ศีรษะของตี้หยูเอ๋อร์ยังกลิ้งอยู่ที่เท้าของฮว๋ายยู่ เบิกตามองดูคนในดวงใจร่วมรักกับหมู่โฮ่วของนาง
ทั้งๆที่เมื่อครู่นี้คนที่ใกล้ชิดกับจ้านเสินเกอเกอก็คือนางแท้ๆ!
แต่ว่าตอนนี้นางสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าขณะที่จ้านเสินเกอเกอร่วมสัมพันธ์กับหมู่โฮว่นั้น อ่อนโยนกว่ามาก แตกต่างกับเมื่อครู่ที่กระทำกับนางอย่างสิ้นเชิง
ความอ่อนโยนเช่นนั้นนางไม่เคยสัมผัสได้จากเขามาก่อนเลย
คนที่อยู่ในหัวใจของเขา ก็คือ หมู่โฮ่ว
การร่วมรักครั้งนี้ใช้เวลานาน ตอนแรกๆฮว๋ายยู่ยังต่อต้าน แต่ว่าในไม่ช้าร่างกายก็ยอมรับขึ้นมา ซือเป่ยมีความสามารถอย่างแท้จริง ขอเพียงเป็นสตรีล้วนต้องหลงใหลอย่างไม่อาจถอนตัว
จนกระทั่งจบลงแล้ว นางก็ยังคงคิดถึงรสชาตินั้นอยู่ไม่คลาย จนเมื่อเห็นศีรษะของตี้หยูเอ๋อร์จดจ้องมาที่นางอย่างเอาเป็นเอาตาย ฮว๋ายยู่ค่อยรู้สึกตัว กระตือรือล้นขึ้นมา
นางรีบหวีสางผมเผ้า “ซือเป่ย เจ้ารับปากข้าเอาไว้แล้วนะ รีบช่วยเหลือหยูเอ๋อร์เร็วๆเข้า”
“ยู่เอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้ามิใช่ว่าชื่นชอบมันมากหรอกหรือ?” ซือเป่ยไม่รีบร้อน สองมือโอบกอดเอวของนางเอาไว้ จรดริมฝีปากที่ใบหูของนาง เอ่ยว่า “หากว่านางยังมีชีวิตอยู่ เกียรติยศในฐานะเทียนโฮ่วของเจ้ามิสูญสิ้นจนหมดหรอกหรือ ไยต้องทำเช่นนั้นด้วย?”
“วันเวลายังมีอีกยาวนาน ภายหน้าพวกเราค่อยมีลูกให้มากๆ ข้ารับรอง จะต้องรักใคร่โปรดปรานพวกเขาอย่างที่สุด”
ว่าแล้วซือเป่ยก็ปรายตาเย็นชาไปที่ศีรษะบนพื้นแวบหนึ่ง
ดวงตาของตี้หยูเอ๋อร์ยังคงขยับได้ นางจ้องไปที่เขา ในความชังนั้นยังมีความวิงวอนและสำนึกเสียใจปะปนจนสับสน
แววตาของซือเป่ยเย็นชาไร้น้ำใจอย่างที่สุด ในมือปรากฏลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่ง พอสะบัดมือออกไป ลำแสงสีดำก็พุ่งเข้าหาตี้หยูเอ๋อร์
พริบตาเดียว ศีรษะนั่นก็แหลกละเอียด แม้แต่ร่ายกายของนางก็สูญสลายไปจนหมดสิ้น
บนพื้นมีแต่กองเลือดสองกอง เลือดสดๆไหลซึมลงไปในพื้นดินใต้ฝ่าเท้า กลิ่นคาวคละคลุ้งเสียดแทงจมูก ทำให้ฮว๋ายยู่ที่แม้จะโกรธเกรี้ยวสุดขีดก็ยังทนไม่ไหว อาเจียนโอ๊กอ๊ากออกมาในทันที
ซือเป่ยไม่ยอมปล่อยนาง แสงสีดำไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น หากแต่ทำลายเศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่แตกสลายแล้วของตี้หยูเอ๋อร์จนกลายเป็นผุยผง
“ซือเป่ย เจ้าหลอกลวงข้า!” ฮว๋ายยู่ล้มทั้งยืน นางกรีดร้องอย่างโหยหวน อยากฆ่าเขาให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้
หยูเอ๋อร์เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของนางกับตี้เสีย ที่ผ่านมาล้วนได้รับการทนุถนอมอยู่บนฝ่ามือตลอดเวลา แต่สุดท้ายกลับต้องให้นางที่เป็นมารดามาทนเห็นนางตายต่อหน้า!
