ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้ว่าตนหลับใหลไปนานเท่าใด เธอรู้สึกว่าตนคล้ายจะติดอยู่ในห้วงแห่งความฝันอันยาวนาน ห้วงแห่งความฝันนี้ฉายประสบการณ์ในชาติก่อนของเธอและเรื่องราวความคลั่งรักของเจ้าของร่างเดิมเหล่านั้นออกมาจนหมดสิ้นราวกับฉายภาพยนตร์ ส่วนเธอก็มองดูภาพเหตุการณ์เหล่านั้นฉายไปราวกับยืนอยู่ในมุมมืด ทันใดนั้นหัวใจของเธอก็เจ็บแปลบขึ้นมา พร้อมกับมีเสียงตะโกนเสียงหนึ่งดังขึ้น
“โยวเย่ว์ นี้เป็นภัยพิบัติของตระกูลซีเหมินเรา พวกเขาวางแผนจัดการพวกเรามานานแล้ว เรื่องนี้มิอาจโทษเจ้าได้เลย”
“ซีเหมินโยวเย่ว์ ได้เห็นคนในครอบครัวตายไปต่อหน้าต่อตาเจ้าแล้วรู้สึกเช่นไรบ้างเล่า ฮ่าๆๆๆ…”
“โยวเย่ว์ เจ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีๆ นะ…”
“เย่ว์เย่ว์ ไม่ว่าเจ้าจะไปอยู่ที่ไหน เจ้าคำรามน้อยก็จะติดตามเจ้าไปทุกที่เลย”
“ซีเหมินโยวเย่ว์ เจ้าไปตายเสียเถิด!”
ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่ในมุมมืดพร้อมฟังเสียงที่อ่อนโยนและเสียงที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นสลับกันไปมา เธอเจ็บปวดใจเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับว่าถูกฉีกทึ้งอย่างไรอย่างนั้น เธอพยายามฟังให้ชัดเจนว่าเสียงลอยมาจากไหน พยายามมองให้ชัดว่าใครที่กำลังพูดอยู่ แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามมากเพียงใดก็คล้ายกับว่าสายตาของเธอจะถูกบางสิ่งบางอย่างบดบังเอาไว้ ไม่อาจเปิดตาขึ้นได้เลย
“โอ๊ย…”
ซือหม่าโยวเย่ว์ลืมตาขึ้นในทันใด ความรู้สึกลำบากที่เปิดตาไม่ขึ้นนั้นสูญสลายหายไปกับภาพฝัน
เธออ้าปากหอบหายใจกว้างครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งร่างกายเปียกปอนราวกับเพิ่งขึ้นมาจากน้ำอย่างไรอย่างนั้น
“เย่ว์เย่ว์ เจ้าตื่นขึ้นมาแล้ว ฮือๆ ในที่สุดเจ้าก็ตื่นขึ้นมาเสียที เจ้าคำรามน้อยตกใจแทบตายอยู่แล้วนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่ทันมีแรงกลับมา เจ้าคำรามน้อยที่อยู่ข้างๆ ก็พุ่งตัวเข้ามาในอ้อมแขนของเธอในทันใดแล้วร้องไห้เสียงดังลั่น
ความคิดของซือหม่าโยวเย่ว์ที่ผุดขึ้นมาถูกเสียงร้องไห้ของเจ้าคำรามน้อยกดลงไป เธอกอดเจ้าคำรามน้อยแล้วลูบไล้ขนของมันพลางเอ่ยว่า “อย่าร้องไห้เลยนะ ข้าก็มิได้เป็นอะไรเสียหน่อยนี่”
“ฮือๆ เจ้าคำรามน้อยไม่ดีเอง ถ้าหากมิใช่เพราะข้าให้เจ้าหยดโลหิตแสดงความเป็นเจ้าของ เจ้าก็คงไม่หมดสติไปหรอก” เจ้าคำรามน้อยเอ่ยตำหนิตนเอง
ซือหม่าโยวเย่ว์อุ้มเจ้าคำรามน้อยขึ้นมาแล้วจูบหน้าผากน้อยๆ ของมันครั้งหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ก็เพราะเจ้าคำรามน้อยหวังดีกับข้ามิใช่หรือ”
ถึงแม้ว่าความฝันเมื่อครู่จะเลือนรางอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกที่เธอมีต่อเจ้าคำรามน้อยกลับสนิทสนมใกล้ชิดขึ้นมามากราวกับม่านหมอกเปิดออกอย่างไรอย่างนั้น ความรู้สึกเช่นนั้นไม่เพียงแต่เป็นความสัมพันธ์จากการทำพันธสัญญาเท่านั้น แต่มีมิตรภาพที่แตกต่าง คล้ายกับว่ามันเดินเคียงข้างตนมาเป็นระยะเวลายาวนาน
เธออุ้มเจ้าคำรามน้อยลุกขึ้นยืน ก็มองเห็นสภาพแวดล้อมที่แปลกตา มีภูเขา มีแม่น้ำ มีทุ่งนา และมีบ้าน ดูคล้ายกับโลกใบหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่เยียบเย็นวังเวงไร้ซึ่งผู้คน
“ที่นี่คือที่ไหนกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์มองสำรวจรอบด้านแล้วก็ค้นพบว่าที่นี่ไม่ใช่ละแวกเมืองหลวง จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
