บทที่ 860 ความปลอดภัยสูงสุด
“เจ้าอาศัยสิ่งใดถึงคิดว่าเจ้าจะเล่นละครตบตาผู้นำดวงจิตมหามรรคได้ ระดับของพวกเจ้าห่างชั้นกันมหาศาลนัก เจ้าแน่ใจหรือ”
หานเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
หานทั่วเอ่ยว่า “ข้าอยู่ระดับเสรี เขาอยู่ระดับยอดมหามรรค ห่างกันเพียงสองระดับใหญ่ ข้าไม่เคยเอ่ยถึงท่านต่อหน้าเขาเลย ขอเพียงเขามีแผนร้าย แม้ว่าจะสงสัย ก็ไม่มีทางลงมือกับข้าโดยตรง”
หานเจวี๋ยสะบัดแขนเสื้อ วินาทีนั้น แดนความฝันก็เปลี่ยนไป ใต้เท้าของทั้งสองปรากฏมหามรรคสามพันวิถี ดูราวกับแสงรุ้งตัดสลับไขว้ทับกัน ส่วนด้านล่างคือฟ้าบุพกาลทั้งผืน
หานทั่วเบิกตากว้าง จากนั้นก็ทอดมองฟ้าบุพกาล
เขาตื่นตะลึง ดวงตาเปล่งประกาย
มหามรรคสามพันวิถีไม่ใช่แค่แสงรุ้งเท่านั้น ยังมียอดหลักแห่งมหามรรคด้วย จู่โจมวิญญาณของเขาได้อย่างไร้ร่องรอย แค่มองแวบเดียวเขาก็เห็นผู้แสวงมรรคนับไม่ถ้วนที่อยู่เหนือยอดมหามรรค มองเห็นความผันผวนของหมื่นโลกา
หานทั่วคล้ายจะสัมผัสถึงบางสิ่งได้ เงยหน้าขึ้นทันที มองเห็นเจ็ดยอดมหากฎเกณฑ์ที่อยู่สูงส่งเบื้องบน ส่องสว่างดั่งดวงดาวที่ชี้ทางให้ทั่วทั้งฟ้าบุพกาล
“นั่นคือสิ่งใด…”
หานทั่วพึมพำกับตัวเอง นานมากแล้วที่เขาไม่รู้สึกตื่นตะลึงถึงเพียงนี้
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “นี่คือขอบเขตแห่งยอดมหามรรค”
เขายกมือขึ้น ดึงร่างของอี๋เทียนออกมาจากฟ้าบุพกาล จากนั้นภาพมายาฉากแล้วฉากเล่าพลันปรากฏขึ้นด้านหลังอี๋เทียน ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับอดีตและอนาคตของอี๋เทียน รวมไปถึงคนที่เขาเคยติดต่อด้วย
หานทั่วมองดูอยู่เงียบๆ
เขาเข้าใจเจตนาของหานเจวี๋ย จู่ๆ เขาก็รู้สึกขบขันขึ้นมาเช่นกัน
เขาประเมินพลังของยอดมหามรรคต่ำเกินไป
หานทั่วไม่ใช่เด็กน้อยอมมือเช่นในอดีตแล้ว ประสบเรื่องราวมามากมาย ถึงแม้ยามนี้เขาจะทะนงตน แต่ก็ทราบหลักเหตุผลมากมายดี
ยามปกติเมื่อเขานึกย้อนถึงประสบการณ์ของตน ก็เข้าใจเรื่องหนึ่ง ถึงแม้จะไม่กล้ายอมรับ แต่เป็นความจริงที่ว่า ทุกโอกาสวาสนาที่เขาได้รับล้วนไม่พ้นไปจากหานเจวี๋ยเลย
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งหวาดกลัว
“ท่านพ่อ ข้าควรทำเช่นไรขอรับ” หานทั่วถามอย่างระมัดระวัง ตอนนี้ไม่กล้าพูดจาวางโต ไม่กล้ารับประกันอันใดอีก
เขาไม่ได้โง่ ทราบดีว่าผู้นำดวงจิตมหามรรคเก็บเขาไว้ก็เพื่อใช้เขาข่มขู่หานเจวี๋ยเท่านั้น
หากว่าเขาเป็นสาเหตุในการทำร้ายหานเจวี๋ย เช่นนั้นคงบาปมหันต์
จนถึงวันนี้ เขายังไม่เคยทดแทนคุณหานเจวี๋ยเลย
อันที่จริงก็ไม่ใช่แค่หานทั่ว ศิษย์สำนักซ่อนเร้นก็มีความสับสนเช่นนี้เหมือนกัน
อยากตอบแทนหานเจวี๋ย แต่หานเจวี๋ยไม่ต้องการ
คนผู้นี้ปิดด่านมาตลอด แทบจะไม่มีเรื่องเดือดร้อนใดเลย
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้าปล่อยไปตามธรรมชาติเถอะ อย่าได้คิดวางแผนเล่นงานผู้นำดวงจิตมหามรรคในใจ หากมีโอกาสค่อยหลบหนี ข้าก็จะหาทางช่วยเช่นกัน”
หานทั่วฟังแล้วได้แต่พยักหน้ารับ
หานเจวี๋ยเอ่ยกำชับอีกสองสามประโยค จากนั้นก็สลายแดนความฝัน
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ถอนหายใจคราหนึ่ง
จากนั้น เขาก็ยิ้มออกมา
“น่าสนใจอยู่บ้าง”
หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง ดวงตาฉายแววตื่นเต้น
ฝึกบำเพ็ญไปนานเข้า ก็ค่อนข้างน่าเบื่อ
เดิมทีบรรพชนเทพปฐมกาลก็เป็นศัตรูของเขาอยู่แล้ว ตอนนี้หานทั่วหาเรื่องมาให้เขา เขากลับค่อนข้างดีใจ
ยังมีคนต้องการเขาอยู่!
