บทที่ 861 อายุสี่ล้านปี ยกระดับหนังสือแห่งความโชคร้าย
เพื่อเทศนาธรรมแก่หลิวเป้ย หานเจวี๋ยใช้เวลานับพันปี ทำให้หลิวเป้ยเข้าสู่เส้นทางแห่งมหามรรคต้นกำเนิดอย่างสมบูรณ์
จากนั้น หานเจวี๋ยไม่ได้ไล่หลิวเป้ยออกไป แต่ให้เขาอยู่ฝึกบำเพ็ญในอารามเต๋าด้วย
อารามเต๋าตกอยู่ในความเงียบสงัด
หานเจวี๋ยทำความเข้าใจพลังแห่งการสรรค์สร้างต่อ
เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
ห้วงจักรวาลดาราวิวัฒนาการอยู่ตลอด ดวงดาวปรากฏเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จับกุมรวมตัวกลายเป็นสายธารและมหาสมุทรดวงดาวที่ไพศาลงดงาม ท่ามกลางดวงดาวก็เกิดความเปลี่ยนแปลงหลากหลายสารพัดรูปแบบ ทั่วทั้งจักรวาลมีสีสันเพิ่มมากขึ้น
อีกด้านหนึ่ง
ในส่วนลึกของฟ้าบุพกาล
หวงจุนเทียนนำกลุ่มมิ่งหลายร้อยคนร่อนลงบนทวีปรกร้างผืนหนึ่ง
“ทุกคนจงเริ่มจับกลุ่มสามคน เริ่มการค้นหาได้ ต้องค้นหาบ่อเกิดเทพมารให้พบ!”
หวงจุนเทียนสั่งการ เมื่อสิ้นคำสั่ง มิ่งหลายร้อยคนกระจายตัวออกไปทันที
จากนั้น หวงจุนเทียนเหาะมุ่งไปตามลำพัง เหาะผ่านเหนือพื้นที่โล่งกว้างอย่างรวดเร็ว
‘น่าจะอยู่ที่นี่’
เสียงหนึ่งแว่วขึ้นในหัวของหวงจุนเทียน เป็นสื่อหยวนหงเหมิง
พวกเขาผสานรวมกันมานานแล้ว ตอนนี้สื่อหยวนหงเหมิงคอยสนับสนุนหวงจุนเทียนอยู่ ถึงแม้เขาจะล้มเหลวในการวิวัฒนาการสู่เทพมารอนธการ แต่ความทะเยอทะยานในใจเขายังไม่มอดดับไป
หวงจุนเทียนถามในใจ ‘หลังจากหาต้นกำเนิดเทพมารพบแล้วจะทำอะไรต่อ คืนชีพให้เทพมารอย่างนั้นหรือ’
‘เรื่องนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร ข้าต้องการให้เจ้ากลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล จากนั้นก็มุ่งวิวัฒนาการสู่เทพมารอนธการ’
เทพมารอนธการ!
หวงจุนเทียนใจเต้นแรง สีหน้าเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมา
ตำนานเล่าขานกันมานานแล้วว่าเทพมารอนธการเป็นศัตรูกับทั่วฟ้าบุพกาล ในอดีตสรรพสิ่งมองว่าเทพมาร อนธการคือสุดยอดความชั่วร้าย แต่หลังจากเทพมารฟ้าบุพกาลถูกขุนพลศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้าง ทุกอย่างก็เกิดความเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
สรรพสิ่งเริ่มหลงลืมเรื่องเทพมารอนธการไปโดยไม่รู้ตัว ข่าวลือสารพัดล้วนบ่งชี้ไปยังดวงจิตมหามรรค กล่าวขานกันว่าเทพมารอนธการเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ดวงจิตมหามรรคใช้ข้ออ้างว่าต้องการจับกุมเทพมารอนธการ พลางถือโอกาสกวาดล้างเทพมารฟ้าบุพกาลไปด้วย ความจริงก็เป็นเช่นนี้
เดิมทีหวงจุนเทียนคิดว่าเทพมารอนธการเป็นเรื่องปั้นแต่ง ไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริง
‘หากกลายเป็นเทพมารอนธการ จะถูกดวงจิตมหามรรคสังเกตเห็นหรือไม่’ หวงจุนเทียนถามในใจ
‘วางใจเถอะ ไม่มีทาง ไม่มีผู้ใดบนโลกเคยพบเห็นเทพมารอนธการ แม้กระทั่งดวงจิตที่เก่าแก่โบราณที่สุดก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน’
เมื่อหวงจุนเทียนได้ยิน ก็เบาใจลงทันที ดวงตาฉายแววคาดหวังตั้งตารอ
ครึ่งชั่วยามต่อมา
เสียงหนึ่งแว่วเข้ามา “เจ้าชะตา ต้นกำเนิดเทพมารอยู่ตรงนี้ขอรับ!”
