หรือว่าจะมีแล้วจริงๆ?
ฮว๋ายยู่ช่างเก่งกาจในเรื่องนี้นัก แค่มองด้วยตาเปล่าก็สามารถดูออกได้แล้ว?
ตู๋กูซิงหลันคลำซ้ายคลำขวา ก็ยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรทั้งสิ้น
กลับเป็นสีหน้าของตี้เสียที่ย่ำแย่ขึ้นมา พระองค์เสด็จขึ้นมาข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง ก็ยื่นพระหัถต์ออกมา สายพระเนตรจับจ้องไปที่บนท้องของตู๋กูซิงหลัน
ตู๋กูซิงหลันถอยหลังไปอีกก้าวในทันที นางเรียกกริชกลับไป เปลี่ยนเป็นนำคฑาสีดำออกมา สร้างเป็นวงแสงที่งดงามชั้นหนึ่ง คิดจะสกัดกันตี้เสียเอาไว้ภายนอก
แต่ว่าปฏิกริยาของตี้เสียช่างรวดเร็ว ทั้งยังว่องไวกว่าวงแสงนั้นอยู่ก้าวหนึ่ง
ขณะที่ได้ยินเสียงลมวูบหนึ่ง เขาก็มาถึงตรงหน้าของตู๋กูซิงหลันแล้ว
ฝ่ามือใหญ่โตที่ยื่นออกมา มีกรงเล็บสีดำที่เห็นได้อย่างชัดเจน เป็นกรงเล็บแบบเดียวกับหลีฉิงตอนที่ตัดศีรษะของซือเป่ยลงมาไม่มีผิด!
ชั่วพริบตานั้น ภายใต้วงแสงเวทย์ที่สุกสว่าง กรงเล็บที่มีปลายเล็บสีดำยาวแหลมคม ก็เรืองแสงขึ้นมาชั้นหนึ่งอาบไล้อยู่บนปลายเล็บยาว
ปลายแหลมของกรงเล็บนั่นกำลังจะแทงลงไปบนเนื้อผ้าของตู๋กูซิงหลัน ตรงจุดที่เป็นท้องน้องของนางพอดี
มิว่านางจะตั้งครรภ์หรือไม่ สำหรับตี้เสีย นางก็มิได้บริสุทธิ์สะอาดอีกต่อไปแล้ว!
ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ นางกับซีเหอยังดำรงตนอยู่ในศีลธรรมจรรยา จึงไม่เคยกระทำเรื่องใดกันมาก่อน ใครจะไปคิดว่าผ่านไปอีกหลายหมื่นปีให้หลัง นางกลับไม่รู้จักรักดี สละร่างกายที่เป็นพรหมจรรย์ทิ้งไปอย่างง่ายดายเช่นนี้!
ฮว๋ายยู่เข้าใจนิสัยของตี้เสียอย่างชัดเจนที่สุด ก่อนนี้ในวังหลังเคยมีพระสนมองค์หนึ่ง ที่ได้ทำการโป้ปดเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเข้าวังมา ใครจะไปรู้ว่าในคืนเข้าหอกลับถูกตี้เสียทรงล่วงรู้เข้า พระสนมองค์นั้นจึงถูกประหารต่อหน้าผู้คนทั้งหมดในวันรุ่งขึ้นนั้นเอง
จู่ฮว๋ายเป็นปมในใจของเขามาเนิ่นนานหลายต่อหลายปี ตอนนี้กลับตั้งท้องกับผู้อื่น ถึงตี้เสียจะรักนางเพียงไร ก็ต้องทนรับไม่ได้อย่างแน่นอน
ตอนที่ตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียนแต่งงานกันนั้น เขายังคงนอนหมดสติอยู่ในวังสวรรค์ จึงไม่รู้เรื่องใดทั้งสิ้น
ตู๋กูซิงหลันเห็นประกายในดวงเนตรของตี้เสียเป็นแสงสีดำ ก็รู้ว่าเจ้าพ่อพันธุ์ม้าผู้นี้มิใช่ตัวดีอย่างแน่นอน
นางรีบใช้สองมือปกป้องท้องน้อยของตนเองเอาไว้ในทันที
