“มีครบทุกสีเลยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็คือพหุธาตุแล้วล่ะ!” ซือหม่าเลี่ยพูด “แต่ว่ากันว่าเหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาหลายแสนปีแล้วนะ ถ้าหากมีคนเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้เลยว่าจะก่อให้เกิดความโกลาหลเช่นไรขึ้นมาบ้าง! ใช่แล้ว เย่ว์เอ๋อร์ เหตุใดวันนี้เจ้าจึงอยากถามเรื่องเหล่านี้กับข้าขึ้นมาเล่า”
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังวาจาของซือหม่าเลี่ยแล้ว เดิมทีคิดจะบอกเขาว่าตนก็คือคนพหุธาตุผู้นั้น แต่เมื่อคิดไปคิดมาแล้วก็ไม่พูดเรื่องนี้ออกมาจะดีกว่า บอกกับเขาเพียงแค่เรื่องที่ตนรับสัมผัสปราณวิญญาณได้เท่านั้น แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาตื่นเต้นได้แล้ว
“เย่ว์เอ๋อร์ ที่เจ้าพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือ เจ้ารับสัมผัสปราณวิญญาณได้แล้วจริงๆ น่ะหรือ” ซือหม่าเลี่ยโอบกอดซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้ในทันใดพลางถามอย่างตื่นเต้นยินดี
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีตื่นเต้นของซือหม่าเลี่ยแล้วก็ยิ้มและพยักหน้าน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “ใช่แล้วขอรับ ข้าถอนพิษไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อคืนได้ทดลองบำเพ็ญไปรอบหนึ่ง พอเมื่อเช้านี้ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่ามีจุดแสงโอบล้อมตัวเองอยู่ขอรับ”
“อะไรนะ” ซือหม่าเลี่ยนิ่งงันไปในทันใด พลางมองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสีหน้าแปลกพิกล
ซือหม่าโยวเย่ว์ตกตะลึงไปเพราะสีหน้าของซือหม่าเลี่ย หรือว่าก่อนหน้านี้เธอมิได้สัมผัสถึงปราณวิญญาณ ตนเข้าใจผิดไปอย่างนั้นหรือ เธอมองซือหม่าเลี่ยอย่างระมัดระวังพลางเอ่ยว่า “ท่านปู่ ข้าไม่อาจบำเพ็ญได้ใช่หรือไม่ขอรับ นั่นคงมิใช่ปราณวิญญาณกระมัง”
“ฮ่าๆๆๆ…” ซือหม่าเลี่ยมิได้เอ่ยตอบคำซือหม่าโยวเย่ว์ แต่กลับหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมาแล้วพูดว่า “ข้ารู้อยู่แล้วล่ะว่าเย่ว์เอ๋อร์ของข้ามิใช่คนไร้ค่า แต่เป็นผู้มีพรสวรรค์ ฮ่าๆๆ ไม่ใช่สิ เป็นผู้มีพรสวรรค์ในหมู่ผู้มีพรสวรรค์ต่างหาก!”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูท่าทีตื่นเต้นของซือหม่าเลี่ย ถึงแม้ว่าเขาจะมิได้เอ่ยตอบวาจาของตน แต่เธอก็เข้าใจความหมายของเขาแล้ว จึงอดหลั่งเหงื่อเยียบเย็นในใจมิได้
ซือหม่าเลี่ยหัวเราะพอแล้วก็ค่อยๆ สงบท่าทีลงแล้วเอ่ยว่า “เย่ว์เอ๋อร์ เจ้าใช้เวลาเพียงแค่คืนเดียวก็รับสัมผัสปราณวิญญาณได้แล้ว นี่เป็นเรื่องที่แต่ไหนแต่ไรมิเคยมีผู้ใดทำได้มาก่อนเลยนะ! นึกถึงว่าเมื่อก่อนปู่ถูกคนเรียกว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ ก็ต้องใช้เวลาราวๆ สี่ห้าวันจึงจะสัมผัสถึงจุดแสงได้เล็กน้อย คนทั่วไปอาจต้องเพ่งสมาธิอยู่ครึ่งค่อนเดือน ก็ยังไม่แน่ว่าจะทำได้เลย! พี่ชายทั้งหลายของเจ้า ระยะเวลาที่สั้นที่สุดก็ยังต้องใช้ถึงหนึ่งสัปดาห์เลยทีเดียว ฮ่าๆๆ ตอนนี้เจ้ามิใช่เพียงแค่บำเพ็ญได้แล้วเท่านั้น แต่ยังมีพรสวรรค์อันสูงส่งยิ่งอีกด้วย! ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกคำพูดของซือหม่าเลี่ยทำให้ตะลึงงันไปเสียแล้ว เธอคิดว่าตนเองใช้เวลาไปหนึ่งคืนก็นับว่าเนิ่นนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าที่แท้แล้วนับว่าแสนสั้นนัก!
