“โยวเย่ว์ เจ้าอยู่หรือไม่” ผ่านการทำความคุ้นเคยมาหนึ่งวัน เจ้าอ้วนชวีถือวิสาสะเปลี่ยนคำเรียกจากซือหม่าโยวเย่ว์กลายเป็นโยวเย่ว์ไปเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินไปเปิดประตู ก็เห็นเจ้าอ้วนชวีเคาะประตูอย่างเร่งร้อนอยู่ข้างนอก ตอนที่เธอเปิดประตู ก็ยังมองเห็นมือที่เขาเคาะอากาศค้างอยู่
“มีอะไร” เธอถาม
“เจ้าอยู่นี่เอง!” เจ้าอ้วนชวีพูด “เจ้ารีบไปหาพี่ชายเจ้าตอนนี้เลย”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” ทำไมให้เธอไปหาพี่ชายของเธออย่างฉับพลันขนาดนี้
“เรื่องนั้น… ตอนที่ข้าเพิ่งกลับมาจากห้องสมุดได้ยินเมิ่งถิงพูดว่านางจะมาหาเจ้าเพื่อท้าประลอง!” เจ้าอ้วนชวีพูดด้วยเสียงดังขึ้น
“มาหาข้าเพื่อท้าประลอง?”
“ใช่แล้ว!” เจ้าอ้วนชวีพูด “นางบอกว่าจะมาหาเจ้าเพื่อท้าประลอง บอกว่าคนไร้ค่าอย่างเจ้าจะมาอยู่ที่ชั้นเรียนระดับพวกเราได้อย่างไร บอกว่าจะเอาชนะเจ้า ทำให้เจ้าไสหัวไป เออ นี่ล้วนเป็นสิ่งที่นางพูดทั้งสิ้น มิใช่เจตนาของข้าหรอกนะ”
“ข้ารู้แล้ว ขอบใจเจ้ามากนะที่มาบอกข้า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างสงบ
“ถ้าหากนางมาท้าประลองเจ้าจริงๆ เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่ ดังนั้นเจ้ารีบไปหาพี่ชายเจ้าจะดีกว่านะ” เจ้าอ้วนชวีพูด
“เหตุใดข้าจึงต้องไปหาท่านพี่ด้วยเล่า ข้าจัดการเองได้” ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ถือเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจังสักเท่าใดนัก ดังนั้นจึงยืนอยู่ที่หน้าประตูโดยมิได้ขยับเขยื้อน
เจ้าอ้วนชวีเห็นท่าทีเรียบเฉยของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดอย่างเร่งร้อนว่า “เรื่องนั้น ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นหลานชายของท่านแม่ทัพใหญ่ แต่ว่าตระกูลเมิ่งมิใช่ตระกูลที่จะตอแยด้วยได้หรอกนะ พวกเขาเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดของเมืองโยว และนางก็เป็นคุณหนูผู้สืบทอด ดังนั้นนางจึงไม่เห็นหัวผู้อื่นเลย ในเมื่อนางบอกว่าจะมาหาเจ้าเพื่อท้าประลอง ก็จะต้องมาอย่างแน่นอน”
“นางร้ายกาจมากเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“นางเพิ่งจะอายุสิบสามปี แต่เป็นผู้ฝึกวิญญาณขั้นห้าแล้ว”
“ร้ายกาจมากหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเขาพลางเอ่ยถาม
“หากเทียบกับคนวัยเดียวกันถือว่าร้ายกาจมากเลยทีเดียว” เจ้าอ้วนชวีตอบ “ไอ้หยา… คุณชายห้าของข้า เจ้าอย่าอยู่ที่นี่อีกเลย รีบไปหาพี่ชายเจ้า ให้เขามาคุ้มครองเจ้าเร็วเข้าเถิด”
“ถ้าหากนางต้องการจะท้าประลองกับข้าจริงๆ ต่อให้วันนี้หนีไป วันหลังก็ต้องมาหาเรื่องข้าอีกอยู่ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ภายในวิทยาลัยมิได้ห้ามการต่อสู้กันหรอกหรือ”
“การต่อสู้แบบส่วนตัว ย่อมทำไม่ได้อยู่แล้ว แต่ภายในวิทยาลัยมีเวทีประลองอยู่ ตราบใดที่อยู่บนเวทีประลองก็ทำได้” เจ้าอ้วนชวีพูด “เวลาที่ผู้คนทั้งหลายภายในวิทยาลัยมีความแค้นส่วนตัวต่อกัน ต่างก็เลือกไปจัดการกันบนเวทีประลองได้”
“อ้อ”
“บนเวทีประลอง จะเป็นจะตายก็ต้องรับผิดชอบเอง ตอนอยู่ในชั้นเรียนเจ้าเหยียบขาเมิ่งถิงต่อหน้าธารกำนัล ด้วยนิสัยของนางแล้วจะต้องแก้แค้นเจ้าอย่างแน่นอน!” เจ้าอ้วนชวีพูด “ตอนนี้หลบได้ก็หลบไปก่อนเถิด”
“หลบหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์สองมือกอดอก “แต่ไหนแต่ไรในพจนานุกรมของข้า ซือหม่าโยวเย่ว์ ไม่เคยมีคำว่าหลบอยู่เลย”
“แต่ว่านาง…” เจ้าอ้วนชวียังคิดจะขอร้องซือหม่าโยวเย่ว์
ห้องข้างๆ ถูกเปิดออก เว่ยจือฉีออกมาจากในห้องแล้วมองดูคนทั้งสองที่กำลังวุ่นวายกันอยู่หน้าประตูก่อนจะเอ่ยถามว่า “มีอะไรหรือ”
เจ้าอ้วนชวีมองเว่ยจือฉีแล้วพูดว่า “เมิ่งถิงบอกว่าจะมาหาโยวเย่ว์เพื่อท้าประลอง ข้าบอกให้เขารีบไปหาพี่ชาย แต่เขาก็ไม่ยอมไป”
“เมิ่งถิงผู้นั้นคิดจะหาเรื่องอีกแล้วสินะ!” เว่ยจือฉีคล้ายจะไม่ค่อยชอบหน้าเมิ่งถิง น้ำเสียงกระด้างอยู่บ้าง
“เจ้าอ้วนชวี เจ้าอุตส่าห์มาเตือนข้า ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก แต่ว่าตอนนี้อยากจะไปก็ไปไม่ทันแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักเพยิดไปทางประตูลานบ้านแล้วพูดขึ้น
เจ้าอ้วนชวีมองไปด้านหลัง เมิ่งถิงพานักเรียนหลายคนเข้ามาเรียบร้อยแล้ว
“ซือหม่าโยวเย่ว์ ข้าเห็นเจ้าอ้วนชวีรีบร้อนวิ่งคาบข่าวกลับมาบอกเจ้า ยังคิดว่าเจ้าจะไปหลบซ่อนตัวแล้วเสียอีก! คิดไม่ถึงว่าเจ้าช่างใจกล้าเสียจริง ยังจะอยู่ที่นี่อยู่อีก” เมื่อเมิ่งถิงมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ น้ำเสียงท้าทายก็หลุดออกมาจากปาก
“นั่นเป็นเพราะว่าคนอย่างเจ้าไม่คู่ควรให้ข้าต้องหนีน่ะสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอกกลับอย่างเหยียดหยาม
“เจ้า!” ตั้งแต่เล็กจนโตเมิ่งถิงถูกผู้อื่นประจบสอพลอมาโดยตลอด คนอื่นๆ ในเรือนแห่งนี้ไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเลย ทำให้นางไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าคนไร้ค่าอย่างซือหม่าโยวเย่ว์จะกล้ามาดูแคลนนางได้ เปลวเพลิงในอกพุ่งสูงสามจั้งในทันใด เธอชี้ซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าอ้วนชวีบอกเจ้าไปแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องเปลืองน้ำลายอีก ซือหม่าโยวเย่ว์ ข้าอยากท้าประลองเจ้า! ถ้าหากเจ้าแพ้ จงไสหัวออกไปจากวิทยาลัยเสีย ห้ามเหยียบย่างเข้ามาอีกแม้แต่ก้าวเดียว!”
“ผู้ฝึกวิญญาณขั้นห้าคนหนึ่งอย่างเจ้ามาท้าประลองข้าอย่างนั้นหรือ ดีเลย ถึงแม้ว่าข้าจะไม่สนใจท้าประลองกับเจ้า แต่เจ้าพูดแค่เพียงว่าหากข้าแพ้แล้วจะทำอย่างไร แล้วถ้าหากข้าชนะเล่า จะได้ประโยชน์อะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หลุบตาลงมองเล็บมือของตนเอง ไม่มองเมิ่งถิงเลยแม้แต่น้อย พลางถามอย่างไม่ใส่ใจ
ประตูห้องของโอวหยางเฟยเปิดออก เขาเดินออกมาจากห้องพลางมองดูผู้คนในลานบ้านปราดหนึ่งแล้วจากไปอย่างเย็นชาโดยไม่เอ่ยวาจาอันใดเลย
ประตูห้องของเป่ยกงถังเปิดออกเช่นเดียวกัน เขามองเมิ่งถิงพร้อมขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “อยากจะเถียงก็ออกไปเถียงกันข้างนอก! ใครมารบกวนข้าอ่านหนังสืออีก ไสหัวออกไปให้หมด”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเงาหลังของโอวหยางเฟย และฟังคำพูดไม่ไว้ไมตรีของเป่ยกงถังแล้วก็เอ่ยพึมพำว่าเจ้าสองคนนี้ช่างคล้ายคลึงกันน่าดูเลยทีเดียว
เมิ่งถิงดูคล้ายจะกลัวเป่ยกงถังอยู่บ้าง เมื่อได้ยินเป่ยกงถังตะคอกนาง ท่าทีก็อ่อนลงไปส่วนหนึ่ง นางหันหน้ามาพูดกับซือหม่าโยวเย่ว์ว่า “คนไร้ค่าที่มิอาจสัมผัสปราณวิญญาณได้เลยด้วยซ้ำอย่างเจ้าจะเอาชนะข้าได้อย่างนั้นหรือ น่าขันนัก!”
