บทที่ 830 อำนาจศักดิ์สิทธิ์สั่นคลอนฟ้าบุพกาล
ถึงอย่างไรหงหยวนก็เป็นอริยะมหามรรค ไม่สามารถสยบทาสให้สำเร็จในระยะเวลาสั้นๆ ได้ ถึงแม้หงหยวนจะสงบนิ่งยิ่ง แต่หานเจวี๋ยก็ไม่กล้าชะล่าใจ จึงผนึกนางเอาไว้ตลอด
หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูจดหมาย อ่านอย่างได้อรรถรส
ผ่านไปนานยิ่ง
หงหยวนทนไม่ไหวถามไปว่า “สหายเต๋าหาน เจ้าว่าเทพมารปฐมภพไปซ่อนตัวอยู่ที่ใดกันแน่ ในช่วงที่ผ่านมา ข้าสืบเรื่องของขุนพลศักดิ์สิทธิ์มาอีกเล็กน้อย พบว่าก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้วขุนพลศักดิ์สิทธิ์ก็เคยปรากฏตัวขึ้น ตระเวนไปทั่วฟ้าบุพกาลจริงๆ เรียกว่าไม่มีทางหนีรอดได้”
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด บางทีเทพมารปฐมภพอาจจะคิดว่าตัวเองทำถูกแล้วกระมัง”
หงหยวนพยักหน้ารับ เอ่ยอย่างสะท้อนใจ “นึกถึงท่าทางองอาจมั่นใจของเทพมารปฐมภพในคราแรกที่เรียกรวมตัวเหล่าเทพมาร ไม่คิดเลยว่าจะตกใจกลัวขุนพลศักดิ์สิทธิ์จนหนีเตลิดไป ถึงขั้นที่ไม่กล้าแจ้งข่าวต่อเทพมารตนอื่นๆ เลย”
ดีร้ายอย่างไรเทพมารปฐมภพก็เป็นหนึ่งในเทพมารฟ้าบุพกาลที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่น่าเชื่อว่าจะขี้ขลาดเช่นนี้ เพียงพอจะแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของขุนพลศักดิ์สิทธิ์แล้ว
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ดูไม่ได้เลยจริงๆ”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สมควรแจ้งต่อเทพมารฟ้าบุพกาลที่เหลือด้วย เตรียมการให้เรียบร้อยพร้อมกัน ดีร้ายอย่างไรก็เคยเผชิญหน้ากับผานกู่ด้วยกันมาก่อน นับว่าผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน
หานเจวี๋ยประเมินเทพมารปฐมภพต่ำลงไปมากนัก
คนผู้นี้ แค่เกิดนานกว่าเท่านั้น!
“ถูกต้อง แต่ย้อนกลับมาคุยกันก่อน สหายเต๋าหาน อาณาเขตเต๋านี้ของเจ้าสามารถต้านทานขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่” หงหยวนถาม
หานเจวี๋ยตอบว่า “อืม ในเมื่อเป็นคนกันเอง เช่นนั้นข้าก็ไม่ปิดบังเจ้าแล้ว ต้านทานได้ แต่ก็เพียงต้านได้เท่านั้น หากว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์ทำการปิดล้อม ก็มีแต่ต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล”
หงหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ใช้ฝึกบำเพ็ญได้พอดี”
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถามขึ้นว่า “ข้ามีโลกแห่งหนึ่งในการปกครอง…’
หานเจวี๋ยตัดบทนาง “ค่อยคุยกันทีหลังเถอะ!”
รอสยบทาสให้สำเร็จก่อน!
บุกเบิกห้วงมิติขึ้นในเขตเซียนร้อยคีรีได้ จะซุกซ่อนโลกใบหนึ่งไว้ไม่ใช่เรื่องยากเลย
ตอนแรกหานเจวี๋ยก็คิดจะปกป้องมรรคาสวรรค์ไว้เช่นนี้ แต่ทำเช่นนี้จะตัดขาดจากเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล อีกทั้งเขากังวลถึงบรรพชนเต๋าและผานกู่ว่าจะอาศัยมรรคาสวรรค์บุกเข้าสู่อาณาเขตเต๋า อันตรายเกินไป
หากว่าเป็นแค่โลกของหงหยวน นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หงหยวนไม่พูดมากอีก เพียงจ้องมองหานเจวี๋ยเงียบๆ
หลังจากตรวจดูจดหมายเสร็จ หานเจวี๋ยก็เริ่มสอดส่องแดนเซียนรวมถึงปวงสวรรค์หมื่นโลกาต่อ
หลายวันต่อมา เขาถึงได้เริ่มฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง
ขณะที่หานเจวี๋ยเริ่มหลอมดวงดาว รัศมีที่แผ่ออกมาจากร่างทำให้หงหยวนตกตะลึง
‘เขาอยู่ระดับใดกันแน่ หรือจะเป็นระดับยอดมหามรรคที่เขาพูดถึงก่อนหน้านี้’
หงหยวนคิดเงียบๆ นางไม่กังวลกับอนาคตของตัวเองเลย ถึงอย่างไรก็ดีกว่าตายเพราะขุนพลศักดิ์สิทธิ์
….
