สลับชะตา ชายามือสังหาร – ตอนที่ 80 ทำลายแผนการใหญ่

สลับชะตา ชายามือสังหาร

“นี่ คราวนี้พวกเราจับตัวสัตว์อสูรวิเศษมาได้มากแค่ไหนแล้วหรือ” บุรุษเคราดกยาวถึงช่วงเอวหนาคนหนึ่งเดินออกมาจากกระโจมพลางถามคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงกลางค่ายพักแรม “หัวหน้า พวกเราจับสัตว์อสูรวิเศษได้เกือบยี่สิบตนแล้วขอรับ สองตนในนั้นยังเป็นสัตว์อสูรทิพย์พูดได้อีกด้วย!” ชายสองคนยืนขึ้นพูด “หา มีเกือบยี่สิบตนแล้วหรือ” บุรุษเคราดกหนาผู้นั้นพูดอย่างตื่นเต้น “คราวนี้พวกเราจะรวยกันแล้ว ฮ่าๆๆ!” “หัวหน้า วิธีการของท่านช่างยอดเยี่ยมเสียจริง คนพวกนั้นพากันไปชิงสิ่งล้ำค่ากันหมด แต่พวกเรากลับคอยดักจับสัตว์อสูรวิเศษกันอยู่ที่นี่” “สัตว์อสูรวิเศษล้วนถูกสิ่งล้ำค่าดึงดูดไป ส่วนพวกที่ผ่านทางมาล้วนถูกยาล่อหลอกที่พวกเราโปรยเอาไว้ทำให้สูญเสียพลังการต่อสู้ไปแล้วถูกพวกเราจับกุมเอาไว้ได้ ถ้าหากขายสัตว์อสูรวิเศษพวกนี้ให้กับบรรดาร้านค้าเหล่านั้น คราวนี้พวกเราต้องรวยเละแน่!” สองคนนั้นถามหาความดีความชอบจากหัวหน้าของตน ทว่าหัวหน้าผู้นั้นกลับถลึงตาใส่พวกเขาแล้วพูดว่า “ขายให้กับบรรดาร้านค้าเหล่านั้นอะไรกัน ช่างโง่เง่านัก พวกเราจะขายพวกมันให้กับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรต่างหากเล่า!” “หา สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรอย่างนั้นหรือ” “เฮอะ เจ้าพวกโง่ดักดานทั้งสอง! ข้าคุยกับปรมาจารย์เก๋อเรียบร้อยแล้ว หากพวกเราขายสัตว์อสูรวิเศษให้กับพวกเขา สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็จะฝึกสัตว์อสูรวิเศษห้าตนให้กับพวกเราโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย” บุรุษเคราดกหนาพูด “จริงหรือ โอ้ สัตว์อสูรวิเศษที่ฝึกให้เชื่องแล้วห้าตนเชียวนะ!” สองคนนั้นร้องอย่างตื่นเต้นขึ้นมา “เจ้าสองคนเบาเสียงลงหน่อยสิ ถ้าหากผู้อื่นล่วงรู้เข้า ระวังข้าจะทำให้ขาพวกเจ้าพิการเสีย!” บุรุษเคราดกหนาพูดเสียงดุ “หึๆ ขอเพียงแค่มีสัตว์อสูรวิเศษที่ฝึกจนเชื่องก็ทำพันธสัญญาได้แล้ว ความตื่นเต้นของพวกเขานั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ” บุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์เขียวผู้หนึ่งออกมาจากกระโจมแล้วพูดยิ้มๆ “ปรมาจารย์มู่ ท่านออกมาทำไมหรือขอรับ” บุรุษเคราดกหนามองบุรุษอาภรณ์เขียวพลางเอ่ยขึ้น “ข้าออกมาดูสัตว์อสูรวิเศษที่เพิ่งจับได้เมื่อครู่สักหน่อยน่ะ” ปรมาจารย์มู่พูด “สองตนนี้ล้วนเป็นตัวที่เพิ่งจับได้เมื่อครู่ขอรับ” ชายคนหนึ่งยกกรงที่ใส่เจ้าคำรามน้อยและนกน้อยตัวนั้นเข้ามาพลางพูดขึ้น บุรุษเคราดกหนามองเจ้าคำรามน้อยและเจ้านกน้อยพลางขมวดคิ้วพูดว่า “เหตุใดคราวนี้จึงจับได้เพียงแค่สัตว์อสูรวิเศษเยี่ยงนี้สองตนเท่านั้นเองเล่า พวกมันใช่สัตว์อสูรวิเศษหรือไม่!” “หัวหน้าห่าว ท่านอย่าเพิ่งโมโหไป ถึงแม้จะไม่เคยพบเห็นสัตว์อสูรวิเศษสองตนนี้มาก่อน…” ปรมาจารย์มู่พูดพลางเบิกตากว้างมองเจ้านกน้อยแล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้นยินดีว่า “นี่คือวิหคสี่ปีกหรือ เป็น… เป็นวิหคสี่ปีกจริงๆ ด้วย!” ปรมาจารย์มู่เข้ามายังข้างกรงแล้วมองเจ้านกน้อยที่ไร้ชีวิตชีวาภายในกรงอย่างตื่นเต้น คิดจะเอื้อมมือไปสัมผัสมัน แต่ดูคล้ายว่าจะมีความลังเลใจอยู่บ้าง สุดท้ายก็กระโดดโลดเต้นไปรอบกรง “ปรมาจารย์มู่ เจ้าวิหคสี่ปีกนี่คือสัตว์อสูรวิเศษอะไรกันหรือ” เมื่อเห็นท่าทีของปรมาจารย์มู่ หัวหน้าห่าวกับลูกน้องของเขาต่างก็พากันมองเขาอย่างสงสัย “อะแฮ่ม” ปรมาจารย์มู่พูดพลางแกล้งวางท่าสงบนิ่ง “ข้าเองก็เคยเห็นวิหคสี่ปีกนี่เพียงแค่ในตำราเท่านั้น  มันเป็นเพียงแค่สัตว์อสูรวิเศษธรรมดาทั่วไปเท่านั้นเอง เอ๊ะ แล้วเจ้าตัวที่ดูเหมือนกระต่ายนี่มันสัตว์อสูรวิเศษอันใดกัน เหตุใดแม้กระทั่งข้าก็ยังไม่รู้จักเลยเล่า” เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เชื่อคำพูดของปรมาจารย์มู่เลย บอกว่าเคยเห็นเพียงแค่ในตำราเท่านั้น  แล้วจะเป็นสัตว์อสูรวิเศษธรรมดาทั่วไปได้อย่างไรกัน แต่เขาพูดเช่นนี้พวกเขาก็มิได้พูดอะไร ทว่าหัวหน้าห่าวกลับลอบส่งสายตาว่าเมื่อถึงเวลาขาย จะต้องเรียกราคาเจ้านกน้อยตนนี้ให้สูงหน่อยอย่างแน่นอน “ปรมาจารย์มู่ ข้าดูแล้วเหมือนจะมิใช่สัตว์อสูรวิเศษแต่อย่างใด คงเป็นกระต่ายตัวหนึ่งนั่นแหละ” ลูกน้องคนหนึ่งพูด “ข้าก็รู้สึกว่าเหมือนกระต่ายเช่นกัน” มีคนพูดอย่างเห็นด้วย “นี่จะเป็นกระต่ายตนหนึ่งไปได้อย่างไรเล่า!” ปรมาจารย์มู่ส่ายหน้าพูด “สามารถอยู่กับวิหคสี่ปีกได้ ก็จะต้องมิใช่สัตว์อสูรวิเศษธรรมดาๆ อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้มันอยู่ในสภาพร่างจำแลง รอให้ข้าได้เห็นร่างจริงของมันแล้วอาจจะรู้จักก็ได้นะ” ขณะนี้เอง คนอื่นๆ อีกสิบกว่าคนก็เดินออกมาจากในป่า ทั้งยังพูดคุยหัวเราะกันตลอดทาง “หัวหน้า ท่านดูสิ พวกเราจับสัตว์อสูรทิพย์ได้อีกตนหนึ่งแล้วนะ!” ชายหนุ่มวัยเยาว์ผู้หนึ่งยกกรงอันหนึ่งเดินกลับเข้ามา