คนอื่นๆ อีกหลายคนที่มากับเมิ่งถิงต่างก็พากันหัวเราะขึ้นมา คล้ายว่าสิ่งที่พูดกับซือหม่าโยวเย่ว์เหล่านี้ช่างน่าขันเสียเต็มประดา
“น่าขันอย่างนั้นหรือ” มุมปากของซือหม่าโยวเย่ว์ยกยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้รู้สึกว่าน่าขัน อีกประเดี๋ยวเจ้าก็ระวังจะหัวเราะไม่ออกแล้ว!”
“เจ้าพูดมาสิว่าเจ้าต้องการเช่นไร” เมิ่งถิงถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูเป่ยกงถังที่ยังคงยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าอันเยียบเย็นขึ้นเรื่อยๆ แล้วพูดว่า “ข้าไม่อยากฆ่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนของตัวเองเช่นเดียวกัน แต่ในเมื่อเจ้าคิดจะท้าประลอง อยากให้ข้ารับคำท้าประลอง ก็ต้องทำให้ข้าได้ประโยชน์ด้วยสิจึงจะใช้ได้ เช่นนี้ก็แล้วกัน ถ้าหากข้าบังเอิญเอาชนะเจ้าได้ เวลาเจ้าพบข้าก็เดินหลีกไปทางอื่นก็พอแล้ว! ถ้าหากเจ้ารับปาก พวกเราไปที่เวทีประลองกันได้เลย แต่ถ้าเจ้าไม่รับปาก เช่นนั้นจงไสหัวไปเสีย”
“เอาล่ะ เช่นนั้นข้ารับปากเจ้าก็ได้ ถ้าหากเจ้าชนะ ต่อไปนี้เวลาข้าพบเจ้าจะหลีกไปทางอื่น ไม่ยุ่งวุ่นวายกับเจ้าอีก แต่ถ้าหากข้าชนะ เจ้าต้องเก็บข้าวของแล้วไสหัวออกไปจากวิทยาลัยให้ข้าเสีย!” เมิ่งถิงพูด
“รับปากกันเป็นมั่นเหมาะเช่นนี้แล้ว เจ้าไปที่เวทีประลองก่อนเลย อีกประเดี๋ยวข้าจะตามไป!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วปิดประตูลง
“โยวเย่ว์…” เจ้าอ้วนชวียังไม่ทันได้เอ่ยคำพูด ก็ถูกซือหม่าโยวเย่ว์ปิดประตูกันไว้ข้างนอกด้วยกัน
“พวกเราไปกันเถิด ไปรอเขาที่เวทีประลอง!” เมิ่งถิงมองประตูห้องของซือหม่าโยวเย่ว์อย่างลำพองใจปราดหนึ่งแล้วพาผู้คนจากไป
ในที่สุดลานบ้านก็เงียบสงบลง เป่ยกงถังเหลือบมองเจ้าอ้วนชวีที่อยู่นอกประตูห้องของซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งแล้วหมุนกายไปปิดประตู
เจ้าอ้วนชวีนึกถึงว่าช่วงเช้าของวันนี้คุณชายสี่ซือหม่าโยวเล่อแห่งจวนแม่ทัพเพิ่งมาหาเขา บอกให้เขาช่วยดูแลซือหม่าโยวเย่ว์ คิดไม่ถึงว่าผ่านไปเพียงครึ่งวันเท่านั้น ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกเรื่องยุ่งยากพัวพันเข้าให้เสียแล้ว
“ไม่ได้การ ข้าต้องไปรายงานคุณชายสี่แล้วล่ะ” เจ้าอ้วนชวีพูดจบแล้วก็รีบวิ่งออกจากบ้านไป
…………………
Related