รอจนแสงสว่างนั้นสิ้นสุดลง เขาก็ต้องตกตะลึงไป เพราะสาวน้อยตรงหน้าเปลือยเปล่าตลอดร่าง จนทำให้เห็นทุกอย่างปรากฏสู่สายตาของเขา
ดวงตาที่งดงามลืมอยู่เพียงครึ่งเดียว แพขนตายาวบนดวงตาทำให้เกิดเงาน้อยๆ
ตู๋กูจุนเพียงตกตะลึงไปชั่วครู่ ก็รีบถอดเสื้อคลุมบนร่างลงมาคลุมบนร่างของสาวน้อย ห่อหุ้มร่างกายของนางเอาไว้อย่างมิดชิด
กระทั่งเมื่อเสื้อคลุมกันลมนั่นถูกยึดเอาไว้อย่างแน่นหนา โผล่ออกมาเพียงสองเท้าที่งดงามดั่งหยก เขาถึงได้หยุดมือ
พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่าบนหน้าผากของสาวน้อยปรากฏตราประทับของยมราช
ในที่สุด นางก็กลายเป็น….หนึ่งในสิบยมราชไปแล้วจริงๆ
สำหรับตู๋กูจุนแล้ว การที่นางสามารถฟื้นคืนชีพจากความตายถือเป็นความเมตตาของฟ้าดินแล้ว ตอนนี้ยิ่งกลายเป็นยมราช เขาถึงกับอธิบายความรู้สึกของตนเองไม่ออกไปชั่วขณะ
มิว่าจะอย่างไร เขาก็ทั้งปลาบปลื้มและตื่นเต้น ความรู้สึกที่ได้รับหัวใจที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนมา ทำให้เขาแทบจะบินขึ้นไปบนฟ้าได้เลย
เขาอยากจะพุ่งเข้าไปกอดนางให้แนบแน่น นับจากนี้เป็นต้นไปจะไม่ปล่อยมืออีกแล้ว
แต่เขายังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรออกไปสักคำ หลังมือก็ถูกสาวน้อยสะบัดเข้าใส่อย่างรุนแรง
นัยตาที่งดงามคู่นั้นในที่สุดก็ลืมตาขึ้นมา แต่ว่าเมื่อได้เห็นเขาแล้ว ดวงตากลับไม่มีประกายใดๆ
“อย่ามาแตะข้า” น้ำเสียงของสาวน้อยเย็นชา ทิ่มแทงหัวใจจนเจ็บปวด
มิว่าจะเป็นซือหนานหรือว่าตู๋กูจุน เขาก็ถูกหลีเกอและหยวนเมิ่งไล่ตามจีบมาตลอดเวลา เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า วันหนึ่งสาวน้อยที่ในแววตามีแต่เขาเพียงผู้เดียวมาโดยตลอดนั้น จะเปลี่ยนเป็นเย็นชากับเขาถึงเพียงนี้
ตู๋กูจุนมองเหลือบตามองดูหลังมือที่ถูกปัดจนแดงขึ้นมาแวบหนึ่ง ก็นิ่งไปเล็กน้อย “เจ้ากำลังเคียดแค้นข้าหรือ?”
“หยวนเมิ่ง นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่สนใจแล้วว่าจะต้องขัดต่อฟ้าดินหรืออะไร ข้าจะต้องตั้งใจ….”
‘ดูแลเจ้าอย่างดี’ ประโยคหลังยังไม่ทันออกจากปาก หยวนเมิ่งก็ก้าวยาวๆออกไปทั้งชุดคลุม เดินลงจากเวทีไปแล้ว
เท้าของนางเปื้อนเลือด ทุกก้าวที่เดินออกไปจนเหลือเป็นรอบเท้าเลือดสีแดง แดงจนบาดตา
ตู๋กูจุนมองดูเงาหลังของเขา ชั่วขณะนั้นเขาหาเหตุผลที่จะรั้งนางเอาไว้ไม่เจอ
เขายืนอยู่บนเวที เห็นนางเดินไกลออกไป จนถึงเบื้องหน้าจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน
จากนั้นหยวนเมิ่งก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงเบื้องหน้าคนทั้งสอง “ยมราชหยวนเมิ่ง ถวายพระพรท่านอ๋อง ถวายพระพรหวังเฟย”
กลับมาเกิดใหม่ น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ขาดเสน่ห์และความสดใสที่เคยมี เพิ่มพูนความเย็นชาขึ้นอีกหลายส่วน ราวกับว่าสูญเสียความรู้สึก เย็นชาเป็นแท่งน้ำแข็ง
ตู๋กูซิงหลันคิดจะฉุดนางให้ลุกขึ้นด้วยตนเอง “เสี่ยวหยวนหยวน ต่างก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว ไยต้องมากมารยาทถึงเพียงนั้น”
หยวนเมิ่งกลับถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ทั้งยังถวายคำนับให้นางอีกครั้ง “หวังเฟยสูงศักดิ์ นับจากวันนี้เป็นต้นไป หยวนเมิ่งคือข้าทาสของท่านและฝ่าบาทตลอดกาล ไม่กล้าอาจเอื้อมเป็นคนในครอบครัว”
มือของตู๋กูซิงหลันค้างอยู่ที่เดิม ได้แต่เหลือบตามองดูจีเฉวียนแวบหนึ่ง ใช้สายตาแทนคำถามเขาว่านี่มันเรื่องอะไรกัน?