ด้วยความเคลื่อนไหวอย่างใหญ่โตของหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ การกระทำของพวกเขาเลื่องลือไปทั่วฟ้าบุพกาลแล้วเช่นกัน ความเร็วของข่าวลือที่แพร่ออกไปเร็วยิ่งกว่าความเร็วในการเดินทางของพวกเขา
ท้องนภาปกคลุมด้วยเมฆาครึ้ม สายฝนสาดเทลงมา ไอหมอกลอยอวลไปทั่ว
ริมทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง มีศาลาเล็กๆ ตั้งอยู่หลังหนึ่ง มีคนสี่คนกำลังตกปลาอยู่ข้างศาลา
เป็นเหล่าตาน เต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้
“ขุนพลศักดิ์สิทธิ์มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ มีคนบอกว่าเทียบเท่าอริยะมหามรรคหนึ่งหมื่นคน เกินไปหน่อยแล้วกระมัง!”
จ้าวเซวียนหยวนถามด้วยความสงสัย รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นข่าวเท็จ
เต้าจื้อจุนมองไปที่เหล่าตาน เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส เล่ามาเถิด”
เหล่าตานแค่นเสียงกล่าว “อันที่จริงก็ไม่นับว่าเกินเลยไป ว่ากันตามจริงแล้วเก่งกาจยิ่งกว่าอริยะมหามรรคเสียอีก ปะทะกันตัวต่อตัว ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ก็นับเป็นตัวตนชั้นแนวหน้าในหมู่อริยะมหามรรค ขุนพลศักดิ์สิทธิ์มิใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นกฎระเบียบสูงสุดแห่งฟ้าบุพกาล ก็ทุกครั้งที่ฟ้าบุพกาลปรากฏต้นตอแห่งความโกลาหล พวกเขาจะปรากฏตัวขึ้น นี่คือเหตุผลที่ฟ้าบุพกาลคงอยู่มาได้ตลอดรอดฝั่ง
“ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวขึ้นในครั้งนี้ คาดว่าเพื่อออกตามหาเทพมารอนธการ”
เจียงอี้ถามด้วยความอยากรู้ “ต่อให้เทพมารอนธการแข็งแกร่งเพียงใดก็สู้อริยะมหามรรคหนึ่งหมื่นคนไม่ได้กระมัง เมื่อเป็นเช่นนี้ เทพมารอนธการคงคุกคามฟ้าบุพกาลไม่ได้ เช่นนั้นเหตุใดล้วนกล่าวกันว่าเทพมารอนธการจะกระตุ้นให้เกิดมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่เล่า”
เหล่าตานขมวดคิ้ว “อันที่จริงผู้เฒ่าก็กำลังสงสัยอยู่เช่นกัน พอคิดดูให้ละเอียดแล้ว ผู้เฒ่าไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นใครที่บอกว่าเทพมารอนธการจะกระตุ้นให้เกิดมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ขึ้น อีกอย่างสรุปแล้วเทพมารอนธการแข็งแกร่งเพียงใดผู้เฒ่าเองก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่ดูจากโอสถอนธการก่อนหน้านี้ เทพมารอนธการแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่แข็งแกร่งจนไร้พ่าย”
เต้าจื้อจุนส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ยังต้องพูดอีกหรือ เทพมารอนธการก็แค่ตัวล่อเป้าเท่านั้น”
เหล่าตานเงียบไป สายตาจ้องมองคันเบ็ด ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่
จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยถาม “พวกเรากำลังรออะไรอยู่กันแน่ จะปล่อยพวกเรากลับมรรคาสวรรค์เมื่อไร พวกเราอยากแสดงตบะให้สหายร่วมสำนักได้เห็น”
เหล่าตานกลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง ร้องด่า “หมายความว่าอย่างไรที่ว่าให้ปล่อย ผู้เฒ่าติดอยู่กับพวกเจ้าพี่น้องนับว่าโชคร้ายโดยแท้ พบพานอันตรายอยู่บ่อยครั้ง หากพวกเจ้าอยากกลับไป ขอให้ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งโมโห โอสถอนธการกลายเป็นขยะ ซ้ำตนยังติดค้างหนี้น้ำใจร่างจริงครั้งหนึ่งด้วย หลายปีมานี้ที่อยู่กับพวกเต้าจื้อจุนเผชิญอันตรายอยู่บ่อยครั้ง ซ้ำยังล่วงเกินผู้ทรงพลังไปไม่น้อย ผลคือจ้าวเซวียนหยวนคนนี้กลับไม่รู้จักสำนึกบุญคุณอีก
“ตาเฒ่าเช่นเจ้านี่ขี้หงุดหงิดเสียจริง เหตุใดผู้อาวุโสเหล่าจื่อถึงมีร่างแยกอย่างเจ้าได้”
“ฮึ่ม ผู้เฒ่าไม่ใช่ร่างแยก!”