สองแสนปีผ่านไป ไม่มีใครมาหาเขาสักคน แม้แต่สิงหงเสวียนก็ยุ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ ในใจหานเจวี๋ยลึกๆ ยังรู้สึกเหงาจากการถูกลืมอยู่บ้าง
‘ตอนนี้ข้าสามารถสังหารบรรพชนเทพปฐมกาลได้หรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ไม่ได้]
หานเจวี๋ยล้มเลิกแผนการที่จะใช้อาณาเขตอันธการ
ยังคงต้องสาปแช่งอยู่ดี
หานเจวี๋ยครุ่นคิดเงียบๆ
จากนั้นเขาเคลื่อนย้ายไปยังอาณาเขตเต๋าหลัก สอดส่องมรรคาสวรรค์ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
มรรคาสวรรค์พัฒนาไปราบรื่นยิ่ง มีอริยะเทพอวี๋เจี้ยน หงหยวนและมหาอริยะสวีหุนประจำการอยู่นอกมรรคาสวรรค์ เรียกได้ว่าเหนียวแน่นทนทาน
สอดส่องอยู่พักหนึ่ง หานเจวี๋ยลุกขึ้นเดินออกจากอาณาเขตเต๋า ไปเยี่ยมสิงหงเสวียน
หลังจากไป เขานั่งลงข้างกายสิงหงเสวียน พูดคุยกับนาง
ตบะของสิงหงเสวียนก็พัฒนาไปอย่างมั่นคงเช่นกัน
เมื่อได้พบหานเจวี๋ย สิงหงเสวียนยังคงดีใจยิ่ง ไม่นานนักก็กลายเป็นฝ่ายเริ่มหัวข้อสนทนา พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด
บางครั้งหานเจวี๋ยก็สงสัยในอุปนิสัยของสิงหงเสวียนยิ่งนัก เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าปิดด่านอยู่ตลอด แต่ภรรยาคนนี้มักจะมีเรื่องคุยไม่จบไม่สิ้น ไม่เคยเฉยเมยเย็นชาเลย
ผ่านไปนานพักใหญ่
หานเจวี๋ยเอ่ยถึงเรื่องหานทั่ว ถึงอย่างไรอาณาเขตเต๋าก็ปิดกั้นการสอดส่องของผู้นำดวงจิตมหามรรคได้ ไม่ต้องกลัวจะถูกจับได้
หลังจากสิงหงเสวียนได้ฟัง ก็เอ่ยปลอบ “แต่เดิมเขาก็ทำไปเพื่อท่าน อย่ากล่าวโทษเขาจนเกินไปนักเลย”
นางเพ่งพิศหานเจวี๋ยอย่างละเอียด จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้าว่าท่านคงมีความสุขยิ่งนักกระมัง ไม่น่าเชื่อว่าจะมาหาข้าด้วยเรื่องนี้โดยเฉพาะ
“แต่ก็ถูกแล้ว ท่านคืออริยะสวรรค์เกรียงไกรอยู่สูงส่ง โดยทั่วไปเหล่าศิษย์ล้วนไม่กล้ามารบกวนท่าน สำนักซ่อนเร้นและมรรคาสวรรค์อยู่ในการควบคุมของท่าน ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็คุกคามท่านไม่ได้ ยากนักที่จะมีเรื่องทำให้ท่านกังวล”
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เจ้าว่าวันหน้าลูกชายของพวกเราจะเป็นเช่นเดียวกับหานทั่วเจ้าลูกคนนั้นหรือไม่ หากก่อเรื่องเดือดร้อนเช่นนี้ขึ้นเล่า”
สิงหงเสวียนป้องปากหัวเราะ เอ่ยไปว่า “ตามความเห็นข้า คงก่อเรื่องยิ่งว่าทั่วเอ๋อร์เสียอีก ทั่วเอ๋อร์นับว่ายอดเยี่ยมนัก ตั้งแต่เล็กจนโต เคยทำให้ท่านเดือดร้อนสักกี่ครั้งกัน ลูกชายของพวกเราแกร่งกล้าปานนี้ วันหน้าต้องไม่ธรรมดาแน่ คงจะมีปัญหาเข้ามาไม่หยุดหย่อน”
หานเจวี๋ยยิ้ม “หากเป็นเช่นนี้ งั้นก็อย่าให้เขาคลอดออกมาเลย จะได้ไม่เกิดปัญหา”
“ได้อยู่แล้ว ข้าว่าเขาก็คงไม่ได้ออกมาแล้ว”
“นี่เจ้าเป็นแม่ประสาอะไรกัน”