สิ่งที่ถูกขังอยู่ในกรงคือสัตว์อสูรทิพย์เสือดำขั้นหนี่ง “หัวหน้า ยาที่ท่านมอบให้พวกเราช่างมีประโยชน์เหลือเกิน เมื่อครู่เจ้านี่ยังดุร้ายยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าพอดมยานั่นเข้าไปก็กลายเป็นร่างจำแลงจนมีรูปลักษณ์เช่นนี้ ยอมให้พวกเราจับตัวมาได้” “ฮ่าๆ ปรมาจารย์มู่ ดูท่าคราวนี้พวกเราจะได้ผลตอบแทนคุ้มค่ายิ่งนัก!” หัวหน้าห่าวหัวเราะเสียงดัง ดูคล้ายว่าจะจับสัตว์อสูรทิพย์ได้อีกตนแล้ว ปรมาจารย์มู่ยิ้มเสียจนหน้าบานราวกับดอกเบญจมาศแล้วเอ่ยว่า “ไม่เลว ไม่เลวเลยนะ” “หัวหน้า พวกเราพบเจ้าตัวเล็กนี่เข้าระหว่างทาง” คนเหล่านั้นดันตัวคนผู้หนึ่งขึ้นมาจากด้านหลัง พวกซือหม่าโยวเย่ว์มองดู คนที่ถูกมัดตัวเอาไว้คือคนที่พวกเขารู้จักคุ้นเคย “ชิงอู๋หยา เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน” เจ้าอ้วนชวีพูด “ห่าวโหย่วไฉ เจ้าถึงกับละเมิดข้อตกลงระหว่างมนุษย์ ใช้ยาล่าสังหารสัตว์อสูรวิเศษจำนวนมาก!” ชิงอู๋หยาถลึงตาใส่ห่าวโหย่วไฉพลางเอ่ยอย่างเดือดดาล “อ้าว นี่มิใช่หัวหน้ากลุ่มชิงซานหรอกหรือ เจ้าไม่คอยรับภารกิจกระจอกๆ อยู่ที่เมืองเหยียนล่ะ วิ่งเข้ามาทำอะไรที่พื้นที่ชั้นในนี่เล่า” เห็นได้ชัดว่าห่าวโหย่วไฉรู้จักกับชิงอู๋หยา นอกจากนี้ดูจากน้ำเสียงที่เขาพูดแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างทหารรับจ้างทั้งสองกลุ่มดูจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก “สมควรตาย พวกเขาบังอาจทำเช่นนี้กับสัตว์อสูรวิเศษได้!” เว่ยจือฉีได้ยินคำพูดของชิงอู๋หยาแล้วก็โมโหจนแทบจะพุ่งตัวเข้าไปในทันที แต่ถูกซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวเอาไว้ก่อน “ตอนนี้พวกเขาอยู่กันเยอะแยะ ทั้งยังมิอาจเรียกตัวสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของพวกเราออกมาได้ในตอนนี้ด้วย ก็ได้แต่อาศัยพวกเรากันเองนี่แหละ จะสู้กับพวกเขาอย่างไรดี นอกจากนี้พลังยุทธ์ของพวกเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าพวกเราอยู่มากอีกด้วย!” “แต่ว่า…” “จือฉี เจ้าอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปเลยนะ โยวเย่ว์พูดเช่นนี้ จะต้องคิดวิธีแก้ไขได้แน่ เจ้าคำรามน้อยยังอยู่ในเงื้อมมือพวกเขาอยู่นะ” เจ้าอ้วนชวีพูดปลอบประโลม “จือฉี เหตุใดเจ้าจึงเดือดดาลเช่นนี้เล่า” โอวหยางเฟยมองเว่ยจือฉี ในใจเกิดความสงสัยอยู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้เห็นเจ้านี่สุภาพอ่อนโยน