“ตกลงๆ พวกเราต่างหากที่เป็นร่างแยก”
จ้าวเซวียนหยวนหัวเราะร่า ระหว่างที่พูดก็เหวี่ยงคันเบ็ด ใช้สายเบ็ดของตนก่อกวนเหล่าตาน ยั่วให้เหล่าตานโมโหจนตาปูดโปน หนวดเครากระพือ
ในเวลานี้เอง แรงกดดันมหาศาลเข้าครอบงำ ทำให้ทั้งสี่ตกใจเงยหน้าขึ้นมองทันที
….
ภายในอารามเต๋า หานเจวี๋ยที่กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ลืมตาขึ้นในทันใด เงยหน้ามองขึ้นไปเช่นกัน
หงหยวนอยู่ในภาวะสลบไสล เพราะถูกหานเจวี๋ยผนึกวิญญาณเอาไว้
เมื่อมองตามสายตาของหานเจวี๋ยไป เห็นเพียงว่า ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม เหนืออาณาเขตเต๋าของเหล่าอริยะปรากฏทะเลเมฆาสีทองซ้อนเป็นชั้นๆ ซัดตลบอย่างบ้าคลั่ง พลังสวรรค์อันน่าหวาดหวั่นกดทับลงมา ครอบงำปวงสวรรค์
หานเจวี๋ยหรี่ตาทำนายดู พบว่ามรรคาสวรรค์คล้ายจะถูกกระตุ้น ดวงชะตาปั่นป่วน แปลกประหลาดอย่างยิ่ง เป็นครั้งแรกที่หานเจวี๋ยได้เห็นปรากฏการณ์เช่นนี้
เขาทำนายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ไม่ได้
เขาจำเป็นต้องใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจจับสถานการณ์รอบๆ มรรคาสวรรค์ ทว่ากลับไม่พบศัตรูผู้แข็งแกร่ง
หรือว่าจะมียอดมหามรรคโจมตีอีก
หานเจวี๋ยเงยหน้ามองอีกครั้ง มองขึ้นไปเหนือมรรคาสวรรค์ ก็ไม่เห็นเงาร่างของศัตรูเลย
‘เหตุใดถึงเกิดปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้’艾琳小說
หานเจวี๋ยถามในใจ
[จำเป็นต้องหักอายุขัยเก้าแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
นี่คือค่าตัวของเหล่าจื่อ!
ดำเนินการต่อ!
จากนั้นจิตรับรู้ของหานเจวี๋ยเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ
เขาลืมตาขึ้น พบว่าตนปรากฏขึ้นบนท้องนภาที่มีหมอกหนาตลบปกคลุมไปทั่ว เมื่อทอดมองลงไปด้านล่าง มองไม่เห็นพื้นดินหรือมหาสมุทรเลย เมื่อมองขึ้นไปด้านบน ก็ไม่เห็นตะวันจันทราหรือดวงดาว
เบื้องหน้ามีเงาร่างทรงพลังสูงใหญ่ร่างหนึ่งปรากฏขึ้น!
เขาเปลือยท่อนบน มือถือดาบใหญ่ที่ดูคล้ายขวานยักษ์ ฟาดฟันกำแพงเมฆาเบื้องหน้าอย่างต่อเนื่อง
ทุกครั้งที่ฟาดฟัน เมฆหมอกที่ตัดผ่านล้วนไหลบ่าเข้าสู่ตัวเขา ทำให้ร่างของเขาสูงใหญ่ขึ้น
ผานกู่!
เขากำลังทำอะไร
หานเจวี๋ยตกตะลึง จ้องมองแผ่นหลังของผานกู่
กล้ามเนื้อบนแผ่นหลังของผานกู่จู่โจมสายตายิ่งนัก ราวกับทิวเขามากมายที่กำลังกดทับเข้าหากัน ดุดันเผด็จการ
มีแสงแผ่ออกมาจากกำแพงเมฆาที่มองไม่เห็นปลายยอด เหนือศีรษะผานกู่ขึ้นไป เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางกำแพงเมฆา สูงใหญ่ยิ่งกว่าผานกู่ ทรงอำนาจศักดิ์สิทธิ์
เทวีตราวินัย!
“ผานกู่ เจ้ากล้ารบกวนอำนาจศักดิ์สิทธิ์!”
น้ำเสียงเทวีตราวินัยเยียบเย็นอย่างยิ่ง
………………………………………………………………