จีเฉวียนพูดออกไปแล้ว ก็โอบกอดตู๋กูซิงหลันต่อหน้าต่อตาซ่งชิงไต้อย่างแนบแน่นขึ้นกว่าเดิม โดยไม่ปิดบัง
“ชาตินี้ทั้งชาติเราจะมีซิงซิงเป็นชายาแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีทางทรยศนาง ไม่ทอดทิ้งตลอดกาล”
แต่ไหนแต่ไรตู๋กูซิงหลันก็รู้อยู่แล้วว่า คำหวานของจีเฉวียนนั้นน่าฟัง ระรื่นหูเป็นพิเศษ
แต่สิ่งที่นางชอบที่สุดก็คือ เขารักษาสัญญาทุกคำพูด ทุกคำที่เขาบอกเขาล้วนทำได้ นั่นทำให้เกิดความเชื่อใจและความมั่นคงที่แม้แต่กาลเวลาก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
คราวนี้เขาถึงกล่าวออกมาอย่างชัดเจนต่อหน้าซ่งชิงไต้ โดยมิได้ทะนุถนอมน้ำใจ หรือให้ความหวังใดๆให้ฟุ้งซ่านทั้งสิ้น
นั่นจึงคำให้ความรู้สึกปลอดภัยและมั่งคงที่มีอยู่ยิ่งเพิ่มพูนจนแข็งแกร่ง
ว่าแล้ว พอสายตานั้นมองกลับไปที่ร่างของซ่งชิงไต้ ก็กลายเป็นคมดาบที่แหลมคมอีกครั้ง
“เราเคยบอกกับเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว จงเก็บความคิดฟุ้งซ่านที่ไม่ควรมีทิ้งไปซะ”
ฝ่ามือของซ่งชิงไต้ มีเลือดไหลซึมออกมา นางนำหัวใจที่ร้อนระอุมามอบแด่ฝ่าบาท แต่ว่าสุดท้ายแล้วกลับถูกราดรดจนหัวใจเย็นเฉียบ ทั้งยังทิ่มแทงจนทะลุทะลวง
จนถึงตอนนี้ นางก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
นางเงยหน้ามองดูจีเฉวียน “ฝ่าบาท หรือว่าในสายพระเนตรของพระองค์ นังคนนี้ยังสำคัญกว่าเผ่าภูติทั้งหมดอีกหรือ?”
นางรู้ดีว่า ฝ่าบาทไม่มีทางไม่ทรงทราบว่า ตราประทับยมราชสำคัญเพียงไร
เดิมทีนางคิดว่า พระองค์จะต้องทรงเลือกตราประทับยมราชอย่างปราศจากความลังเล แต่ว่าพระองค์กลับเลือกนังนั่นอย่างไม่มีความลังเล
นางพึ่งจะพูดออกไป สายลมจากฝ่ามือของจีเฉวียนก็ปะทะเข้าสู่ร่างของนาง
ฝ่ามือนี้กระแทกจนคนลอยออกไปไกล ซ่งชิงไต้ถึงกับกระแทกเข้ากับหินประดับด้านหลังอย่างรุนแรง ริมฝีปากของจีเฉวียนเอ่ยออกมาเพียงสองคำอย่างเย็นชา “กำแหงนัก!”
“กับพระชายา เจ้าสมควรเรียกหานางเป็นฝ่าบาท”
ฝ่ามือนั้นทำเอากระดูกทั่วร่างของซ่งชิงไต้ถึงกับหักสะบั้น นางทรุดลงไปกับพื้น ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ก็ยังไม่สามารถคืบคลานขึ้นมาได้
ดวงตาที่เกลียดชังคู่นั้นจดจ้องไปที่พวกเขา ด้วยความรู้สึกที่ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งใช่หรือไม่
ตอนนั้นขณะเมื่อยังอยู่ในเผ่าภูติ นางคือสตรีที่มีฐานะสูงส่งที่สุด แต่ว่าตอนนี้ฝ่าบาทกลับต้องการให้นางเรียกสตรีอีกผู้หนึ่งว่าเป็นฝ่าบาท?
