ในขณะที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์ต่อสู้กับฝูงหมาป่านั้นเอง ชายที่ไปล่อฝูงหมาป่ามาผู้นั้นก็เคลื่อนตัวผ่านยอดเขาอย่างรวดเร็ว วิ่งตรงไปยังยอดเขาอีกแห่งหนึ่ง ไปรวมตัวกับพรรคพวกของตนอย่างรวดเร็ว
“หวงซื่อ เป็นอย่างไรบ้าง” คนที่รออยู่ที่เดิมเห็นพรรคพวกของตนกลับมาจึงเอ่ยถามขึ้น
“ตอนที่ข้าวิ่งมา ฝูงหมาป่าก็ล้อมพวกซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้แล้ว” หวงซื่อดึงกระดาษที่มีอักขระแปลกประหลาดวาดอยู่ที่ติดอยู่บนร่างออกมาแล้วยื่นให้กับชายเสื้อดำพลางพูดว่า “พี่ใหญ่ ของสิ่งนี้ของท่านคืออะไรหรือ พอติดมันลงไปแล้วความเร็วของข้าก็เพิ่มขึ้นมากมายเลย ราวกับว่าขาทั้งสองข้างนี้มิใช่ของข้าเลยทีเดียวล่ะ”
“คือสิ่งใดนั้นเจ้าไม่ต้องถามหรอก” ชายเสื้อดำเก็บแผ่นยันต์กลับมาแล้วเอ่ยว่า “ฝูงหมาป่าเหล่านั้นล้อมพวกเขาเอาไว้แล้วจริงๆ หรือ”
“จริงสิ พี่ใหญ่!” หวงซื่อเอ่ยยืนยัน “ หมาป่าเปลวอัคคีสามสิบสี่สิบตัวเลยทีเดียวนะ ต่อให้พวกเขาพลังยุทธ์ไม่อ่อนแอ ก็ไม่อาจเอาชนะหมาป่าเปลวอัคคีมากมายถึงเพียงนั้นได้หรอก”
“เช่นนี้ก็ดี” ชายเสื้อดำพูด “เฮอะ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมิอาจมีชีวิตรอดต่อไปได้ แต่ก็มิอาจเอาชีวิตเจ้าคนไร้ค่าผู้นั้นด้วยมือตัวเองได้ ช่างน่าละอายยิ่งนัก!”
“พี่ใหญ่ พวกเราต้องไปดูพวกมันตายสักหน่อยหรือไม่” หวงซื่อถาม
“ไม่ต้องไปหรอก” พี่ใหญ่ชุดดำส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าหากเจอกับฝูงหมาป่าเข้า พวกเราก็จะเป็นฝ่ายลำบากแทนน่ะสิ นอกจากนี้กลิ่นคาวเลือดยังอาจจะไปล่อสัตว์อสูรวิเศษที่อยู่ใกล้ๆ เข้ามาก็เป็นได้ ในเมื่อรู้แล้วว่าพวกเขามิอาจเอาชีวิตรอดได้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายหรอก”
“พี่ใหญ่พูดได้ถูกต้อง”
“พวกเรามาที่นี่ก็มีภารกิจของตัวเองอยู่ จัดการซือหม่าโยวเย่ว์เรียบร้อย พวกเราก็ควรไปทำภารกิจของพวกเราให้เสร็จสิ้นได้แล้วสิ! ไปกันเถิด” พี่ใหญ่ชุดดำพูดจบแล้วก็นำทางพรรคพวกของตนเดินมุ่งหน้าไปยอดเขาอีกแห่งหนึ่ง
ที่อีกด้านหนึ่ง พวกโอวหยางเฟยเก็บตัวสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของตนกลับเข้าไปในมิติพันธสัญญา ประคับประคองกันและกันออกจากป่าที่ทำการต่อสู้เมื่อครู่
เดินไประยะหนึ่งก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำ เมื่อเห็นพื้นที่ว่างริมน้ำ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็พูดว่า “ที่นี่อยู่ห่างจากพื้นที่การต่อสู้มาไกลพอสมควรแล้ว พวกเรามาล้างแผลที่นี่กันสักหน่อยก่อนเถิด”
“ดีเลย” เว่ยจือฉีประคองตัวเจ้าอ้วนชวีให้นั่งลงบนก้อนหินใหญ่ริมแม่น้ำก้อนหนึ่งก่อนที่ตนจะนั่งลงข้างๆ
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะกินยาวิเศษที่ซือหม่าโยวเย่ว์ให้ลงไปแล้ว แต่ยารักษาบาดแผลขั้นหนึ่งออกฤทธิ์ค่อนข้างช้า ทั้งยังมีผลลัพธ์ไม่ค่อยดีนัก มิอาจทำให้บาดแผลสมานตัวได้ในระยะเวลาอันสั้น
โอวหยางเฟยมาที่ริมแม่น้ำแล้วถอดเสื้อชิ้นบนออกก่อนจะเริ่มต้นชำระล้างบาดแผลบริเวณท่อนบนของร่างกาย ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบตามองก็พบว่าบนร่างของเขามีรอยแผลเป็นมากมายกระจัดกระจายไปทั่ว
ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอาอ่างใบหนึ่งออกมา เธอมาที่ริมน้ำแล้วตักน้ำอ่างหนึ่งยกมาที่ข้างกายเจ้าอ้วนชวี ยื่นมือจะไปเปลื้องเสื้อผ้าของเจ้าอ้วนชวี
“อ๊า… โยวเย่ว์ เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ!” เจ้าอ้วนชวีเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เปลื้องเสื้อผ้าของตนแล้วก็ร้องเสียงแหลมออกมาโดยสัญชาตญาณพลางยกสองมือขึ้นปิดหน้าอก
ซือหม่าโยวเย่ว์สีหน้าถมึงทึง เจ้านี่จะตอบสนองใหญ่โตถึงเพียงนี้ไปทำไมกัน!
