี้ คาดว่าจะไม่ได้การ ต้องหาโอกาสแยกทางอย่างแท้จริง’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ เขารับรู้ได้ว่าเจียงเจวี๋ยซื่อเริ่มต่อต้านร่างจำลองแล้ว
เป็นเรื่องปกติ ชาติสองชาติยังพอว่า แต่ทุกภพทุภชาติเช่นนี้ ไม่ต่างจากถูกจับตามองเลยมิใช่หรือ
ณ มุมหนึ่งของแดนเซียน
หานเจวี๋ยในวัยชราและเจียงเจวี๋ยซื่อนั่งสมาธิอยู่ด้วยกัน
เจียงเจวี๋ยซื่อเหลือบมองอาจารย์ที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง ว้าวุ่นอยู่ในใจ
เขาบรรลุถึงระดับเทพอีกครั้ง สมควรมรณะไปในท่าสมาธิแล้ว
แต่เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับอาจารย์อีกต่อไป ถึงมีการมีคนมาอยู่เป็นเพื่อนในช่วงเวลาฝึกบำเพ็ญอันโดดเดี่ยวจะดียิ่ง แต่ก็รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างน่าประหลาด
เขารู้สึกอยู่เสมอว่าประวัติความเป็นมาของอาจารย์ไม่ธรรมดา อาจเป็นตัวหมากของผู้อื่น
หานเจวี๋ยพลันลืมตาขึ้น ถามเสียงเบา “ศิษย์เอ๋ย เจ้าจะสิ้นใจในท่าสมาธิอีกแล้วหรือ”
เจียงเจวี๋ยซื่อเงียบงัน
หายเจวี๋ยเอ่ยเรียบๆ “อาจารย์มองชะตากรรมของเจ้าไม่ออกเลย เจ้าเองก็ดูเหมือนไม่อยากหลุดพ้นเช่นกัน เจ้าอาจจะกังวลถึงตัวตนบางอย่างอยู่กระมัง ยามนี้ดีร้ายอย่างไรอาจารย์ก็เป็นถึงจักรพรรดิเซียนแล้ว ยินดีช่วยเหลือเจ้าอีกแรง”
เจียงเจวี๋ยซื่อกลอกตา เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ช่วยอย่างไร”
อาจารย์คนนี้ของเขาปกติแล้วไม่ได้เรื่องได้ราว โดยเฉพาะหลังจากตบะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งพึ่งไม่ได้ ชอบเอาแต่แหย่เขา
“ข้าจะสละตบะทั้งหมด ช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากชะตากรรม!”
“ฮ่าๆ”
เจียงเจวี๋ยซื่อคิดว่าเขาหุนหันพลันแล่นขึ้นมาชั่วขณะอีกแล้ว
หานเจวี๋ยค่อยๆ ลุกขึ้นก้าวเท้าเดินขึ้นสู่นภา ปีนขึ้นฟ้าไปทีละก้าวๆ
“ข้ามีชีวิตอยู่มานานพอแล้ว พบพานทุกอย่างในโลกมนุษย์มาแล้ว เคยหัวเราะ เคยร้องไห้ เคยสุข เคยทุกข์ เคยโกรธ เคยชัง และเคยหน่าย
“ข้ารู้ว่าเส้นทางเซียนของข้าถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เกรงว่าคงยากจะไปต่อได้ ข้ายินดีสละตบะและวิญญาณของข้า ช่วยเหลือเจียงเจวี๋ยซื่อศิษย์ของข้าเพื่อทำลายโซ่ตรวนแห่งชะตากรรม หวังว่ามรรคาสวรรค์จะช่วยให้สมปรารถนา!”