ฝ่าบาท คำนี้ช่างเรียกหาด้วยฐานะสูงส่งเหลือเกิน!
“หรือว่าพระองค์จะไม่ใส่พระทัยกับน้ำใจผูกพันที่พวกเราเคยมีมากว่าหมื่นปีจริงๆ?” นางไม่อยากยอมแพ้ ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะถูกขับไล่ออกมาจากเผ่าภูติ นางก็ไม่เคยถอดใจจากฝ่าบาทแม้เพียงสักครั้ง
หลังจากเผ่าภูติล่มสลายไปแล้ว นางก็ออกเสาะหาร่องรอยของฝ่าบาทอยู่ตลอด ตามหาไป ตามหาไป จนผ่านวันเวลาไปอีกหมื่นปี
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าตลอดหมื่นปีมานี้ นางผ่านมันมาได้อย่างไร
ความหลงใหลในหัวใจบ่มเพาะจนกลายเป็นต้นกล้ามานานแล้ว ชาตินี้จะอย่างไรก็ไม่อาจดับมอด
“เราไม่เคยมีน้ำใจผูกพันใดๆกับเจ้าทั้งสิ้น มีแต่ความสัมพันธ์ฉันผู้ปกครองเท่านั้น”
“ถ้าเช่นนั้นทำไมตอนแรกท่านถึงได้ช่วยข้าเอาไว้! ท่านเคยเมตตาสงสารข้า! เคยห่วงใยข้า! ท่านได้ลงโทษข้าอย่างแสนสาหัสไปแล้วจนข้ากลายเป็นตัวประหลาดที่ไร้ใบหน้าไร้ผิวหนัง หรือว่านั่นยังจะไม่เพียงพออีก?”
ซ่งชิงไต้กรีดร้องออกมาจากขั้วหัวใจ ทั้งเจ็บช้ำทั้งโกรธขึ้ง
แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ จีเฉวียนก็มิได้แสดงความเมตตาออกมาเลยแม้แต่น้อย
“อย่าได้ลืมสิว่า ก่อนที่เราจะช่วยเหลือเจ้า เจ้าก็ไม่มีผิวหนังและใบหน้าอยู่แล้ว”
เขาเอ่ยประโยคนั้นออกไปอย่างเย็นชา เสียดแทงหัวใจที่บาดเจ็บจนบอบช้ำของนางอย่างรุนแรง
ชาติก่อนนางตกตายอย่างอนาถ ไม่เพียงแต่ถูกสามีที่พึ่งแต่งงานกัน ควักเอาธาตุไฟในร่างออกไป ทั้งยังถูกถลกหนังเฉือนเนื้อออกมา….
ใช่แล้ว หมิงอ๋องทรงเปลี่ยนนางให้กลายเป็นปีศาจเสียที่ไหนกัน พระองค์เพียงแต่ทำให้นางกลับคืนสู่สภาพเดิมต่างหาก
นางรีบลูบคลำใบหน้าของตนเองในทันที….