“ถ้าเจ้ารู้สึกว่าดึงรั้งบาดแผลแล้วมันไม่เจ็บ เจ้าจะรั้งบาดแผลเช่นนี้ต่อไปข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ” เธอพูดพลางเหลือบมองบาดแผลบนร่างของเจ้าอ้วนชวีปราดหนึ่ง
เจ้าอ้วนชวีจึงค่อยนึกถึงบาดแผลบนร่างตนขึ้นมาได้เมื่อได้ฟังคำพูดของเธอ การขยับเมื่อครู่นี้ทำให้บาดแผลทวีความเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นจนอดที่จะร้องโอดโอยขึ้นมามิได้
ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงมือของเขาลงแล้วใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าของเขาออก เผยให้เห็นบาดแผลบนหัวไหล่และแผ่นหลังของเขา
แน่นอนว่ากรรไกรเล่มนั้นก็คือหลิงหลงที่แปลงร่างมาอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนั่นเอง นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดเจ้านายจึงเอาแต่ให้นางแปลงเป็นอาวุธหน้าตาแปลกประหลาด ทั้งยังไม่มีประโยชน์อันใดอีกด้วยเล่า
เพื่อความสะดวก ซือหม่าโยวเย่ว์จึงตัดเสื้อเจ้าอ้วนชวีออกหมด หลังจากนั้นก็หยิบเอาผ้าฝ้ายผืนหนึ่งออกมาชุบน้ำในอ่าง เช็ดล้างคราบเลือดบริเวณบาดแผลออกจนสะอาด พลางหยิบเอายาผงขวดหนึ่งออกมาโรยจนทั่วบาดแผลของเขา ก่อนจะใช้แถบผ้าพันแผลให้เขาเป็นลำดับสุดท้าย
เว่ยจือฉีกลับมาจากการล้างรอยเลือดบนเนื้อตัวที่ริมแม่น้ำ ก็เห็นการเคลื่อนไหวอันเปี่ยมทักษะของซือหม่าโยวเย่ว์ จึงเอ่ยเย้าแหย่ว่า “คิดไม่ถึงว่าท่าทางการพันแผลของโยวเย่ว์จะเชี่ยวชาญถึงเพียงนี้”
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยๆ น่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ
ที่เธอพูดนั้นหมายถึงว่าชาติก่อนตอนที่ตนเป็นมือสังหารเคยได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยๆ แต่พวกเจ้าอ้วนชวีกลับเข้าใจไปว่าก่อนหน้านี้เขาเคยถูกคนรอบกายมู่หรงอานทุบตี
“โยวเย่ว์ เจ้าวางใจเถิด ต่อจากนี้ไปใครกล้ามารังแกเจ้า เจ้าอ้วนอย่างข้านี่แหละจะไม่ยอมเป็นคนแรกเลย!” เจ้าอ้วนชวีมองดูแถบผ้าบนหัวไหล่พลางพูดขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มก่อนจะขยับไปอยู่ด้านหลังเขาแล้วโรยผงยาลงไปที่บาดแผลบนหลังของเขา หลังจากนั้นก็พันแผลอย่างตั้งอกตั้งใจ
“เสร็จแล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์ทำเสร็จแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ยาผงชนิดนี้มีประโยชน์ต่อบาดแผลเป็นอย่างยิ่ง เมื่อรวมกับยาวิเศษแล้วก็ให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้นไปอีก โอวหยางเฟย บนร่างของพวกเจ้าก็มีบาดแผลเช่นกัน มาให้ข้าทำแผลให้พวกเจ้าด้วยสิ”
“ข้าทำเองก็ได้” โอวหยางเฟยไม่ค่อยเคยชินกับการให้ผู้อื่นมาสัมผัสบนร่างกาย จึงรับเอาขวดยาของซือหม่าโยวเย่ว์มาทำแผลด้วยตนเอง แต่เป็นเพราะว่ามีบาดแผลอยู่บนแขนด้วย จึงต้องให้เธอช่วยเหลืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์ทำแผลบนร่างกายของเว่ยจือฉีและเป่ยกงถังเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าอ้วนชวีจึงค่อยคิดอะไรขึ้นมาได้แล้วมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างแปลกพิกล
“เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ มองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกสายตาของเจ้าอ้วนชวีมองจนประหม่าอยู่บ้าง
“โยวเย่ว์ พวกเราได้รับบาดเจ็บกันหมด แต่เจ้ากลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยนี่” เจ้าอ้วนชวีพูด
พอเอ่ยคำพูดนี้ออกมา เว่ยจือฉี เป่ยกงถัง และโอวหยางเฟยก็นึกขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน พวกเขาล้วนได้รับบาดเจ็บกันหมด แต่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่นิดเดียว!
“แค่กๆ เรื่องนี้…” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี จึงได้แต่แกล้งกระแอมกระไอ
“ฮ่าๆ ก่อนหน้านี้พวกเราก็ยังกังวลใจกันอยู่ตลอดว่าเจ้าเข้ามาภายในเทือกเขาแล้วอาจเกิดอันตรายได้ ที่แท้แล้วเจ้าต่างหากที่เป็นพวกคมในฝัก!” เว่ยจือฉีระเบิดเสียงหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“แหะๆ…” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูกของตัวเองพลางหัวเราะ
“เจ้าช่างแข็งแกร่งนัก” โอวหยางเฟยพูดพร้อมกับมองซือหม่าโยวเย่ว์
เขาค้นพบตั้งแต่ตอนต่อสู้แล้วว่าทุกครั้งที่ซือหม่าโยวเย่ว์สังหารหมาป่าเปลวอัคคีนั้นช่างรวดเร็วและแม่นยำ ถึงแม้ว่านางจะรู้จักจุดอ่อนของหมาป่าเปลวอัคคีก็จริง แต่นี่ก็มิอาจแยกจากพลังยุทธ์ของนางได้เลย
“ถึงอย่างไรข้าก็รู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มีบางอย่างผิดปกติ” เป่ยกงถังพูด
“เจ้าก็สัมผัสได้เหมือนกันหรือ” โอวหยางเฟยมองเป่ยกงถัง ดูเหมือนว่าคนที่สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจะมิใช่แค่เขาคนเดียวเท่านั้น
“มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองพวกเขาอย่างไม่เข้าใจ
“อะไรก็ไม่ปกติทั้งนั้นแหละ” เว่ยจือฉีพูด
“หา หมายถึงอะไรหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองท่าทางสับสนของเจ้าอ้วนชวีแล้วพูดว่า “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าการปรากฏตัวของคนผู้นั้นแปลกประหลาดเหลือเกิน”
“คนผู้นั้นมีอะไรแปลกประหลาดหรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์ส่งสายตาดูแคลนปราดหนึ่งไปให้เขา เธอพูดถึงขนาดนี้แล้วเจ้าคนผู้นี้ก็ยังไม่เข้าใจอีก!
“เจ้าอ้วน วันนี้เจ้าคนผู้นั้นดูเหมือนว่าจะมีพลังยุทธ์ใกล้เคียงกันกับพวกเราเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าอาจจะสู้พวกเรามิได้ แต่เขาจะมายังเทือกเขาผู่สั่วที่เต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้ตามลำพังได้อย่างไรกัน แล้วสหายของเขาเล่า” เว่ยจือฉีอธิบายอย่างอดทน
เจ้าอ้วนชวีกะพริบตาพลางพูดว่า “ฟังเจ้าพูดเช่นนี้แล้วก็ออกจะแปลกอยู่เหมือนกันนะ”
“ที่แปลกประหลาดน่ะมิใช่เพียงเท่านี้หรอกนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มน้อยๆ นัยน์ตามีประกายเยียบเย็นเคลื่อนผ่าน
…………………