เช่นนั้นก็พูดได้ว่าความเร็วในการบำเพ็ญของตนรวดเร็วเป็นอย่างยิ่งแล้วใช่หรือไม่!
“เย่ว์เอ๋อร์ ที่เจ้ารับสัมผัสได้ เป็นจุดแสงสีอะไรหรือ” ซือหม่าเลี่ยนึกขึ้นมาได้ว่านางเพิ่งถามเรื่องเกี่ยวกับธาตุไปหมาดๆ จึงเอ่ยถามขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดว่าพลังยุทธ์ของตนไม่แข็งแกร่ง ก่อนหน้านี้จึงยังไม่ได้บอกเรื่องที่ตนเป็นพหุธาตุออกมา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกคนอิจฉาริษยาแล้วใส่ร้ายป้ายสีเหมือนในชาติก่อน นอกจากนี้ซือหม่าเลี่ยเองก็เพิ่งพูดไปว่าคนที่เป็นพหุธาตุนั้นไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาเลยเป็นเวลาหลายแสนปีแล้ว ถ้าหากเรื่องของตนแพร่ออกไป ก็ไม่แน่ว่าอาจจะนำความเดือดร้อนมาสู่ครอบครัวนี้ก็เป็นได้
“ท่านปู่ ข้ารับสัมผัสได้เพียงแค่จุดแสงสีแดงเท่านั้นเองขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ ซือหม่าเลี่ยและพี่ชายทั้งหลายต่างก็เป็นปรมาจารย์วิญญาณธาตุไฟ ดังนั้นเมื่อนางบอกว่าตนเป็นธาตุไฟแล้วจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา
“อืม คนในครอบครัวเราล้วนเป็นธาตุไฟกันหมด ดูท่าทางเจ้าก็คงจะเหมือนกัน” ซือหม่าเลี่ยพยักหน้าพูด “คืนนี้จะต้องเรียกตัวพี่ชายทั้งสี่ของเจ้ากลับมาฉลองกันสักหน่อยแล้วค่อยบอกเรื่องที่เจ้าบำเพ็ญได้แล้วออกไป ต่อจากนี้ก็มาดูกันว่าจะยังมีใครหน้าไหนกล้าบอกว่าเจ้าเป็นคนไร้ค่าอีก!”