ปลายเล็บของตี้เสียกรีดลงไปบนผิวหลังมือของตู๋กูซิงหลัน ลึกลงไปในเนื้อถึงสามส่วน แทงลงบนเส้นเลือดของนางพอดี
ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้อยู่ว่างๆ นางยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาถีบเข้าใส่ระหว่างสองขาของเขา
ฝ่าเท้านั่นใส่กำลังอย่างเต็มที่ ต่อให้เป็นก้อนศิลาก็ยังต้องแตกสลายแล้ว
ตี้เสียคิดไม่ถึงว่านางจะลงมือด้วยวิธีเช่นนี้ จึงไม่ทันได้หลบหลีก รับหนึ่งฝ่าเท้าของนางเข้าไปอย่างเต็มที่
เดิมทีเขายังคิดว่าเรี่ยวแรงของนางไม่น่าจะมีสักเท่าไหร่ ที่ไหนได้กลับกลายเป็นว่าประมาทจนเกินไปเสียแล้ว
ใบหน้าที่เดิมก็เขียวคล้ำ ตอนนี้ยิ่งไม่น่าดูกว่าเดิม
จำต้องถอยกรูดไปก้าวหนึ่ง
ฮว๋ายยู่เองก็ตกตะลึงไป นี่นางทำได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ถึงอย่างไรจู่ฮว๋ายในตอนนั้นก็เป็นถึงระดับผู้ปกครองผู้หนึ่ง ไม่มีทางใช้ฝีมือชั้นต่ำเล่นสกปรกเช่นนี้อย่างเด็ดขาด
นางประคองลำคอและทรวงอกของตนเองเอาไว้ แววตาที่เคียดแค้นจะอย่างไรก็ไม่ยอมจางหาย
ตู๋กูซิงหลันกลับคว้าโอกาสเอาไว้อย่างแม่นมั่น นางกระชับไม้คฑาในมืออีกครั้ง มุ่งแต่จะโจมตีทุบกล่องดวงใจของตี้เสียโดยเฉพาะ
กลับบุรุษเจ้าชู้ที่ชั่วช้าอย่างที่สุดเช่นนี้ วิธีการที่รวบรัดและดีที่สุดก็คือทุบไอ้นั่นของมันทิ้งไปเสียเลยมิใช่หรือ?
พอคิดถึงต้นกำเนิดของพวกนาง ….. ตู๋กูซิงหลันก็ต้องพลอยขมวดคิ้ว ในสามปฐมเทพที่กำเนิดขึ้นมาจากฟ้าดิน กลับมีผู้ที่กระหายเลือดอย่างชั่วช้าเช่นนี้ขึ้นมา
ตี้เสียนั้นหมายปองในตัวนางมาตั้งแต่ชาติก่อน แต่ว่านางก็ได้ปฏิเสธเขาไปอย่างเด็ดขาดตั้งแรกแล้ว ช่างน่าเสียดายที่เจ้าผู้นี้กลับทำตนหูทวนลมเสียอย่างนั้น
ทั้งยังร่วมมือกับฮว๋ายยู่จนกลายเป็นหินก้อนใหญ่ที่กีดขวางเส้นทางแห่งความรักของนางกับซีเหอ
เอาเถอะ เรื่องพวกนั้นก็ผ่านมาเนิ่นนานจนนับวันเวลาไม่ไหวอีกแล้ว
โดนทุบลงมาเช่นนี้ แม้ว่าตี้เสียจะพยายามรักษาสีพระพักตร์ให้ดูสงบนิ่งเพียงไร แต่ดวงพระพักตร์ก็ยังอดจะเหยเกออกมาอย่างระงับเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี
“จู่ฮว๋าย!” พระองค์คำรามเรียกชื่อของนางออกมา ด้วยเสียงแหบต่ำ
“เจ้าท้องบุตรของผู้อื่นได้อย่างไรกัน!”
“เดิมทีเจ้าสมควรจะเป็นของเรา! อย่าได้ลืมสิว่าเป็นเราที่สร้างเจ้าขึ้นมา!”
“หากมิใช่เพราะว่าเรามอบแสงสว่างและความอบอุ่นออกมา ทำให้เจ้าสามารถดูดซับไอทิพย์ของฟ้าดิน เกรงว่าจนถึงวันนี้เจ้าก็ยังคงจะเป็นเพียงต้นฮว๋ายต้นหนึ่งเท่านั้นเอง!”