หวงจุนเทียนเคลื่อนย้ายไปทันที
เขามาปรากฏตัวหน้าหุบเหวลึกมองไม่เห็นก้นเส้นหนึ่ง มิ่งรายหนึ่งลอยอยู่ในอากาศ ก้มมองเบื้องล่าง
หวงจุนเทียนมุดเข้าสู่หุบเหวทันที ก่อนหายลับตาไป
….
หนึ่งแสนปีผ่านไป
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ไม่เห็นหลิวเป้ยอยู่ในอารามเต๋าแล้ว
หลายหมื่นปีต่อมา หลิวเป้ยจากไปอย่างเงียบเชียบ
เขามองออกไปนอกอารามเต๋า
หลิวเป้ยอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ภายในรัศมีห้าจั้งเต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้า แดงเขียวตัดสลับกัน
หานเจวี๋ยยิ้มอย่างพอใจ ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเทศนาธรรมให้หลิวเป้ย ตั้งใจชักนำมหามรรคต้นกำเนิดเข้าครอบคลุมอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม ต้องการก่อกำเนิดชีวิต
จักรวาลที่ไร้สิ่งมีชีวิต เงียบเหงาวังเวง艾琳小說
เขาต้องการทำความเข้าใจพลังแห่งการสรรค์สร้าง และต้องการสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้น
ทั่วทั้งจักรวาลดารา ขณะนี้มีเพียงในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามของหานเจวี๋ยที่มีดอกไม้ใบหญ้า ดอกไม้ใบหญ้าก็มีวิญญาณเช่นกัน เพียงแต่เป็นเสี้ยววิญญาณ ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง
แต่นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีอย่างหนึ่ง
หานเจวี๋ยก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน ปล่อยทุกอย่างไปตามกาลเวลาจะดีกว่า
เขาเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู
[หวงจุนเทียนสหายของท่านผสานรวมกับต้นกำเนิดเทพมาร กลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล]
[เต้าจื้อจุนศิษย์ของท่านครอบครองอาณาเขตฟ้าบุพกาล พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านสร้างแม่ทัพเทพสวรรค์ขึ้น พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[อริยะเทพอวี๋เจี้ยนสหายของท่านทำความเข้าใจมรรคกระบี่ เผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ]
[โจวฝานศิษย์ของท่านและอริยะเจ็ดวิถีศัตรูคู่อาฆาตของท่านสนทนาธรรมกัน พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[จักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดสหายของท่านทำความเข้าใจมหามรรควัฏจักร วิญญาณเข้าสู่มหามรรค]
[บรรพชนเทพปฐมกาลศัตรูคู่อาฆาตของท่านผสานรวมกับขุนพลศักดิ์สิทธิ์ เผชิญการสะท้อนกลับ]
….
หวงจุนเทียนกลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลอย่างนั้นหรือ
ปรับตัวได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้เชียวหรือ
หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว สื่อหยวนหงเหมิงผู้นี้น่าสนใจอยู่บ้าง
เทพมารฟ้าบุพกาลไม่ได้รับสืบทอดง่ายดายปานนั้น
เมื่อไล่อ่านลงไปอีก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นโอกาสวาสนา
โจวฝานและอริยะเจ็ดวิถีรวมตัวกันอีกแล้ว ค่าความประทับใจของโจวฝานไม่ได้ลดลง แปลว่าไม่ได้ถูกอริยะเจ็ดวิถีล่อลวง ทั้งสองอาจจะพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวกระมัง
ไม่ว่าอย่างไร โจวฝานก็ติดค้างอริยะเจ็ดวิถีจริงๆ หากไม่มีอริยะเจ็ดวิถี โจวฝานคงตายไปหลายพันครั้งแล้ว
หานเจวี๋ยหรี่ตาลง ถูกบรรพชนเทพปฐมกาลดึงดูดความสนใจ
คนผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่
ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะผสานรวมกับขุนพลศักดิ์สิทธิ์!