ข้าทาสบ้าบอกอะไร นี่คือว่าที่พี่สะใภ้ใหญ่ที่นางหมายตาเอาไว้แล้วต่างหาก!
“คำสั่งของหวังเฟย เจ้าต้องเชื่อฟัง” คราวนี้ จีเฉวียนค่อยปรายตามองดูหยวนเมิ่งแวบหนึ่ง ตราประทับบนหน้าผากหายเข้าไปอยู่ในร่างกายของนางแล้ว
เขากวาดตาดูเพียงแวบเดียว ก็หันกลับมาอธิบายให้ภรรยาตัวน้อยฟังในทันที “เกิดใหม่ทั้งที ย่อมต้องมีค่าตอบแทนที่จ่ายออกไป”
“เลือดมาร กระดูกมาร ไอมารล้วนสลายไปจนหมดสิ้นแล้ว แม้แต่จิตมารก็ถูกทำลาย ที่เหลืออยู่คือจิตที่บริสุทธิ์ แต่เพราะเกิดใหม่อีกครั้ง เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่เดิมทีนางควรจะมีจึงได้หายไปด้วย”
“แม้ว่าจะมีความทรงจำเดิมทั้งหมด แต่ว่าหัวใจเป็นดั่งท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ทั้งยังไร้หัวใจยิ่งกว่าก้อนหินก้อนหนึ่งเสียอีก”
ร่างกายของหยวนเมิ่งในตอนนี้ กำเนิดขึ้นมาจากเทียนเซินมู่ (ไม้เทพพฤกษา) ไม้ชนิดนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าศิลาใดๆ ย่อมต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้าเสียอีก
ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าผู้ที่ได้รับตรายมราช ชั่วชีวิตพึงต้องจงรักภักดีต่อหมิงอ๋อง นี่คือสิ่งที่ถูกสลักเอาไว้ในแก่นกระดูก
ดังนั้นหยวนเมิ่งจึงได้บอกว่าตนเองเป็น ‘ข้าทาส’ ของพวกเขา
คำพูดนี้ของจีเฉวียน แม้แต่ตู๋กูจุนก็ได้ยินด้วย
เขามองดูเงาหลังของหยวนเมิ่งอย่างลึกซึ้ง ในสมองยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของสาวน้อย แต่ว่าตอนนี้นางกลับเป็นวัตถุที่ว่างเปล่าไม่มีทั้งเจ็ดอารมณ์และหกปรารถนาไปแล้ว?
ตู๋กูซิงหลันเองก็ตกตะลึงไปพักใหญ่
“นี่มัน….” นางทอดถอนใจอยู่ครึ่งค่อนวัน นี่ไม่อาจโทษว่าจีเฉวียน เพียงแต่ความหวังที่จะได้เห็นพี่ชายพี่สะใภ้ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าเป็นต้อง…. ทำให้หัวใจรู้สึกเหมือนถูกมีดบาด
ถึงแม้จะบอกว่าพี่ใหญ่จะเป็นตัวไม่ได้เรื่อง….
แต่พอคิดถึงตรงนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ต้องเหลือบมองขึ้นไปบนเวทีแวบหนึ่ง
เดิมทีคิดจะสั่งสอนเขาหนักๆสักครั้ง ทำให้เขาไม่กล้ารังแกเสี่ยวหยวนหยวนได้ง่ายๆอีก แต่ใครจะไปรู้ว่าไม้นี้ออกจะหนักหนาไปเสียหน่อย….