ตู๋กูซิงหลัน “……”
“พี่ชาย อย่าได้พูดเสียราวกับว่าแสงอาทิตย์ของเจ้ามันยิ่งใหญ่เสียหนักหนาได้หรือไม่?”
ร่างแท้ของตี้เสีย เดิมทีก็คือดวงอาทิตย์ดวงเล็กๆดวงหนึ่ง ตอนที่ฟ้าดินก่อกำเนิดนั้นจึงได้ส่องแสงสว่างลงมาบนผืนโลก
และเพราะว่าอยู่ใกล้จู่ฮว๋ายอยู่สักหน่อย จึงได้มองเห็นนางอยู่ในสายตาตลอดเวลา คิดจะครอบครองนางอยู่เสมอ
ตี้เสียถูกกระตุ้นโทสะไม่น้อย จึงเห็นนางเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่เลี้ยงเอาไว้อย่างเสียเปล่า
“มิว่าจะอย่างไร ก็คือเราที่สร้างเจ้าขึ้นมา เจ้าสมควรจะใช้ร่างกายเพื่อตอบแทนเราให้ดี”
พระองค์สีพระพักตร์เขียวคล้ำ ต้องพยายามฝืนความเจ็บปวดที่ส่วนล่างเอาไว้ “เราจะมอบโอกาสให้เจ้าอีกครั้ง ทำลายเจ้าสวะนั่นทิ้งไปเสีย แล้วมาอยู่กับเรา”
หากว่านางรู้จักถนอมโอกาสนี้เอาไว้ พระองค์ก็จะยอมฝืนรับเรื่องที่ว่านางมิใช่สตรีบริสุทธิ์เอาไว้ก็ได้
ฮว๋ายยู่ที่รับฟังอยู่ด้านข้างด้วยหัวใจที่ปวดร้าวอยู่แต่แรกแล้วก็ต้องเหมือนถูกทิ่มแทงอย่างรุนแรงอีกครั้ง
เดิมทีนางนึกว่า พอได้เจอกับจู่ฮว๋ายที่เป็นเช่นนี้ เขาจะต้องทนรับไม่ได้อย่างแน่นอน
แต่ว่าเขากลับต้องการเพียงแค่ให้นางทำลายเศษสวะในครรภ์นั่นทิ้งไป จะอย่างไรก็ต้องการอยู่ร่วมกับนางให้ได้
เฮอะ……
ความรักที่ลำเอียง มิว่าอย่างไรก็ต้องมีสิทธิ์พิเศษ ที่เหนือกว่าผู้อื่นอยู่เสมอ
ตู๋กูซิงหลัน “?”
“นี่สมองของเจ้าคงไม่ได้กลวงจนมีแต่ฟองน้ำใช่ไหม?” “อย่าได้มาเรียกจนติดปากว่าเศษสวะอีก เจ้าตัวน้อยของข้า เจ้าสามารถลบหลู่ได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
ตู๋กูซิงหลันเองก็ชักจะอยากเอาเรื่องแล้ว นางยังไม่ทันได้แน่ใจว่าตนเองกำลังจะมีเจ้าตัวน้อยหรือไม่ หากว่ามีแล้ว เช่นนั้นนางย่อมต้องทนุถนอมเอาไว้เป็นสมบัติน้อยยอดดวงใจอย่างแน่นอน ไหนเลยจะยอมให้ผู้อื่นมาด่าว่าปาวๆอยู่ได้กัน?
แถมยังจะให้ไปอยู่กับเขาอีกด้วย?
จะให้ละทิ้งเสี่ยวเฉวียนเฉวียนของบ้านตนเองที่งดงามปานยอดบุปผา แล้วไปอยู่กับเจ้าเนี่ยนะ?