ดูเหมือนคนผู้นี้จะระวังตัวมากจริงๆ กลัวว่าช่วงที่ต่อสู้กันหานเจวี๋ยจะพลิกสถานการณ์ได้
หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งบรรพชนเทพปฐมกาลทันที
ทว่าพลังคำสาปแช่งของเขาว่างเปล่าไปทันที ไม่อาจสาปแช่งบรรพชนเทพปฐมกาลได้ เรื่องนี้ทำให้เขาหงุดหงิดยิ่ง
ถึงจะหงุดหงิดแค่ไหนก็ทำได้เพียงยอมรามือ
จากนั้น หานเจวี๋ยก็เคลื่อนย้ายไปยังอาณาเขตเต๋าหลัก
เขาเริ่มสอดส่องมรรคาสวรรค์ ไร้ซึ่งอันตราย อริยะเทพอวี๋เจี้ยน หงหยวนและมหาอริยะสวีหุนยังคงสงบใจฝึกบำเพ็ญอยู่ ทุกอย่างดูปกติดีอย่างยิ่ง
หลังจากสอดส่องเสร็จ หานเจวี๋ยเคลื่อนย้ายกลับไปยังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามอีกครั้ง
ทันใดนั้นเขาพลันนึกถึงเจียงเจวี๋ยซื่อขึ้นมา
เขาเกิดความสนใจเล็กน้อย เจตจำนงกระโดดสู่เหนือฟ้าบุพกาล สอดส่ายสายตาจับพิกัดของเจียงเจวี๋ยซื่ออย่างรวดเร็ว
เจียงเจวี๋ยซื่อยังคงท่องอยู่ในฟ้าบุพกาล หานเจวี๋ยเริ่มสร้างภาพลวงตา ย้ายห้วงมิติที่เจียงเจวี๋ยซื่ออยู่ไปไว้ใกล้ๆ ห้วงจักรวาลดารา
มิติที่เขาเคลื่อนย้ายใหญ่โตยิ่ง ใหญ่จนเจียงเจวี๋ยซื่อไม่ทันสังเกตเห็นเลย
หานเจวี๋ยยิ้มมุมปาก เขาเริ่มคาดหวังตั้งตารอฉากที่เจียงเจวี๋ยซื่อพลัดหลงเข้าสู่ห้วงจักรวาลดารา
จากนั้น เขาจึงฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า
เกือบสองหมื่นปีต่อมา
[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุครบสี่ล้านปีบริบูรณ์ ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง ออกจากการปิดด่านทันที สร้างชื่อเทพมารอนธการให้เลื่องลือ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน องครักษ์ระดับอริยะมหามรรคหนึ่งราย]
[สอง ปิดด่านต่อไป เก็บตัวบำเพ็ญ หลีกห่างข้อพิพาท จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน]
หานเจวี๋ยตาลุกวาว เขาไม่เคยปรารถนาจะได้รับหินวิญญาณมรรคาสวรรค์ขนาดนี้มาก่อน
อีกทั้งระบบยังคงใส่ใจมากนัก ไม่ได้ใส่หินวิญญาณมรรคาสวรรค์ไว้ในตัวเลือกข้อแรก ผิดกับที่ผ่านมายิ่งนัก
เขาเลือกตัวเลือกข้อที่สองทันที
[ปิดด่านต่อไป เก็บตัวบำเพ็ญ หลีกห่างข้อพิพาท ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน]
หานเจวี๋ยนำศิลาก่อวิญญาณออกมา ผสานรวมกับปราณเทพมารกลุ่มหนึ่ง
จากนั้นเขาหยิบหินวิญญาณมรรคาสวรรค์และหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เลือกผสานรวมเข้าด้วยกัน
หนังสือแห่งความโชคร้ายเป็นยอดสมบัติมหามรรคแล้ว หากยกระดับขึ้นอีกจะกลายเป็นสมบัติเลิศมรรคา!
หนังสือแห่งความโชคร้ายระดับเลิศมรรคาน่าจะสาปแช่งบรรพชนเทพปฐมกาลได้แล้วกระมัง!
หานเจวี๋ยตั้งตารอยิ่งนัก
บรรพชนเทพปฐมกาลผสานรวมขุนพลศักดิ์สิทธิ์ นี่มิใช่เรื่องดีเลย ต้องเร่งกำจัดโดยเร็ว
หลังจากผสานรวมกับหินวิญญาณมรรคาสวรรค์แล้ว ต่อไปก็แค่ต้องรอให้ยกระดับสำเร็จท่านั้น
หานเจวี๋ยเองก็ไม่ได้รออยู่เฉยๆ แต่ฝึกบำเพ็ญต่อไปเรื่อยๆ
นอกอารามเต๋า
ใต้ต้นไม้
หลิวเป้ยลืมตาขึ้น สายตาทอดมองบุปผาสีขาวดอกหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้า บุปผาสีขาวดอกนี้สูงสามสิบเซนติเมตร ใบดังกระบี่ บุปผาดั่งพัด
“ในที่สุดก็เริ่มดูดซับพลังวิญญาณแล้ว ไม่ทราบเช่นกันว่าคุณสมบัติจะออกมาเป็นเช่นใด…”
หลิวเป้ยพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เขารู้ตัวดีว่าคุณสมบัติของตนนั้นธรรมดา ดังนั้นจึงคิดจะชุบเลี้ยงกองกำลังให้หานเจวี๋ย
เขาสำเร็จเป็นอริยะแล้ว ก่อนหน้านี้ใช้จิตศักดิ์สิทธิ์สอดส่องจักรวาลผืนนี่ดู ทั่วทั้งห้วงจักรวาลล้วนยังอยู่ระหว่างวิวัฒนาการ บางทีในอนาคตอาจจะให้กำเนิดอัจฉริยะที่สะท้านสะเทือนอดีตกาลและปัจจุบันได้
………………………………………………………………