“เย่ว์เย่ว์ เมื่อครู่เจ้าหมดสติไป หลังจากนั้นลำแสงสายหนึ่งก็พาพวกเรามาที่นี่ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นี่คือที่ไหน” เจ้าคำรามน้อยพูด
“ที่นี่คือภายในมณีวิญญาณ” เสียงคล้ายเด็กเสียงหนึ่งดังลอยมา
“ภายในมณีวิญญาณอย่างนั้นหรือ แล้วเจ้าเป็นใครกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์หมุนตัวรอบหนึ่งก็ไม่เห็นว่าบริเวณใกล้ๆ จะมีคนหรือสัตว์อื่นๆ อยู่เลย
เงาร่างสายหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นต่อหน้าซือหม่าโยวเย่ว์อย่างช้าๆ ร่างกายเล็กจ้อยราวกับเด็กสามขวบผูกมวยผมสูงสองอัน สวมผ้าผูกคอสีแดงสด เขามองดูคนและสัตว์อสูรตรงหน้าแล้วพูดว่า “ข้าคือวิญญาณครวญแห่งมณีวิญญาณ ส่วนที่นี่ก็คือโลกภายในมณีวิญญาณ…”
โลกภายในมณีวิญญาณอย่างนั้นหรือ
เมื่อเห็นความสงสัยในแววตาของซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าคำรามน้อย วิญญาณครวญแห่งมณีวิญญาณก็พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ภายในมณีวิญญาณมีโลกใบหนึ่งอยู่ในตัวเอง เหมือนกันกับโลกภายนอกของพวกท่านนั่นแหละ ไม่สิ ที่นี่ดีกว่าโลกภายนอกของพวกท่านมากมายเลยทีเดียว”
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าเห็นด้วย ที่นี่ดีกว่าข้างนอกมากมายเลยจริงๆ แม้กระทั่งมือใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มต้นอย่างเธอก็สัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณอันเข้มข้นของที่นี่โดยไม่ต้องเข้าสมาธิเลย เห็นได้ว่าดีกว่าข้างนอกมากมายเหลือเกิน นอกจากนี้เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าภูมิทัศน์ของที่นี่เต็มไปด้วยปราณวิญญาณ ทั้งยังปลูกเครื่องยานานาชนิดเอาไว้เป็นจำนวนมากอีกด้วย
“เครื่องยาเหล่านี้มาจากที่ไหนกันหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินมาตรงกลางไร่พลางมองดูเครื่องยาสมุนไพรอันแข็งแรงชวนให้คนตกใจแล้วเอ่ยถามขึ้น
“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้านายคนก่อนเหลือเอาไว้ทั้งสิ้น เครื่องยาสมุนไพรเหล่านี้แก่จนมีอายุหลายแสนปีได้แล้วล่ะ” วิญญาณครวญเอ่ยตอบ “ส่วนพวกที่ไม่อาจปลูกได้นานนัก ข้าก็จัดการตามรอบเวลา”
“เจ้านายคนก่อนหน้านี้อย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเมื่อหลายแสนปีก่อนแล้วล่ะ นานเสียจนข้าเองก็เริ่มจำไม่ได้ไปบ้างแล้ว” วิญญาณครวญเอ่ยระลึกความหลัง สายตาที่มองไกลออกไปนั้นมีความโดดเดี่ยวอันลึกล้ำแฝงอยู่ภายใน
บางทีอาจเป็นเพราะมีความสัมพันธ์ของการทำพันธสัญญาอยู่ เมื่อซือหม่าโยวเย่ว์ได้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเดียวดายของมันแล้วก็เดินเข้าไปกอดมันเอาไว้ในอ้อมแขนโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเอ่ยว่า “ต่อจากนี้ไปมีพวกเราอยู่เป็นเพื่อนเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้วละนะ”
ร่างกายเล็กจ้อยของวิญญาณครวญสั่นสะท้าน ตัวแข็งเกร็งอยู่ในอ้อมแขนของเธอ เมื่อรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในอ้อมแขนของเธอแล้วมันก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงมา ก่อนจะขานรับเสียงหนึ่ง “อืม”
ซือหม่าโยวเย่ว์ตบหลังวิญญาณครวญแล้วอุ้มมันเดินออกนอกบ้านพลางพูดว่า “พวกเราไปดูที่อื่นๆ กันบ้างดีกว่า”
“ดีเลย ดีเลย!” เจ้าคำรามน้อยยืนอยู่บนบ่าของซือหม่าโยวเย่ว์พลางพูดอย่างตื่นเต้น มันพูดอย่างสนใจใคร่รู้ต่อสถานที่แห่งนี้
