เสียงถูกสายลมพัดจนกระจายหายไป ที่ด้านหน้าของตำหนักตี้หัวกงจึงเหลือแต่เพียงตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียนสองคน
ตู๋กูซิงหลันก็คว้าเอาเมล็ดแตงขึ้นมาแทะใหม่อีกกำหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
จนกระทั้งเสียงนั้นหายไปอย่างสิ้นเชิง นางถึงได้หันศีรษะไปถามจีเฉวียนว่า “คำแช่งพวกนั้นมีผลหรือไม่?”
จีเฉวียนยื่นมือออกมา ฝ่ามือใหญ่ปกอยู่บนกระหม่อมของนาง ลูบไล้เส้นผมของนางอย่างแผ่วเบา “กลัวแล้วหรือไง?”
“มีอะไรจะต้องกลัวกัน ในโลกนี้มีคนสาปแช่งข้าอยู่เยอะแยะไป แต่ยังไม่เห็นมีใครทำสำเร็จสักคน” ตู๋กูซิงหลันแทะเมล็ดแตงอย่างเพลิดเพลิน
จีเฉวียนหัวเราะออกมาเบาๆ ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกว่านางช่างน่ารักเหลือเกิน
นอกเสียจากว่าเจ้าจะถอดใจ ไม่เช่นนั้นมิว่าพละกำลังใดๆในโลกนี้ก็ไม่อาจแยกพวกเราออกจากกันได้แน่นอน
คำแช่งนับเป็นอะไรกัน?
จีเฉวียนมองดูนาง แม้แต่ในแววตาก็ยังมีรอยยิ้ม
เพียงแต่ว่าตราประทับยมราชที่นำคืนมา ….เขาต้องคิดให้ดีว่าสมควรจะจัดการเช่นไร
…………………..
แดนสวรรค์
ยามราตรีที่มีแต่หมู่ดาวพร่างพราวอยู่บนท้องฟ้า แดนสวรรค์ย่อมงดงามเช่นนี้อยู่เสมอ
ตำหนักเทพสงคราม ตี้หยูเอ๋อร์พึ่งกลับมาจากสระสวรรค์ได้ครู่หนึ่ง นางจับปลามังกรกลับมาตัวหนึ่งเป็นพิเศษ คิดจะปรุงเป็นอาหารให้จ้านเสินเกอเกอ (พี่ชายเทพสงคราม) ชิม
ช่วงนี้ดูเหมือนว่าจ้านเสินเกอเกอจะดูไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไร ก่อนหน้านี้ยังเห็นเขามาที่ตำหนักเทพสงครามอยู่บ่อยๆ แต่ว่าช่วงนี้กลับไม่ค่อยเห็นเขาแม้แต่เงา
ยังดีที่วันนี้เขากลับมาแต่เช้า ในใจของตี้หยูเอ๋อร์ยินดียิ่งนัก ตอนที่นางไปฝึกวิชากับไท่สวีเทียนจุน ท่านอาจารย์ไม่มีสิ่งใดที่ชื่นชอบ นอกเสียจากรักการกินเท่านั้น ดังนั้นนางจึงมีฝีมือในการทำอาหารอย่างมาก
บนโลกเบื้องล่างมีคำพูดของคนธรรมดากล่าวเอาไว้ หากคิดจะคว้าหัวใจของบุรุษผู้หนึ่ง ก็ต้องคว้ากระเพาะของเขาเอาไว้ให้ได้
ตี้หยูเอ๋อร์เชื่อถือในคำพูดนี้
เพราะว่าตอนที่ยังเป็นเด็กนางก็มักจะเห็นหมู่โฮ่วปรุงอาหารถวายฟู่หวังอยู่เสมอ
นางถูกใจปลามังกรที่สดใหม่ตัวนี้มากๆ พอพึ่งจะกลับมาถึงประตูใหญ่ของตำหนักเทพสงคราม ก็บังเอิญได้เจอกับซือเป่ยที่กำลังจะออกไปพอดี
“จ้านเสินเกอเกอ!” ตี้หยูเออร์รีบวิ่งไปหาเขา แม้แต่แววตาก็เป็นประกายขึ้นมา
ซือเป่ยเหลือบมองดูนางแวบหนึ่ง ก็เห็นปลามังกรในมือของนาง แววตาของเขาต้องอึมครึมกว่าเดิม
“นั่นคือปลามังกร?” เขาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“อ๋อ ใช่แล้ว! ก็ในตำหนักแห่งนี้ไม่มีวัตถุดิบชั้นดีสำหรับทำอาหาร ข้าเห็นว่าปลามังกรนี้ดีมาก ดังนั้นจึงคิดจะ….”
