แต่เขาได้เห็นเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น บุรุษที่เขาลากเข้ามาตรงหน้า แม้ว่าจะยังไม่ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ไม่ใช้ผู้ที่เขาจะบดขยี้ลงได้
ฝ่ามือมารเหล่านั้นแม้ว่าจะดูเหมือนกลืนกินจีเฉวียนลงไป แต่ว่าที่จริงแล้วกลับไม่อาจเข้าใกล้ร่างกายของเขาเลยด้วยซ้ำ
ทำได้เพียงแค่ลากเขตอาคมของจีเฉวียนเข้ามาใกล้เท่านั้นเอง
ช่องท้องของหลีฉิงเปิดออกเป็นรูกว้าง ภายในคือหลุมที่ดำมืด ราวกับถ้ำที่มืดมิดแห่งหนึ่ง เขาคิดจะดูดดึงจีเฉวียนเข้าไป
ที่จริงนั่นคือแรงดึงดูดอันมหาศาล แต่ว่าจีเฉวียนกลับสงบนิ่งอย่างมั่นคง ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
ราวกับว่าต่อให้แผ่นฟ้าถล่มลงมา ก็ยังไม่อาจทำให้เขาขยับไปไหนได้ทั้งสิ้น
ทันใดนั้น พิณโบราณที่อยู่กับเขาเสมอมาก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ปลายนิ้วที่เรียวยาวดีดอออกไปเพียงแผ่วเบา คลื่นเสียงที่แข็งแกร่งก็สะท้อนออกไป แทบจะทำให้จิตมารของหลีฉิงแตกออกเป็นสองส่วน!
ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะซัดยันต์โลหิตออกไป ก็ได้ยินเสียงพิณที่น่าสะพรึงกลัวนั้นเข้าพอดี
พริบตาเดียว กรงเล็บที่เกิดจากไอมารของหลีฉิงก็ถูกเสียงพิณทำลายจนสลายหายไปหมด ราวกับว่าถูกระเบิดทิ้งไปในครั้งเดียว
จีเฉวียนพึ่งจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ตู๋กูซิงหลันก็พุ่งวาบเข้าไปในทันที นางโผเข้าไปหาเขาทั้งตัว เกาะหนึบราวกับปลาหมึกแปดขาอยู่บนตัวเขา
“ข้านึกว่าตนเองจะกลายเป็นม่ายไปเสียแล้ว!” น้ำเสียงของนางขึ้นจมูก ทั้งเสียใจและน่าสงสาร
จีเฉวียนพลิกฝ่ามือโอบกอดสาวน้อยเข้ามาในอกทันที เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ค่อยได้สติตอบกลับไปว่า
“สามียังอยากจะครองรักกับเจ้าไปอีกพันปีหมื่นปี แล้วไหนเลยจะยอมให้เจ้าเป็นม่ายได้กัน?” มิว่าจะที่ไหนหรือเมื่อไหร่ เมื่อได้เจอกับตู๋กูซิงหลัน สีหน้าที่เย็นชาเป็นภูเขาน้ำแข็งไม่มีวันละลายของจีเฉวียน ก็จะเปลี่ยนเป็นสายลมในฤดูใบไม้ผลิได้ในชั่วพริบตา”
แม้แต่ดวงตาคู่นั้นก็ยังมีแต่ความรักถนอมอย่างไม่มีหมดสิ้น
เขาไม่กลัวตาย แต่ว่าเขาไม่กล้าตาย
เพราะหากว่าเขาตายไปแล้ว ซิงซิงของเขาจะทำอย่างไร?
เขาไม่เชื่อว่าในใต้หล้านี้จะมีผู้ใดที่รักนางได้เท่ากับเขา และไม่ยินยอมที่จะมอบนางไว้ในมือของผู้ใดทั้งสิ้น
มีแต่ต้องให้เขารักถนอม ดูแลเอาใจเท่านั้น นั่นจึงจะวางใจได้
“ก็เจ้าเกือบจะโดน….” ตู๋กูซิงหลันยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกเพราะความเสียใจ แม้ว่าพอคิดดูให้ละเอียดแล้วก็คงจะไม่ได้หนักหนาอะไร แต่เพราะนางห่วงใยเขามากไป ยิ่งห่วงใยคนผู้หนึ่ง ก็ยิ่งหวาดกลัวว่าจะสูญเสียไป แม้แต่จะเป็นเพียงลมพัดใบไม้ไหวก็ไม่ได้
“หากว่าเจ้าตายไปละก็ ข้าจะรับสนมวังหลังสามพัน จะไม่นึกถึงเจ้าแม้เพียงชั่วอึดใจเดียว!” ปากนางพูดออกไปเช่นนั้น แต่สองแขนกลับโอบรอบลำคอเขาอย่างแนบแน่น ไม่ยอมคลายแม้แต่น้อย
จีเฉวียนหัวเราะออกมาเบาๆ ฝ่ามือใหญ่วางลงไปบนศีรษะของนางและลูบไล้เบาๆ ราวกับว่าที่กำลังโอบกอดเอาไว้คือบุตรีสาวในบ้านของตนเอง
เขาไม่มีทางเปิดโอกาสให้นางได้มีสนมวังหลังสามพันอย่างแน่นอน!
อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของหลีฉิงบูดบึ้งราวกับว่ากินอึเข้าไป
หากเขาจำได้ไม่ผิดละก็ พวกนางกำลังจะมาปราบมารไม่ใช่หรือ?
แล้วทำไมอยู่ๆถึงกลายเป็นพลอดรักกันขึ้นมา?
ชั่วชีวิตนี้ของหลีฉิง สิ่งที่เกลียดชังที่สุดก็คือ ความรัก ความผูกพันและมิตรภาพ
สิ่งที่สวยงามเหล่านั้น เขาล้วนชิงชังอย่างที่สุด
สำหรับเขาแล้วสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องจอมปลอมที่ทำให้คนคลื่นไส้
จิตมนุษย์เกิดมาพร้อมกับความชั่วร้าย นิสัยของพวกมนุษย์นั้นชั่วร้ายและเห็นแก่ตน แต่กลับหยิบยกเอาสิ่งเหล่านั้นมาเสริมความงามให้กับตนเอง
มันช่างน่าขำหรือไม่เล่า?
ตอนนั้นขนาดหลีเกอที่ทรยศเผ่ามาร ไปหลงรักเทพในแดนสวรรค์ที่ไม่สมควรจะมีใจให้ ทั้งยังเฝ้าติดตามอย่างยากลำบากอยู่เนิ่นนานหลายปี ถึงแม้ว่าหลีเกอจะเป็นองค์หญิงของเผ่ามาร แต่หลีฉิงก็ยังลงมือกับนางอย่างโหดเหี้ยม
ก่อนที่เผ่ามารจะล่มสลาย เป็นเขาที่ลงมือกำจัดหลีเกอด้วยตนเอง นางนั่น ปล่อยทิ้งไว้ก็รังแต่จะทำให้เผ่ามารต้องอับอายขายขึ้หน้า
ตอนนี้เขาพึ่งจะตื่นขึ้นมา ก็ต้องมาทนเห็นคนทั้งสองพรอดรักกัน หัวใจของหลีฉิงอยากจะเผาผลาญพวกนางทิ้งไปด้วยความพุ่งพล่าน
เขาหรี่ดวงตาลง สายตาจับจ้องไปที่ร่างของตู๋กูซิงหลัน
ก่อนหน้านี้เพียงปรายตามองดูอย่างหยาบๆผ่านไอมาร ตอนนี้จึงค่อยมองอย่างพินิจพิจารณาขึ้นมา
ยันต์โลหิตทั้งสามใบที่ตู๋กูซิงหลันซัดออกมายังมิได้สลายไป เขาย่อมสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของหยกสรรพชีวิต
ในใต้หล้านี้ ผู้เดียวที่สามารถดึงพลังของหยกสรรพชีวิตออกมาได้นั้นมีอยู่เพียงผู้เดียว นั่นก็คือจู่ฮว๋าย
แต่ดูจากรูปโฉมภายนอก สาวน้อยผู้นี้มิได้เหมือนกับจู่ฮว๋ายเท่าใดนัก แต่ว่ากลิ่นอายจากกายนาง…..มีทั้งแววตานั่น ทำให้หลีฉิงคิดถึงจู่ฮว๋ายขึ้นมาได้ในทันที
ซีเหอและจู่ฮว๋ายพรากจากกันมานานปี ในที่สุดก็กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ทั้งยังแต่งงานเป็นสามีภรรยาแล้ว?
ดวงตาของหลีฉิงมีแต่ความเย็นอันลึกล้ำ
กรงเล็บของเขาขยับอย่างไม่ยอมหยุดนิ่ง ปลายเล็บแหลมคมส่องประกายประดุจเข็มแแหลม
ตู๋กูซิงหลันยังคงเกาะหนึบอยู่บนร่างของจีเฉวียน พอดูจนแน่ใจว่ามือเท้าของเขาไม่ได้บุบสลาย ก็ค่อยหันหน้ากลับไปในทันที นางจ้องไปยังหลีฉิง
ทั้งๆที่ดวงตาดอกท้อคู้นั้นแสนจะงดงามน่าชม แต่ว่าประกายแสงของนัยตาคู่นั้นกลับเย็นยะเยือก ยังจะเย็นเฉียบยิ่งกว่าดวงตาที่ลึกล้ำของหลีฉิงเสียอีก
“ไอ้ชาติสุนัข!”
ริมฝีปากแดงขยับ พ่นคำด่าออกไปพร่างพรู
หลีฉิง “……”
เขาไม่ได้เป็นเชื้อสายรุ่นหลังของสุนัขเสียหน่อย หากแต่กำเนิดจากฟ้าดิน เช่นเดียวกับตี้เสีย
“บุรุษของเจ้ก็ยังกล้าจะกิน นั่นใช่สิ่งที่เจ้าจะกินได้เสียที่ไหน?” ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนเป็น ‘สุนัขมีเจ้าของ’ สามารถยืมบารมีนายมาอวดอ้างได้ขึ้นมา
“เจ้ยังกินเองไม่อิ่มเลย เจ้ายังจะกล้ามาคอยจ้อง?”