ซือหม่าโยวเย่ว์วนไปรอบบ้านรอบหนึ่งก็ได้เห็นสิ่งของมากมายที่เจ้านายคนก่อนทิ้งเอาไว้ ภายในห้องหนังสือที่ใหญ่กว่าหอตำราของตระกูลซือหม่าก็คือตำราสมัยโบราณจำนวนมาก จำนวนไม่น้อยในนั้นก็คือเล่มที่หายสาบสูญไปแล้วในปัจจุบันนี้ วิญญาณครวญบอกว่าหนังสือเหล่านี้เป็นสิ่งที่ค่อยๆ สะสมมาตั้งแต่สมัยเจ้านายคนแรกแล้ว เป็นแก่นของแต่ละยุคเลยก็ว่าได้
เมื่อเห็นหนังสือเหล่านี้ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ตื่นเต้นอยู่นานพอสมควร สิ่งของยุคโบราณนั้นร้ายกาจกว่ายุคปัจจุบันนี้มากมายนัก แต่เพียงเพราะเหตุผลต่างๆ นานา สิ่งของมากมายจึงได้หายสาบสูญไปเสียแล้ว
นอกจากนี้ ตามที่วิญญาณครวญบอก เจ้านายหลายคนก่อนหน้านี้เป็นผู้เชี่ยวชาญจากทุกแขนง ดังนั้นหนังสือที่อยู่ในนี้จึงมีครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการหลอมยา การหลอมวัตถุ การฝึกสัตว์อสูร ก็ล้วนมีทั้งสิ้น เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ฉีกยิ้มปากกว้างจนแทบจะไปถึงใบหูอยู่แล้ว นี่มันขุมสมบัติโดยแท้เลยทีเดียว
แต่สิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นที่สุดก็คือคำพูดสุดท้ายของวิญญาณครวญ
“วิญญาณของท่านมีความไม่สมบูรณ์อยู่บ้าง ก่อนหน้านี้คงจะได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อยเลยสินะ มณีวิญญาณช่วยฟื้นฟูวิญญาณของท่านได้ และแน่นอนว่าช่วยในการบำเพ็ญของท่านได้ด้วยเช่นเดียวกัน”
“ช่วยในการบำเพ็ญของข้าได้ด้วยอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยอย่างตกตะลึง
“ท่านรับสัมผัสตรงท้องน้อยของท่านดูสิ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ลองทำเช่นนั้นดู ตอนนี้เธอยังไม่อาจพินิจภายในได้ แต่ว่าเธอสัมผัสได้ว่าบริเวณท้องน้อยของตนมิได้มีเพียงพลังวิญญาณสีแดงเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว แต่กลับมีสิ่งที่คล้ายสระน้ำสิ่งหนึ่งอยู่แทน
“ตอนนี้ท่านยังไม่อาจพินิจภายในได้ แต่ตอนนี้ท่านก็มองเห็นได้แล้วว่าบริเวณท้องน้อยของท่านมีสิ่งที่คล้ายกับบ่อน้ำสิ่งหนึ่งอยู่ นั่นคือสิ่งที่มณีวิญญาณเตรียมเอาไว้ให้สำหรับการบำเพ็ญของท่าน ปราณวิญญาณที่ท่านดูดซับก็จะถูกดูดเข้ามาภายในนี้ นอกจากนี้ยังจำแนกธาตุปราณวิญญาณให้ท่านได้โดยอัตโนมัติอีกด้วย ตอนนี้ข้าว่าท่านคงจะไม่อาจเข้าใจมันได้อย่างชัดเจนนัก รอให้ถึงเวลาที่ท่านมองเห็นด้านในได้แล้วก็จะรู้ได้เองแหละ” วิญญาณครวญพูด
“หรืออาจพูดได้ว่า ตอนที่ข้าบำเพ็ญก็อาจจะไม่จำเป็นต้องแยกแยะปราณวิญญาณ ก็ดูดซับปราณวิญญาณของแต่ละธาตุเข้ามาภายในร่างกายได้พร้อมๆ กัน เลย แล้วมณีวิญญาณก็จะจำแนกให้ข้าเองใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์แทบไม่กล้าเชื่อหูของตนเองเลย ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ ก็ไม่ต่างจากเธอกดสูตรโกงเกมเลยไม่ใช่หรือ!
“ใช่แล้วล่ะ” วิญญาณครวญพูดอย่างสบายๆ แต่ทว่าคำพูดของมันกลับทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่สงบเอาเสียเลย เธออุ้มวิญญาณครวญขึ้นมาตรงหน้าแล้วจุมพิตเบาๆ ทีหนึ่ง
“น้ำลายเยอะเหลือเกิน สกปรกจริงๆ เลย!” วิญญาณครวญยกมือขึ้นเช็ดหน้าตนครั้งหนึ่ง ท่าทีเต็มไปด้วยความรังเกียจ แต่ว่าบนใบหน้ากลับปรากฏปื้นแดงแห่งความเขินอาย น่าตลกจนทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าคำรามน้อยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น
…………………………
Related