ตี้หยูเอ๋อร์พูดยังไม่ทันจบ ก็เห็นว่าแววตาของซือเป่ยมืดครึ้มกว่าเดิม “มารดาของเจ้าชื่นชอบปลามังกรที่สุด เจ้าไม่สมควรจับพวกมัน”
“หา?” ตี้หยูเอ๋อร์ตะลึงไปครู่หนึ่ง “ข้ารู้ว่าทุกสิ่งในแดนสวรรค์ล้วนเป็นของหมู่โฮ่ว แต่ว่าข้าก็เป็นธิดาของหมู่โฮ่ว มิว่าข้าจะต้องการอะไร หมู่โฮ่วล้วนประทานให้กับข้า”
ประโยคนั้น ทำเอาซือเป่ยเกือบจะตบหน้านางอยู่แล้ว
แต่เขากลับอดทนเอาไว้
“จ้านเสินเกอเกอ ข้าอยากจะย่างปลาให้ท่านรับประทาน”
“ส่งมันกลับไปที่สระสวรรค์ ข้าไม่ชอบกินปลา” แววตาของซือเป่ยมืดครึ้ม ราวกับคนที่ไม่ได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่มาเนิ่นนาน
“สิ่งของของมารดาเจ้า แม้แต่เจ้าก็ไม่อาจแตะต้องได้แม้แต่น้อย”
ตี้หยูเอ๋อร์ไม่เข้าใจ นางกลับมาที่แดนสวรรค์นี้ตั้งหลายวันแล้ว แม้ว่าจะพักอยู่ในตำหนักเทพสงครามแห่งนี้ แต่ว่าจ้านเสินเกอเกอเหมือนจะชอบไปหาหมู่โฮ่วมากกว่า
เป็นเพราะว่านางอายุยังน้อย คุยกับเขาไม่รู้เรื่องอย่างนั้นหรือ?
นางนำหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความปรารถนาจะใกล้ชิดกันมาออดอ้อนเขา แต่ว่าสุดท้ายกลับถูกน้ำเย็นราดรดศีรษะจนชุ่มโชก ในใจของตี้หยูเอ๋อร์ย่อมไม่คิดจะยอมแพ้
มิว่าจะอย่างไรนางก็คือองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียงของแดนสวรรค์ ศักดิ์ฐานะสูงส่ง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเทพสงคราม แต่ก็ไม่ควรจะมาดูหมิ่นนางเช่นนี้
นางถือตะกร้าปลาเอาไว้ เงยหน้าเข้าใส่ซือเป่ย “ข้าไม่ทำ ข้าจะปรุงมันเป็นอาหารให้ท่านกิน ไม่ชอบกินท่านก็ต้องกิน! ข้าเป็นองค์หญิง เป็นนาย ท่านเป็นแม่ทัพ เป็นขุนนางขุนนางย่อมต้องฟังคำสั่งของเจ้านายอยู่แล้ว!”
“ขุนนางอย่างงั้นรึ?” ตอนแรกซือเป่ยก็มิได้อารมณ์ดีสักเท่าไหร่อยู่แล้ว ตอนนี้กลับถูกคำพูดของนางกระตุ้นโทสะขึ้นมา
เขาทำเสียงเย็นชาคำหนึ่ง พริบตานั้นตี้หยูเอ๋อร์ก็เห็นว่ารอบกายของเขามีหมอกสีดำกำจายออกมาอย่างต่อเนื่อง เพียงครู่เดียวนางก็ไม่อาจมองเห็นอะไรได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป
กว่านางจะได้สติขึ้นมาก็ถูกซือเป่ยคว้าลำคอเอาไว้แล้ว จากนั้นก็กระชากคนเข้าไปในกลุ่มหมอกสีดำ
ตี้หยูเอ๋อร์ถูกบีบจนหายใจไม่ออก แต่ว่านางกลับรู้สึกชื่นชอบความรู้สึกที่ได้เสียดสีผิวเนื้อกับเขา
แม้ว่าฝ่ามือของเขาจะบีบอยู่บนลำคอของนาง แต่ว่านั่นก็ยังทำให้นางรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิจากร่างกายของเขา
“จ้านเสินเกอเกอ ….. ท่านโปรดอย่าได้มีโทสะ ข้าก็แค่….ชื่นชอบท่านมากเกินไปเท่านั้น…” มือของนางกุมอยู่บนหลังมือของซือเป่ย เลือดลมพุ่งพล่านไปหมด แม้แต่ดวงหน้าก็แดงก่ำไปด้วย
“ข้าชอบท่านมานานหลายปีแล้ว แต่ว่าท่านมักจะเฉยชากับข้าอยู่เสมอ..,” ตี้หยูเอ๋อร์แทบจะน้ำตาไหลออกมาอยู่แล้ว
แต่ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งๆที่นางรู้สึกทุกข์ทรมาน แต่ขณะเดียวกันนางก็บังเกิดความรู้สึก ฟินขึ้นมา