ซือเป่ยยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม “ข้าแม่ทัพบอกเอาไว้แล้ว ว่าจะลองใคร่ครวญดูสักครั้งว่าจะช่วยนางหรือไม่ ตอนนี้ใคร่ครวญดีแล้ว ว่าตกลงไม่ช่วย นี่ไม่ถือว่าหลอกลวงเจ้านะ”
แต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นคนโหดเหี้ยมใช้ฝีมือเด็ดขาดอยู่แล้ว ขนาดตอนที่เกิดสงครามเทพภูติ เขายังเป็นคนทำลายพลังชีวิตขุมสุดท้ายในร่างของซือหนานไปเองกับมือ
ขนาดพี่น้องแท้ๆของตนเองยังทำได้ แล้วประสาอะไรกับตี้หยูเอ๋อร์
ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงผู้ใต้บังคับบัญชาของเขารายงานเข้ามา “ท่านแม่ทัพ มีเรื่องมิสู้ดีแล้วขอรับ”
ซือเป่ยขมวดคิ้วมุ่น เขาอุ้มฮว๋ายยู่กลับเข้าไปในห้อง ทำให้นางสลบจากนั้นก็จุดกำยานหอมสงบใจขึ้นมา ปล่อยนางหลับสนิทไป
จากนั้นค่อยรับฟังคำรายงานของลูกน้อง
“ใต้เท้าซือหลิน…..ถูกจับได้ที่โลกเบื้องล่างแล้วขอรับ” ผู้ใต้บัญชาผู้นั้นคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า พอเห็นสีหน้าที่ถมึงทึงของซือเป่ย ก็ต้องตัวสั่นขึ้นมา
ใครจะไปคิดว่า แม้แต่คนอย่างใต้เท้าซือหลินก็ยังจะถูกคนที่โลกเบื้องล่างจับตัว
ซือเป่ยเงียบงันไม่พูดไม่จา ซือหลินเป็นลูกน้องคู่ใจของเขา ตลอดหลายปีมานี้ช่วยเขาทำงานต่างๆไปไม่น้อย ทุกเรื่องล้วนทำได้ดีจนเขาพอใจอย่างยิ่ง กลับต้องมาจบสิ้นเพราะเรื่องนี้
“พวกเราตามหากันอย่างอยากลำบาก ในที่สุดค่อยพบนกกระเรียนกระดาษที่มีจิตวิญญาณเบาบางของใต้เท้าซือหลิน”
ว่าแล้ว ผู้ใต้บัญชาผู้นั้นก็ส่งนกกระเรียนกระดาษให้เขา
พอนกกระเรียนกระดาษลอยมาถึงเบื้องหน้าของเขาก็กลายร่างเป็นสตรีผู้หนึ่ง นั่นก็คือซือหลิน
ร่างของสตรีผู้นั้นโปร่งแสง พอเห็นซือเป่ย ซือหลินก็คุกเข่าลงไป ดวงจิตของนางบอบบางและอ่อนแอ “นายท่าน องค์หญิงเผ่ามารอยู่ในแคว้นต้าโจว นางมีนามว่าหยวนเฟย เป็นอดีตพระสนมในฮ่องเต้ต้าโจว”
พูดจบแล้ว วิญญาณของซือหลินก็สลายไปจนหมดสิ้น
ซือเป่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง ซือหลินนับว่าทำได้ดี ไม่เสียทีที่เขาไหว้วาน ในที่สุดก็หาจนเจอแล้วหรือนี่?
ขอเพียงเขานำตัวองค์หญิงเผ่ามารทำการสังเวย ก็จะสามารถปลดปล่อยจอมมารออกมา แล้วอาศัยจังหวะชั่วพริบตานั้น ดูดกลืนพลังทั้งหมดในร่างของจอมมาร
ส่วนตี้เสียที่นอนสลบอยู่ในวัง ก็เป็นเพียงแค่ดวงจิตที่ใกล้จะสูญสลาย แม้แต่พลังที่เหลืออยู่ในร่างกายของเขาก็ถูกตนเองดูดกลืนออกมาเรื่อยๆ
ถึงตอนนี้ ก็ดูดกลืนไปมากกว่าครึ่งแล้ว
ตอนนี้ขอเพียงเขาได้ดูดกลืนพลังของจอมมารลงไป เขาซือเป่ยก็จะกลายเป็นบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในหกภพภูมิ
ซือเป่ยหรี่ดวงตาลง มองดูจุดที่ซือหลินสลายไป เอ่ยออกมาอย่างช้าๆสองคำว่า “หยวนเมิ่ง……”
……………………..