แต่ว่ามันก็เป็นเพียงแผ่นหนังที่นางนำมาติดเอาไว้บนเท่านั้น ใต้ผิวหนังนั้นก็ยังคงเป็นตัวนางที่ทั้งอัปลักษณ์และน่าเกลียดน่ากลัวอยู่ดี
ซ่งชิงไต้คลุ้มคลั่งจนเข้าภาวะมารไปแล้ว ดินแดนจิ่วโจวในตอนนี้ แทบจะกลายเป็นดินแดนของเผ่ามารไปแล้ว นางอยู่ในดินแดนจิ่วโจวตั้งเนิ่นนาน แม้ว่าจะมีตราประทับของยมราชคุ้มครองร่างกายอยู่ แต่ว่าร่างกายและจิตใจก็ถูกไอมารหลอมรวมไปนานแล้ว
ดังนั้นนางไม่เพียงแต่ไม่สำนึกในบุญคุณที่หมิงอ๋องเคยช่วยเหลือเอาไว้ในตอนนั้น ตอนนี้ยังเปลี่ยนเป็นเกลียดชังอย่างรุนแรงกว่าเดิมขึ้นไปอีก
ตู๋กูซิงหลันถูกจีเฉวียนโอบเอาไว้ในอ้อมอก นางหรี่ดวงตาลงมองดูซ่งชิงไต้
นางเห็นใจในโชคชะตาของซ่งชิงไต้ตอนชาติก่อน แต่ว่ามิได้สงสารตัวนางในชาตินี้
แต่ว่าเรื่องนี้นางจะไม่ยื่นมือเข้าไปแทรกแซง ทั้งหมดปล่อยให้จีเฉวียนจัดการด้วยตนเอง
ผ่านไปอีกพักใหญ่ ซ่งชิงไต้ค่อยคืบคลานลุกขึ้นมาได้ ร่างของนางบิดเบี้ยวและไหวเอน และเพราะเมื่อครู่รับฝ่ามือของจีเฉวียนเข้าไป ใบหน้าตอนนี้จึงเริ่มหลุดลอกออกมาจนเละเทะ
เลือดข้นๆไหลออกมาตามผิวหนัง กำจายกลิ่นเหม็นเน่าที่น่าสะอิดสะเอียนออกมา
ประสาทรับกลิ่นของจีเฉวียนดีเลิศมาแต่ไหนแต่ไร จมูกของเขาย่นเข้าหากัน และการเปลี่ยนสีหน้าเพียงเล็กน้อยนั่น ทำให้ซ่งชิงไต้ถึงกับประสาทเสียในทันที
ศีรษะที่เดิมทีตกลงไปอย่างหดหู่ของนาง อยู่ๆก็เงยขึ้น หัวเราะฮาฮาออกมาอย่างลึกลับชั่วร้าย
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แสดงว่าตราประทับยมราชดวงนี้ท่านก็ไม่เสียดายมันอีกแล้วสินะ ขาดยมราชไปตนหนึ่ง เผ่าภูติย่อมไม่มีวันสมบูรณ์ได้ เผ่าภูติที่ไม่สมบูรณ์จะเอาอะไรไปต้านทานกับแดนสวรรค์ได้กัน?”
“ฝ่าบาท พระองค์จะต้องทรงเสียใจในภายหลังอย่างแน่นนอน!”
นางทางหนึ่งหัวเราะออกมาอย่างลึกลับและชั่วร้าย ในมือประกบกันเป็นปางมือ ไม่รู้ว่ากำลังจะทำอะไรกันแน่
หมอกสีดำสายหนึ่งไหลออกมาจากใจกลางฝ่ามือของนาง กลายเป็นดาวหกแฉกอย่างรวดเร็ว
ซ่งชิงไต้แสยะริมฝีปาก เผยให้เห็นฟันสีขาว แต่ว่าหากมองดูให้ละเอียดแม้แต่เหงือกก็เน่าแล้ว
นางพึมพำคาถาอยู่บนริมฝีปาก ตู๋กูซิงหลันปรายตามองดู ก็รู้สึกว่าท่าทางของนางกำลังว่าคาถาที่ทำลายล้างฟ้าดิน
ดาวหกแฉกของซ่งชิงไต้ยังไม่ทันก่อรูปได้อย่างสมบูรณ์ หมอกสีดำในมือของจีเฉวียนก็พุ่งออกไปก่อนแล้ว หมอกสีดำกลุ่มนั้นกลายเป็นดาบสีดำอมทองเล่มหนึ่ง บินออกไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเสียง
ความเร็วระดับนี้ ฟันสองมือของซ่งชิงไต้ลงมาเพียงชั่วพริบตาในครั้งเดียว
ดาวหกแฉกดวงนั้นหายสาบสูญไปด้วย
สองมือของนางร่วงหล่นลงบนพื้น เน่าสลายอย่างรวดเร็ว สภาพที่เห็นแปลกประหลาดและน่ากลัวอย่างยิ่ง
ซ่งชิงไต้ทั้งโกรธและหงุดหงิด แต่ว่านางยังไม่ทันจะได้อาละวาดออกมา ก็เห็นว่าจีเฉวียนพุ่งมาถึงเบื้องหน้าของนางแล้ว สองนิ้วที่เรียวยาวของเขาทิ่มแทงลงไปในหน้าผากของนาง และออกแรงคว้าน แสงสีดำกลุ่มหนึ่งก็ถูกควักออกมาจากหน้าผากของซ่งชิงไต้ทั้งอย่างนั้น
เอาออกมาทั้งเลือดและเนื้อ
แต่ในนั้นไม่เพียงแต่มีแค่แสงสีดำกลุ่มหนึ่ง แสงสีดำกลุ่มนั้นรายล้อมบางสิ่งเอาไว้
ตราประทับยมราช
“นี่มัน….จะเป็นไปได้อย่างไร?”