นางบิดร่างไปมา ร่างกายร้อนรุ่มจนทำให้คนต้องตกใจ
หัวใจเต้นโครมครามอย่างน่าประหลาด ความเร่าร้อนกระจายไปทั่วทั้งร่าง
ซือเป่ยจ้องมองนาง เห็นดวงหน้าของสาวน้อยเปลี่ยนเป็นสีดอกไห่ถาง อย่างน่าชม
ตี้หยูเอ๋อร์สืบทอดจุดเด่นมาจากฮว๋ายยู่และตี้เสีย เกิดมาพร้อมความงดงาม นอกจากดวงตาแล้ว มิว่าตรงไหนก็ดูคล้ายคลึงกับฮว๋ายยู่ทั้งสิ้น
ฝ่ามือนี้หากเพิ่มแรงอีกเพียงเล็กน้อยก็สามารถบีบลำคอให้หักได้แล้ว แต่ผิวพรรณของสาวน้อยช่างนุ่มลื่นราวไข่ปอก ทั้งยังอุ่นร้อน อุ่นร้อนเข้าไปถึงในหัวใจ
จนถึงตอนนี้ ตี้หยูเอ๋อร์ก็ยังออดอ้อนเขาอยู่ตลอด
ซือเป่ยย่อมทนทำทุกอย่างเพื่อเอาใจฮว๋ายยู่มาตลอด แต่ว่าฮว๋ายยู่กลับไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตา
วันนี้เขาหงุดหงิดอย่างยิ่ง ซือหลินก็ยังไม่กลับมาเสียที หัวใจของเขาต้องกระวนกระวายอยู่ตลอดเวลา พลังมารที่ฝึกฝนอยู่ก็เกิดติดขัด แถมยังพึ่งจะทะเลาะกับฮว๋ายยู่มา
ในเมื่อตอนนี้อยู่ๆก็มีคนโถมเข้ามาในอ้อมแขน เพียงพริบตาเดียวซือเป่ยก็เหมือนถูกผีสางกระซิบ
เขารักฮว๋ายยู่อย่างยิ่ง แต่ก็แค้นนางเช่นกัน
แค้นที่นางไม่เคยสนใจเขาแม้สักนิด
เขาทำลายตี้เสียไปแล้ว ใครจะไปรู้ว่ายาวิเศษที่ตี้หยูเอ๋อร์ส่งไปจะถูกเขาเล่นลูกไม้ ตอนนี้สิ่งที่ตี้เสียดื่มกินลงไปทุกๆวัน ล้วยเป็นยาพิษที่ทำลายพลังวิญญาณของเขาทั้งสิ้น
ตี้หยูเอ๋อร์คือสายเลือดของตี้เสีย คือแก้วตาดวงใจของฮว๋ายยู่
หากว่าถูกเขาทำลายทิ้ง ฮว๋ายยู่คงจะต้องเกลียดชังเขาอย่างไม่คิดชีวิตกระมั้ง?
เกลียด….บางครั้งการเกลียดชังเข้ากระดูกดำก็เป็นความใส่ใจประการหนึ่ง!
พอคิดได้เช่นนี้ ซือเป่ยก็ต้องยิ้มออกมา
รอยยิ้มที่อยูในหมอกสีดำนั้นดูชั่วร้ายอย่างที่สุด
มือที่กุมลำคอของตี้หยูเอ๋อร์เอาไว้คลายออกไปบางส่วน “เพื่อข้าแล้ว องค์หญิงยินดีทำทุกอย่างอย่างนั้นหรือ?”
ตี้หยูเอ๋อร์รีบสูดลมหายใจเข้าไป พลางพยักหน้า “ไม่ว่าอะไรก็ล้วนยินดี”
นางพูดพลางก็เป็นฝ่ายเริ่มลูบคลำซือเป่ย
“จ้านเสินเกอเกอ ข้าจริงใจต่อท่านนะ” ทำไมนางถึงได้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ายิ่งซือเป่ยทำร้ายนาง นางยิ่งรู้สึกตื่นเต้น?
ก็เมื่อครู่นี้ นางเกือบจะถูกหักคอตายอยู่แล้วแท้ๆ แต่ว่าหัวใจกลับเกิดความกระหายในบางอย่างขึ้นมา
ความกระหายนั่น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่จางหายไป
ข้อมือที่เล็กและบอบบางโอบล้อมรอบลำคอของเขา นางพยายามใช้กำลังทั้งหมดที่มีลากเขาเข้ามาใกล้ “จ้านเสินเกอเกอ ตอนนี้ข้าสามารถพิสูจน์ให้ท่านดู”
ว่าแล้ว นางก็เขย่งปลายเท้าขึ้นมา ส่งริมฝีปากแดงไปยังปากของซือเป่ย มอบความอบอุ่นเร่าร้อนของตนเองให้อย่างเต็มใจ
ในความมืดมิดนั่น ซือเป่ยหรี่ดวงตาทั้งคู่ลง ราวกับนายพรานที่กำลังจะล่าเหยื่อ
ตี้หยูเอ๋อร์จมดิ่งลงไปในความเร่าร้อน มีสัมพันธ์กับเขาอย่างลืมตัว
ขณะที่ซือเป่ยส่งตนเองเข้าไปในร่างกายของนาง หมอกสีดำที่อยู่รอบกายก็แทรกซึมเข้าไปในหน้าผากของนาง หมอกสีดำเหล่านั้นดูดกลืนพลังวิญญานของตี้หยูเอ๋อร์
..,.,..