หากมิใช่เป็นเพราะยังเห็นแก่รูปลักษณ์ของเขาที่ยังพอจะดูได้อยู่บ้าง ตู๋กูซิงหลันย่อมต้องซัดหมัดใส่ใบหน้าของเขาไปแล้ว
ปฏิกริยาของนางสร้างความแค้นเคืองให้กับตี้เสียขึ้นมาจริงๆแล้ว ในร่างของเขามีพลังฟื้นฟูสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง จุดที่โดนฝ่าเท้าของตู๋กูซิงหลันถีบเข้าใส่เมื่อครู่ ตอนนี้ฟื้นฟูกลับคืนมาดีดังเดิมแล้ว แม้แต่ความรู้สึกเจ็บปวดก็เบาบางลงไป
นัยตาที่เปี่ยมไปด้วยไอมารคู่นั้น จับจ้องไปที่นางอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เรามอบโอกาสให้กับเจ้า เจ้ากลับไม่คิดจะถนอมเอาไว้” เขากางกรงเล็บขึ้นมา วางลงบนปลายลิ้น ละเลียดชิมคราบเลือดที่ติดอยู่บนปลายเล็บเบาๆ
นี่คือเลือดของตู๋กูซิงหลัน
“งั้นก็น่าเสียดายแล้ว….” หางเสียงของเขาลากยาว ด้วยน้ำเสียงที่ออกจะเยือกเย็นจนพิลึกพิลั่นอยู่บ้าง
ว่าแล้ว ไอมารในร่างกายของตี้เสียก็แผ่ขยายออกมาอีก
สิ่งที่เขาไม่อาจได้มา ต่อให้ต้องทำลายจนย่อยยับก็จะไม่ปล่อยให้เล็ดลอดออกไปได้
“ชาติก่อนมิว่าจะเป็นหรือตายเจ้าก็ต้องการจะอยู่ร่วมกับซีเหอให้จงได้ ชาตินี้กลับเสาะบุรุษผู้หนึ่งมาอย่างลวกๆเจ้าก็ยอมหลับนอนด้วยแล้ว” ตี้เสียแสยะริมโอษฐ์ เผยให้เห็นคมเขี้ยวที่ยาวและแหลมคม แน่นอนว่าก่อนที่จะมาเมื่อครู่คงพึ่งจะกินใครเข้าไป
“เราก็ไม่มีอะไรจะต้องเสียดายอีก หากว่าเราไม่ได้ครอบครอง ซีเหอก็ต้องไม่ได้ไปเช่นกัน สุดท้ายก็ไม่มีผู้ใดแพ้ ไม่มีผู้ใดชนะ”
“ไม่รู้ว่าหากเขายังมีชีวิตอยู่ แล้วได้รู้ว่าเจ้าตั้งครรภ์เดรัจฉานของบุรุษอื่น ในใจจะรู้สึกเช่นไรบ้างนะ?”
“ช่างน่าเสียดาย….ที่แม้แต่โอกาส เขาก็ไม่มีอีกแล้ว”
ตี้เสียแย้มสรวลออกมาอย่างเย็นชา คิดจะทำลายฟางเส้นสุดท้ายในใจของตู๋กูซิงหลันทิ้งไป
ในเมื่อเขาไม่อาจได้ทั้งร่างกายและจิตใจของนาง ก็ทำให้นางกลายเป็นหยกสรรพชีวิตที่สมบรูณ์ จากนั้นตนเองจะได้ครอบครองเอาไว้ก็ย่อมได้
ไม่กี่วันก่อน เขาพึ่งจะไปทำการสืบเสาะเพื่อยืนยันโดยละเอียดอีกครั้ง ซีเหอได้ตายไปนานมากแล้วจริงๆ ดังนั้นบุรุษที่ก่อนหน้านี้บุกขึ้นมายังแดนสวรรค์จะต้องไม่ใช่เขาอย่างแน่นอน
เพราะแม้แต่กลิ่นอายประจำตัวก็ยังไม่เหมือนกัน
ตู๋กูซิงหลัน “…..” ข้ารู้สึกว่าเจ้าจะเชื่อมั่นในตนเองจนมากเกินไปเสียแล้ว
นางยังไม่ทันได้ด่าทอบรรพชนของตี้เสียในใจอีกสักรอบหนึ่ง พระตำหนักไท่เหิงกงแห่งนี้ก็พลันสั่นคลอนขึ้นมา
“ตึง!” ประตูตำหนักบานใหญ่ของพระตำหนักไท่เหิงกงพลันเปิดออก บานประตูที่สร้างจากศิลาหยกถึงกับพังทลายลงไป
พร้อมๆกับสายลมที่พัดขึ้นมานั้น ก็มีเงาร่างของผู้ที่ตู๋กูซิงหลันคุ้นเคยที่สุดปรากฏขึ้นมา
……………