ซ่งชิงไต้เบิกตาโต พูดอะไรไม่ออก
ตราประทับยมราชของนาง ทำไมอยู่ๆถึงถูกควักออกไปได้ง่ายๆ
มิใช่ว่าต้องเต็มใจมอบให้…ตราประทับจึงจะแยกออกจากร่างกายหรอกหรือ?
ทำไมถึง?
จีเฉวียนเหลือบมองดูนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง จากนั้นก็เก็บตราประทับเอาไว้ในขวดแก้วใบหนึ่ง
“หากเราไม่ตาย เราก็คือเจ้านายตลอดกาล”
ศักดิ์ฐานะของสิบยมราชแม้จะสูงส่งเพียงไร ก็เป็นเพียงแค่ทาสรับใช้ของหมิงอ๋องเท่านั้น
สิ่งที่เจ้านายมอบให้ หากต้องการนำกลับไป ยังจะมิใช่เรื่องง่ายดายหรอกหรือ
ที่บอกกันว่าเต็มใจมอบออกไป ก็เพียงแค่ตอนนั้นเขาต้องการให้เกิดความสามัคคีกลมเกลียวกันในหมู่เผ่าภูติจึงได้ปล่อยให้มีเรื่องเล่าลือก็เท่านั้น
ช่างบังเอิญ ที่ทุกคนต่างก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
พอถูกควักตรายมราชออกไป เนื้อหนังของซ่งชิงไต้ก็ไม่อาจคงรูปได้อีกต่อไป กลายเป็นเน่าเละอย่างรวดเร็ว คืนสู่รูปลักษณ์เดิมของนาง
ภายใต้แสงอาทิตย์ในต้นฤดูร้อนตัวประหลาดที่ไม่มีผิวหนัง ช่างดูบาดตาอย่างรุนแรง
หน้าผากของนางกลายเป็นรูดำที่กลวงโบ๋ เลือดข้นๆไหลออกมาไม่มีหยุด
ขณะที่นางอ้าปากค้าง ฝ่ามือของจีเฉวียนก็ตบลงไป
ครั้งนี้ ทำลายซ่งชิงไต้จนแหลกเละ
นางซึมซับไอมารเข้าไปแล้ว หากปล่อยทิ้งเอาไว้ก็จะกลายเป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้ายเสียเปล่าๆ
จีเฉวียน….มิใช่คนที่ทิ้งรากเหง้าแห่งปัญหาเอาไว้ให้ตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้นนับตั้งแต่วันที่ซ่งชิงไต้ทรยศเผ่าภูติ ก็สมควรตกตายแล้ว
ขณะที่นางแหลกสลายหายไปในอากาศ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องก่อนตายของนางดังออกมาแผ่วๆว่า
“ข้าขอสาปแช่งพวกเจ้าไม่อาจอยู่อย่างสงบสุข…..ไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขไปตลอดกาล!”
………………..