“ท่านปู่ ข้ารู้สึกว่าไม่ต้องบอกเรื่องนี้ออกไปจะดีกว่านะขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยขอ
“ทำไมเล่า เย่ว์เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าถึงแม้เจ้าจะไม่บอก แต่ก็ใส่ใจความคิดอ่านของผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ข้ายังเห็นเจ้าแอบซ่อนตัวร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียวอยู่เลย ดังนั้นพอเจ้าไม่ชอบไปเรียนที่วิทยาลัย ข้าจึงมิได้บีบบังคับเจ้า” ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างไม่เข้าใจ
“ข้ามีชีวิตอยู่มาสิบสี่ปี ไม่อาจบำเพ็ญได้มาโดยตลอด อยู่ดีๆ หากมาพูดว่าบำเพ็ญได้แล้ว ผู้อื่นจะคิดว่าเป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้นนะขอรับ นอกจากนี้คนเหล่านั้นอาจจะคอยมาท้าพิสูจน์ว่าข้าบำเพ็ญได้หรือไม่กันตลอดเวลาเลยก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นจะชักพาความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นมาให้แก่ข้านะขอรับ”
ซือหม่าเลี่ยได้ฟังวาจาของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็พูดว่า “แต่ว่าเจ้าเองก็คิดมากเรื่องที่ผู้อื่นเรียกเจ้าว่าเป็นคนไร้ค่าเหมือนกันมิใช่หรือ หลานสาวของข้าซือหม่าเลี่ยจะต้องมาถูกดูแคลนเช่นนี้ด้วยหรือ”
“ก่อนหน้านี้ข้าคิดมากและมิอาจปล่อยผ่านไปได้เลย แต่ที่มิอาจปล่อยวางได้นั้นก็เพราะข้าไม่อาจบำเพ็ญได้จริงๆ มิใช่เพราะคำพูดของผู้อื่น ตอนนี้ข้าบำเพ็ญได้แล้ว ผู้อื่นจะว่าอย่างไรข้าก็ไม่สนใจหรอกขอรับ หรือพูดได้ว่าข้าจะบำเพ็ญได้หรือไม่ นั่นก็ล้วนเป็นเรื่องของข้าทั้งสิ้น ผู้อื่นรู้ไปข้าก็มิได้มีพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว ในทางกลับกันยังอาจจะนำอันตรายมาสู่ครอบครัวได้อีกต่างหาก ท่านปู่เองก็ยังมีศัตรูอยู่อีกมากมิใช่หรือขอรับ ตระกูลน่าหลานนั่นก็ไม่พอใจพวกเรามาโดยตลอด ถ้าหากรู้ถึงพรสวรรค์ของข้าเข้าก็ไม่แน่ว่าอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้นะขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างพึงพอใจ ตั้งแต่หลังจากที่นางถูกคนทำร้ายในตอนนั้นแล้วก็ดูเหมือนว่านางจะเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเลย ไม่เอาแต่ใจตัวเอง รู้เรื่องรู้ราว ความคิดความอ่านก็รอบคอบกว่าก่อนหน้านี้แล้ว
“อืม ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล เช่นนั้นเก็บเรื่องการบำเพ็ญของเจ้าเอาไว้ ไม่แพร่ออกไปชั่วคราวก่อน แต่ก็ยังต้องเรียกพี่ชายทั้งสี่ของเจ้ากลับมาฉลองสักหน่อยอยู่ดี พวกเราปิดประตูมาฉลองกันเองก็ได้นี่นา!” หลังจากซือหม่าเลี่ยคิดได้แล้วก็กลับมามีสีหน้าเช่นเดิม
“เช่นนั้นข้าก็ขอตัวกลับไปบำเพ็ญก่อน พอคืนนี้พวกพี่ๆ กลับมากันแล้วข้าค่อยออกมานะขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็หมุนกายเตรียมตัวจากไป
“เดี๋ยวก่อนสิ” ซือหม่าเลี่ยเรียกนางเอาไว้
“ว่าอย่างไรขอรับท่านปู่”