เสียงของหานเจวี๋ยก้องสะท้อนไปทั่วป่าเขา ทันใดนั้น คลื่นลมเมฆาพลันเปลี่ยนสีสัน สายฟ้าซัดตลบ
เจียงเจวี๋ยซื่ออึกอักอยากพูดแต่ก็เงียบไป
เขาไหนเลยจะมีชะตาลิขิตอันใด เหตุผลที่เขาตาย เป็นเพราะเขาอยากตายเองเท่านั้น
แต่ท่านอาจารย์ที่อยู่เบื้องหน้าอยากสังเวยตัวเอง ไยไม่ปล่อยให้เขาได้สมใจเล่า
ถึงแม้อาจารย์จะดีต่อเขายิ่ง แต่ก็เริ่มส่งผลกระทบต่อวิถีบำเพ็ญของเขาแล้ว
ภายใต้สายตาของเขา หานเจวี๋ยกลายสภาพเป็นลำแสงสายหนึ่งส่องระยับกระจายตัวไป จากนั้นเมฆาสายฟ้าพลันแยกตัวออก ลำแสงสายหนึ่งพุ่งลงมา ดูดซับประกายแสงเหล่านี้ไป
จากนั้นลำแสงนี้พลันร่วงหล่นลงมาที่ร่างของเจียงเจวี๋ยซื่อ รวดเร็วสุดขีดจนเจียงเจวี๋ยซื่อหลบไม่ทัน
เจียงเจวี๋ยซื่อรับรู้ได้ถึงดวงชะตามรรคาสวรรค์
อาจารย์ไม่ได้ล้อเล่น แต่สังเวยตนจริงๆ ต้องการช่วยเขา
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป เจียงเจวี๋ยซื่ออดเหม่อลอยไม่ได้
เมื่อวานพวกเขายังหารือกันอยู่เลยว่าสัตว์ป่าชนิดใดในภูเขาที่อร่อย
ไม่คิดเลยว่าวันนี้ต้องพรากจากเพราะความตาย
เจียงเจวี๋ยซื่อยิ้มออกมาพลางเอ่ยว่า “ตาเฒ่าคนนี้แกล้งข้าอยู่แน่นอน ชาติหน้าต้องได้พบกันอีกแน่”
เขาไม่คิดมากอีก โยกย้ายไปยังสถานที่อีกแห่ง เตรียมมรณะในท่าสมาธิ
หลายสิบปีต่อมา
เจียงเจวี๋ยซื่อในวัยสิบขวบนั่งอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ มองผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาบนท้องถนน เงียบงันใจลอย จิตใจไม่อยู่กับตัว
หญิงวัยกลางคนนางหนึ่งกลับมาจากจ่ายตลาด มองเห็นเขานั่งอยู่หน้าประตู จึงเอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม “นายน้อย คิดอะไรอีกแล้วเจ้าคะ”
เจียงเจวี๋ยซื่อดึงสติกลับมา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่มีอะไร แค่คิดว่าคืนนี้จะได้กินอะไร”
“คืนนี้จะตุ๋นปลาให้ท่านกินเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณท่านป้า”
หลังจากหญิงวัยกลางคนเดินเข้าไปในเรือน เจียงเจวี๋ยซื่อก็นิ่งทื่อต่อไป
“เหตุใดท่านถึงยังไม่มาเล่า”
….
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปสามหมื่นปีแล้ว
เจียงเจวี๋ยชื่อที่กลับชาติมาเกิดใหม่ โตเป็นผู้ใหญ่อีกครั้ง เดินไปตามเส้นทางสุดขอบฟ้าตามลำพัง
ยามที่เขาออกจากตำบลที่ตนใช้ชีวิตอยู่มายี่สิบปี มองเห็นว่าใต้พฤกษาใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลมีชายชราคนหนึ่ง นั่งขัดสมาธิ คาบยาสูบไว้ในปาก
เจียงเจวี๋ยซื่อพลันเผยสีหน้าตื่นเต้น เดินเข้าไปหาอย่างระมัดระวัง
หรือจะเป็นเขา
เขามาอีกแล้วหรือ
ชายชราเปิดตาขึ้นข้างหนึ่งมองเขาด้วยความระแวง ปากยกยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “คุณชาย อยากฝึกบำเพ็ญหรือ ข้ามีทั้งเคล็ดหลอมกายาของผานกู่ เคล็ดยืนยงไร้พ่ายของอริยะสวรรค์เกียงไกรและวิชาฝึกปรือพลังวิเศษจอมอริยะเสวียนตูเลยนะ ท่านต้องการเล่มไหน เรื่องราคาเจรจากันได้!”
เขาล้วงม้วนตำราออกมาจากใต้เสื้อเล่มแล้วเล่มเล่า
เจียงเจวี๋ยซื่อผงะไป ยิ้มขมขื่นพลางส่ายหน้า หันหลังเดินหนีไป
ชายชราแอบสบถด่า เก็บม้วนตำราเข้าไปอีกครั้ง
เจียงเจวี๋ยซื่อเดินไปตามเส้นทางหลวง
เขาพึมพำกับตัวเอง “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้…เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าข้าก็ไม่ได้ชอบเขานัก ถึงขั้นที่นึกรำคาญ…
“บางทีอาจเป็นเพราะไม่มีผู้ใดอยู่กับข้านานขนาดนี้ ไม่ว่าจะกลับชาติมาเกิดสักกี่ครั้ง เขาล้วนมานะทุ่มเทจนหาตัวข้าพบ
“ที่แท้เขาก็ไม่ได้วางแผนร้ายต่อตัวข้า หรือคิดใช้ประโยชน์จากข้า เขาเพียงมองว่าข้าคือศิษย์ของเขาอย่างแท้จริง เขาห่วงใยข้าด้วยใจจริง”
แววตาเจียงเจวี๋ยซื่อฉายแววมุ่งมั่นขึ้นมา
เขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ไม่มีทางจมอยู่กับความเสียใจ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้!
เขาจะเชื่อมต่อกับตบะส่วนนั้นของอาจารย์ สักวันหนึ่งเขาจะพิสูจน์อริยะ ถึงขั้นที่จะไปให้สูงกว่าอริยะ ขอเพียงเขาแข็งแกร่งมากพอ ไม่ช้าก็เร็วต้องคืนชีพให้ท่านอาจารย์ได้แน่
“เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าจะเป็นอาจารย์ ท่านจะเป็นศิษย์ ข้าจะปกป้องท่านเอง!”
…………………………………………….