หลีฉิง “! ! !” นางจะต้องไม่ใช่จู่ฮว๋ายอย่างแน่นอน จู่ฮว๋ายวางตนสง่างามอยู่เสมอ ไม่มีทางทำตนน่าละอายเช่นนี้
จีเฉวียนหัวเราะเสียงต่ำๆเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
ทั้งยังจดจำคำพูดของภรรยาตัวน้อยเอาไว้แล้ว ยังกินไม่อิ่ม…..อืม เห็นทีเขาจะต้องแข็งขันให้มากกว่านี้
กลับไปจะต้องทำ jgl ให้มากๆ
“เอาเถอะจะอย่างไรวันนี้พวกเราก็เผชิญหน้ากันแล้ว เจ้ามันสมควรตาย ทิ้งเอาไว้ก็รังแต่จะเป็นบ่อเกิดของปัญหา” ตู๋กูซิงหลันประกาศเจตนาสังหารของตนเองออกไปอย่างไม่ปิดยัง
ไอ้คนที่อยู่บนฟ้ายังนอนพงาบๆอยู่ ส่วนตัวที่อยู่ตรงหน้านี้ แค่เห็นก็ไม่ถูกชะตาแล้ว จัดการให้จบสิ้นตายไปเสียเร็วๆ จะได้ไม่รบกวนเวลาครองรักของนางกับเฉวียนเฉวียน
“เหนียงจื่อ (ภรรยา) พูดถูกที่สุดแล้ว” จีเฉวียนกอดนางเอาไว้ ทั้งยังชั่งน้ำหนักดูเล็กน้อย ช่วงนี้ภรรยาตัวน้อยของเขากินอิ่มหนำ มีเนื้อหนังขึ้นมาอีกหน่อย จึงหนักกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย อุ้มเอาไว้ให้ความรู้สึกในมือที่ดียิ่งนัก
บนเวที ตู๋กูจุนยังคอยเฝ้าหุ่นมนุษย์ที่อาบเลือดผู้นั้นอยู่ พอเห็นน้องสาวของตนเองปรากฏตัวขึ้นมา เขาก็รู้สึกว่าภาพบรรยากาศที่น่าขนลุกอย่างอธิบายไม่ถูกเมื่อครู่นั้น พลันหายไปในทันที
ไม่เสียทีที่เป็นน้องเล็กของบ้านเรา ยังไม่ทันจะลงมือ แค่ฝีปากก็สามารถทำให้คนจมน้ำตายได้แล้ว
ใต้หล้านี้คนที่กล้าถ่มน้ำลายใส่จอมมาร คงจะมีแต่เพียงนางผู้เดียวเท่านั้น
ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้ยึกยักไป นางล้วงเอาไม้คฑาสีดำของตนออกมาในทันที กะจะสู้กันให้เห็นดำเห็นแดงไปในครั้งเดียว
ซือเป่ยนั่นซี้แหงแก๋ไปแล้ว หากจัดการเจ้าคนตรงหน้านี้ได้ ก็จะเหลือแต่อีกหนึ่งบนแดนสวรรค์เท่านั้น จบสิ้นสองคนนี้ ก็จะกลายเป็นวันเวลาแห่งความสงบสุขของนางกับเสี่ยวเฉวียนเฉวียนแล้ว
แต่ไหนแต่ไรนางมิใช่คนที่ทำอะไรยืดเยื้อ พอในมือปรากฏไม้คฑาขึ้นมา เสื้อผ้าและเส้นผมบนร่างก็พลิ้วขึ้นไป
ท่าทางเช่นนั้นในสายตาของหลีฉิงมิได้แตกต่างอะไรกับการได้เห็นจู่ฮว๋ายในตอนนั้นฟื้นคืนขึ้นมาเลย
หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้เขายังไม่อาจมั่นใจได้ว่าตู๋กูซิงหลันคือจู่ฮว๋ายหรือไม่ แต่พอได้เห็นคฑาสีดำในมือของนาง เขาก็มั่นใจอย่างหมดข้อกังขาในทันที
หยกสรรพชีวิตหากตกอยู่ในมือผู้อื่น ยังพอใช้งานได้อยู่สักหนึ่งหรือสองส่วน แต่ว่าคฑาไม้นี้ มีแต่จู่ฮว๋ายผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถปลดปล่อยพลังของมันได้ หากตกอยู่ในมือของผู้อื่นก็ไม่แตกต่างอะไรกับไม้เท้าธรรมดาด้ามหนึ่ง
จู่ฮว๋าย…..เป็นนางจริงๆ
ตี้เสียแม้อ้อนวอนก็ยังไม่อาจได้ไป เขาเองก็ถวิลหาจนกระสับกระส่ายเช่นกัน
……………….