จีเฉวียนไหนเลยจะทนให้ภรรยาตัวน้อยของตนเองต้องโศกเศร้าและผิดหวังได้ เขากล่าวต่อไปอีกว่า “ในเมื่อรักแท้สามารถสั่นสะเทือนฟ้าดิน ก็ย่อมสามารถทำให้หัวใจดวงหนึ่งเกิดความรู้สึกได้ เพียงแต่น้ำที่หยดลงบนหิน ไม่รู้ว่าจะต้องใช้วันเวลายาวนานเพียงไร”
“พี่ใหญ่ ได้ยินแล้วหรือไม่ ต้องใช้หัวใจรักแท้ของท่านทำให้เสี่ยวหยวนหยวนสั่นคลอน มิเช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ท่านต้องโดดเดี่ยวไปทั้งชาตินะ!” ตู๋กูซิงหลันได้รับคำชี้แนะก็รีบถ่ายทอดให้ตู๋กูจุนบนเวทีในทันที
มิว่าจะอย่างไร …… ก็ยังพอจะมีความหวังอยู่บ้างเล็กน้อย
แววตาของตู๋กูจุน เป็นประกายขึ้นมาในทันที
หยวนเมิ่งเฝ้าติดตามเขามานานหลายปี ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นเขาเฝ้าตามตื้อนาง การรอคอยอย่างมีความหวังก็ยังนับว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
หยวนเมิ่งยืนอยู่ด้านข้าง ฟังพวกเขาพูดไปตั้งมากมาย แต่แววตามิได้กระพริบเลยสักครั้ง
แสงในดวงตาของนางมีแต่ความเย็นเฉียบที่เหมือนดั่งหิมะ
……………..
แดนสวรรค์ ตี้เสียที่หลับลึกไปเนิ่นนานหลายวันตื่นขึ้นมาอย่างกระทันหัน
ยามที่ฮว๋ายยู่ได้รับข่าวนี้ ในใจเต็มไปด้วยความสับสน
นางย่อมต้องดีใจอยู่แล้ว แต่พอคิดถึงเรื่องที่นางกับซือเป่ยได้ทำลงไป ก็ต้องหวาดกลัวขึ้นมา
หยูเอ๋อร์ บุตรสาวสุดที่รักของนางและตี้เสีย…..ก็วิญญาณแตกสลายไปแล้ว
นางไม่รู้ว่าจะไปรับผิดกับตี้เสียอย่างไรดี
นางยิ่งหวาดกลัวว่าหากซือเป่ยนำเรื่องของตนเองและเขาไปบอกตี้เสียจนหมด ….. เช่นนั้นตี้เสียย่อมต้องเกลียดชังนางอย่างมากเป็นแน่!
ตั้งแต่ตอนแรกนางต้องทุ่มเทจิตใจไปมากมายจึงได้รับความรักจากตี้เสีย แล้วนางจะยอมให้ความรักนี้พังทลายไปอย่างง่ายๆได้อย่างไร?
นางพกพาจิตใจที่ไม่สงบมาหาตี้เสียที่ตำหนักบรรทม พอเข้าใกล้ประตูใหญ่ก็ได้กลิ่นเลือดเข้มข้น
นางกำลังตั้งครรภ์ ทารกในครรภ์ที่จริงมีอายุได้หกเดือนแล้ว พอได้กลิ่นเลือดก็อยากจะอาเจียนจนทนไม่ไหวขึ้นมา
ประตูใหญ่เปิดเป็นช่องอยู่เสี้ยวหนึ่ง นางเดินหน้าไปอีกก้าว
จากช่องประตูเสี้ยวหนึ่ง สิ่งที่เข้าสู่สายตาก็คือร่างเปลือยเปล่าของสตรีผู้หนึ่ง
อยู่บนแท่นบรรทมของตี้เสีย!
พริบตานั้น ฮว๋ายยู่ก็เหมือนถูกเพลิงเผาผลาญไป พวยพุ่งขึ้นไปบนสมองในทันที นางพุ่งเข้าไปตบฝ่ามือลงบนบานประตูใหญ่
แต่ในขณะที่กำลังจะส่งเสียงด่าทอสตรีที่ไม่รู้จักธรรมเนียม บังอาจล่อลวงเทียนตี้ ก็พลันเห็นว่านั่นใช่สตรีที่มีร่างกายครบถ้วนเสียเมื่อไหร่กัน!
หากแต่ถูกกินไปครึ่งหนึ่งแล้วต่างหาก!
ใบหน้าถูกกัดกินจนมีสัดส่วนไม่ครบถ้วน แขนข้างหนึ่งถูกกินไปหมดแล้ว หน้าอกก็มีรูกลวงขนาดใหญ่!
ส่วนเทียนตี้ที่พึ่งจะฟื้นขึ้นมา ในพระหัตถ์มีหัวใจสดใหม่อยู่ดวงหนึ่ง และแน่นอนว่าเสวยไปแล้วกว่าครึ่ง!
ตอนที่ฮว๋ายยู่บุกเข้ามานั้น ตี้เสียก็กุมหัวใจดวงนั้นเอาไว้ เงยพระพักตร์ขึ้นมาจ้องดูนาง
จากนั้นก็แย้มสรวลให้นางอย่างน่าสยดสยอง “เทียนโฮ่ว เจ้ามาแล้ว~”
………..