“คิกๆ ลูกน่ะมีใหม่ได้ แต่ข้ามีท่านเป็นสามีคนเดียว หากท่านกลัวปัญหายุ่งยาก ข้าไหนเลยจะทำร้ายท่านได้”
ทั้งสองเริ่มพูดคุยหยอกล้อ
หลายวันต่อมา หานเจวี๋ยถึงได้ออกไป
หลังจากคุยกับสิงหงเสวียนแล้ว หานเจวี๋ยอารมณ์ดีขึ้นมาก
ส่วนบุตรชายคนเล็ก ยังคงอยู่ในครรภ์ หานเจวี๋ยคิดไว้แล้ว รอจนเขาสะสมชิ้นส่วนอนธการได้ครบเก้าชิ้น จะใช้มหารังสรรค์อนธการยกระดับสายเลือด เช่นนี้บุตรชายคนเล็กก็จะเป็นเทพมารอนธการเพียงหนึ่งเดียวแล้ว
หานเจวี๋ยเริ่มตั้งตารอให้ถึงวันนั้น
เมื่อกลับมายังอารามเต๋าของตน หานเจวี๋ยนึกถึงหลิวเป้ย จึงเรียกหลิวเป้ยเข้ามาทันที
เดิมทีไม่คิดจะปล่อยคนเข้าสู่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม แต่หลิวเป้ยลำบากตรากตรำอยู่ในฟ้าบุพกาลมานานขนาดนี้ ไม่อาจหมางเมินได้
ถึงแม้หลิวเป้ยจะเป็นร่างแยก แต่กายเนื้อที่ใช้เป็นของพุทธะพิชิตชัย มีความคิดจิตใจเป็นตัวเองมานานแล้ว
เมื่อเข้ามาในอารามเต๋าของหานเจวี๋ย หลิวเป้ยว้าวุ่นกระวนกระวาย ทว่าในใจกลับตื้นตันนัก
หลังจากกลับมา เขาผิดหวังมากจริงๆ เอาแต่โทษตัวเองยิ่งนัก ถึงอย่างไรเขาก็ปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จ หนำซ้ำหานเจวี๋ยยังต้องออกโรงช่วยเหลืออีก
หานเจวี๋ยไม่พูดจาไร้สาระ แต่พาเขาเคลื่อนย้ายไปยังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
หลิวเป้ยเห็นสภาพในอารามเต๋าเปลี่ยนไป อดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน
“ที่นี่คืออาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม ต่อไปให้เจ้าฝึกบำเพ็ญอยู่กับข้าที่นี่ ก่อนหน้านี้ให้เจ้าออกไปเสาะหาสถานที่ก่อตั้งอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามในฟ้าบุพกาล คิดว่าสร้างความลำบากให้เจ้ามากจริงๆ”
หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ย หลิวเป้ยได้ฟังก็ซาบซึ้งเป็นล้นพ้น รีบคำนับขอบคุณ
หานเจวี๋ยมองร่างแยกที่มีความคิดเป็นของตัวเองเพียงหนึ่งเดียวของตน แววตาก็อ่อนโยนลงพลางเอ่ยว่า “เจ้าติดตามข้ามากว่าสามล้านปี ข้าหมางเมินเจ้าไปแล้วจริงๆ ไม่ใช่แค่เจ้า มีอีกหลายคนที่ถูกข้าหมางเมิน”
หลิวเป้ยรีบกล่าวว่า “จะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ หากมิใช่เพราะท่านปิดด่านฝึกบำเพ็ญตลอด จนต้านทานการรุกรานของผู้แข็งแกร่งได้เสมอ พวกเราคงสิ้นชีพไปนานแล้ว ท่านมอบสภาพแวดล้อมฝึกบำเพ็ญที่ดีที่สุดให้พวกเรา ซ้ำยังมอบความปลอดภัยสูงสุดให้ ไม่ได้หมางเมินเลย”
ไม่ว่าหลิวเป้ยจะพูดด้วยใจจริงหรือไม่ แต่หานเจวี๋ยฟังแล้วสบายใจยิ่ง
หานเจวี๋ยไม่พูดไร้สาระอีก เริ่มเทศนาธรรม
มหามรรคต้นกำเนิดเข้าโอบคลุมหลิวเป้ยทันที
ไม่ทราบว่าหานเจวี๋ยตั้งใจหรือไม่ เสียงเทศนาธรรมของเขาดังก้องไปทั่วอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
………………………………………………………………