“เจ้ามากับข้า” ซือหม่าเลี่ยพูดจบแล้วก็หมุนตัวเดินมายังมุมหนึ่งของห้องหนังสือ เขาใช้มือคลำไปบนกำแพง หลังจากพบจุดที่นูนขึ้นมาแล้วเขาก็กดลงไปแรงๆ ชั้นหนังสือด้านข้างก็เคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ เผยให้เห็นหลุมบนพื้นหลุมหนึ่งซึ่งมีบันไดทอดตัวยาวลงไปด้านล่าง เขาหยิบไข่มุกที่ทอประกายเม็ดหนึ่งออกมาพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “พวกเราลงไปกันเถิด”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูท่าทีลึกลับของซือหม่าเลี่ยแล้วก็เดินตามเขาลงไป เธอค้นพบว่านี่ก็คือสถานที่ที่ดูคล้ายกับห้องใต้ดิน อุโมงค์อันยาวเหยียดไม่รู้ว่านำทางไปสู่ที่ใด
“ถึงแล้ว”
ทั้งคู่เดินอยู่หลายนาทีจึงเดินมาถึงจุดหมาย ซือหม่าโยวเย่ว์มองดู นี่เป็นเพียงแค่ห้องหินธรรมดาๆ ห้องหนึ่ง นอกจากบนแท่นหินตรงกลางห้องจะมีหีบใบหนึ่งวางอยู่แล้วภายในก็ไม่มีอะไรอยู่อีกเลย
ซือหม่าเลี่ยไปตรงหน้าแท่นหินแล้วเอ่ยว่า “นี่คือสิ่งที่บิดาของเจ้าเหลือทิ้งเอาไว้ในตอนนั้น เขาบอกว่ารอให้เจ้าบำเพ็ญได้แล้วค่อยยกให้เจ้า ตอนนี้ข้าก็จะมอบมันให้แก่เจ้า”
ซือหม่าโยวเย่ว์ฟังคำพูดของซือหม่าเลี่ยแล้วก็รู้สึกแปลกพิกล แต่ก็บอกไม่ถูกว่าแปลกประหลาดที่ตรงไหน เธอเห็นแววตาให้กำลังใจของซือหม่าเลี่ยแล้วก็เดินมาตรงหน้าแท่นหิน ก่อนยื่นมือไปยกหีบลงมาแล้วคิดจะเปิดหีบออก แต่กลับถูกซือหม่าเลี่ยคว้ามือยั้งเอาไว้
“รอเจ้ากลับไปอยู่คนเดียวแล้วค่อยเปิดเถิด”
สายตาของซือหม่าเลี่ยหนักแน่นเป็นอย่างยิ่ง ซือหม่าโยวเย่ว์จึงได้แต่พยักหน้า เตรียมตัวกลับไปแล้วค่อยเปิด
“เอาละ พวกเรากลับกันเถิด” ซือหม่าเลี่ยพูด
หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์ออกจากห้องหนังสือของซือหม่าเลี่ยแล้วก็กลับไปยังห้องของตน ให้อวิ๋นเย่ว์และชุนเจี้ยนออกไป เธอนั่งอยู่บนเตียงคนเดียวแล้ววางหีบลงตรงหน้าตนก่อนจะเพ่งมองหีบตรงๆ
เมื่อครู่ซือหม่าเลี่ยก็บอกกับนางแล้วว่าอวิ๋นเย่ว์และชุนเจี้ยนล้วนเป็นคนที่ไว้ใจได้ เพราะพวกนางเคยให้สัตย์สาบานเอาไว้กับตนว่าจะไม่มีทางทรยศหักหลังตนไปตลอดกาล ถึงแม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่ซือหม่าเลี่ยกำหนดให้พวกนางต้องสาบาน แต่ภายใต้ข้อจำกัดของกฎเกณฑ์ พวกนางก็ไม่อาจหักหลังตนได้ มิฉะนั้นก็อาจถูกพลังของคำสัตย์สาบานส่งให้ไปอยู่ในนรกอเวจีได้
พลังของคำสัตย์สาบานนี้ก็เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ของโลกแห่งนี้เช่นกัน การสาบานก็เหมือนกับการทำพันธสัญญากับกฎเกณฑ์ฟ้าดิน ถ้าหากผิดคำสัตย์สาบาน เช่นนั้นก็เหมือนกับการทรยศต่อการทำพันธสัญญา ก็จะถูกบีบให้ตกลงไปในนรกอเวจี ไม่อาจออกมาได้ไปตลอดกาล!
ดังนั้นไม่ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะกระทำกับพวกอวิ๋นเย่ว์ทั้งสองคนเช่นไร พวกนางก็ไม่อาจทรยศต่อนางได้อยู่ดี แต่เพราะว่านิสัยของซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนหน้านี้ ซือหม่าเลี่ยจึงไม่เคยบอกเรื่องนี้แก่นางมาโดยตลอด
……………………
Related