ต้าโจว หยวนเมิ่งตกใจตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย
ตอนที่ตื่นขึ้นมา รอบกายของนางมีไอมารพุ่งพล่าน
นางฝันถึงภาพยามก่อนที่ซือหนานจะตายอีกแล้ว ตอนนั้นทั้งๆที่นางก็อยู่ข้างกายเขา แต่กลับไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเขาได้ทั้งสิ้น ได้แต่มองดูเขาตกตายใต้คมดาบ
บนหน้าผากมีเหงื่อไหลออกมามากมาย ชุ่มจนไหลเป็นทางยาวผ่านลำคอลงไป เย็นอย่างยิ่ง
นางพึ่งจะลุกขึ้นนั่ง ก็สังเกตเห็นเงาดำเงาหนึ่ง แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางแสงสลัวทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด แต่ก็รู้สึกได้ถึงความเย็นจัดที่ซึมเข้ากระดูก
หยวนมิ่งตัดสินใจลุกขึ้นนั่งอย่างระวังป้องกันตัวในทันที
นางเห็นคนผู้นั้นก้าวเข้ามาใกล้อีกก้าว และยื่นมือออกมา
ในมือมีขวดแก้วที่กระจ่างใสใบหนึ่ง ในขวดบรรจุบางสิ่งที่เปรอะเปื้อนเลือดเอาไว้
บานหน้าต่างแง้มอยู่เป็นช่องแคบๆ เมื่อแสงจันทร์ส่องลงมาบนใบหน้าของเขา หยวนเมิ่งถึงได้มองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน
“ฮ่องเต้ ฝ่าบาท? ไม่สิ….ใต้เท้าตี้โฮ่ว?”
ที่นี่คือตำหนักฉางซินกง ทั้งยังเป็นห้องนอนของนาง ดึกดื่นแล้ว ตี้โฮ่วกลับเข้ามาในห้องของนางเพียงคนเดียว บุรุษและสตรีอยู่ด้วยกันตามลำพังเช่นนี้ออกจะไม่เหมาะสม
จีเฉวียนยืนอยู่ตรงหน้าเตียง ในมือยังคงถือขวดแก้วใบนั้นเอาไว้ แววตามองไปยังหยวนมิ่ง
“เผ่าหมิงของข้าขาดยมราชไปผู้หนึ่ง เจ้าเต็มใจหรือไม่?”
หยวนเมิ่ง “อ๋า?”
นางถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
“สิบยมราชตายไปผู้หนึ่ง เราเคยรับปากเจ้าเอาไว้ จะมอบลาภยศชั่วชีวิตให้เจ้า คำสัญญานั้นยังคงมีผลจนถึงทุกวันนี้ เป็นยมราช ชีวิตนับว่ายอดเยี่ยม”
นี่เป็นข้อเสoอของซิงซิง และเขาเองก็ไตร่ตรองอยู่นาน ดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดเหมาะสมไปกว่าหยวนเมิ่งอีกแล้ว
หยวนเมิ่งได้ยินแล้ว ก็นึกว่าตนเองกำลังฝันไป
ว่าตามจริงแล้ว นางเข้าใจว่าฝ่าบาทคิดกำจัดนางมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าเขายังจะคำนึงถึงคำสัญญาเมื่อก่อน
คำสัญญาที่ว่าจะประทานลาภยศชั่วชีวิตให้กับนาง ที่จริงในตอนนั้นเป็นเพราะเห็นแก่ที่นางต้องสูญเสียคนในครอบครัวไป ใช้ชีวิตเพียงลำพังในวังอันใหญ่โตของต้าโจว
“ฝ่าบาท ข้าเป็นคนเผ่ามาร ….” พักใหญ่ หยวนเมิ่งถึงได้พึ่งจะหาเสียงของตนเองเจอ
เผ่ามารและเผ่าหมิง เดิมทีก็เป็นคนละเผ่าพันธุ์กัน หากนางสามารถกลายเป็นยมราช ก็เป็นนิทานพันหนึ่งราตรีแล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างไร
“เราถามเจ้า เจ้าแค่ตอบว่าเต็มใจหรือไม่ก็พอ”
“หากว่าเป็นไปได้ แน่นอนว่าเต็มใจ!” หยวนเมิ่งตอบอย่างไม่มีลังเล ตอนนั้นซือหนานยังสามารถละทิ้งเผ่าเทพได้ แล้วทำไมนางถึงจะละทิ้งเผ่ามารไม่ได้เล่า?
นางพึ่งจะตอบว่าเต็มใจ ก็เห็นขวดแก้วใบนั้นเปิดออก สิ่งที่เปรอะเปื้อนอยู่ในขวดถูกพลังงานที่ลึกลับบางอย่างชำระล้างจนสะอาด จากนั้นลำแสงสีดำสายหนึ่ง ก็เข้าไปในหน้าผากของนาง
……………………………….