แต่ตอนนี้กลับเดือดดาลถึงเพียงนี้เสียอย่างนั้น “ใช่แล้ว จือฉี เหตุใดเจ้าจึงเดือดดาลเช่นนี้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน “ข้าเป็นนักฝึกสัตว์อสูร สัตว์อสูรวิเศษทุกตัวล้วนเป็นสหายของข้าทั้งสิ้น ใช้ยาล่อหลอกมาล่อลวงดักจับสัตว์อสูรวิเศษ คนเช่นนี้คือศัตรูของทั้งโลกนักฝึกสัตว์อสูร!” เว่ยจือฉีพูด เขาถูกคนในครอบครัวปลูกฝังความคิดมาตั้งแต่เล็กว่าสัตว์อสูรวิเศษคือเพื่อน มีเพียงคนที่เลี้ยงดูสัตว์อสูรวิเศษเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกสัตว์อสูรวิเศษระดับสูงให้เชื่องได้ นอกจากนี้เว่ยจือฉียังสื่อสารกับสัตว์อสูรวิเศษมาตั้งแต่เด็ก จึงเคยชินกับการให้สัตว์อสูรวิเศษเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตนไปเสียแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าพวกเขาใช้วิธีการเช่นนี้ในการจับสัตว์อสูรวิเศษเกือบยี่สิบตัว เขาจึงเดือดดาลไม่น้อยเลยทีเดียว “โยวเย่ว์ ตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรกันดี” เป่ยกงถังเอ่ยปากถามอย่างหาได้ยากยิ่ง เห็นได้ชัดว่าตอนนี้นางคุ้นชินกับคนกลุ่มนี้แล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยที่อยู่ในกรงแล้วพูดว่า “พวกเขามีจำนวนคนมาก ตอนนี้พวกเรามิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ประเด็นหลักในตอนนี้คือต้องหาให้ได้ว่ายาที่พวกเขาใช้คือยาอะไร ในเมื่อนั่นคือยาล่อหลอกชนิดหนึ่งที่ใช้ในอากาศ ยาถอนพิษก็ต้องสามารถแพร่กระจายไปในอากาศได้เช่นเดียวกัน ขอเพียงแค่ถอนพิษยาล่อหลอกได้ ด้วยอุปนิสัยของสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นแล้วก็ต้องมิใช่เรื่องดีสำหรับเจ้าพวกนั้นแน่นอน” “แต่อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้ พวกเราก็คงไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่พวกเขาใช้คือยาอะไร” เจ้าอ้วนชวีพูด “มีสิ!” เว่ยจือฉีพูด “มีหญ้าชนิดหนึ่งชื่อว่าหญ้าม่วงขม หญ้าชนิดนี้สามารถทำให้สัตว์อสูรวิเศษหงุดหงิดขึ้นมาได้ เพิ่มการไหลเวียนโลหิตของสัตว์อสูรวิเศษ สามารถเรียกได้ว่าเป็นยาถอนพิษของยาล่อหลอก ทั้งหมดทั้งมวล ขอเพียงแค่หาหญ้าม่วงขมมาได้ ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ยาล่อหลอกชนิดได้ก็ล้วนได้ผลทั้งสิ้น” “แต่ตอนนี้จะไปหาหญ้าม่วงขมมาจากไหนกันเล่า” โอวหยางเฟยขมวดคิ้ว ………………

“นี่ คราวนี้พวกเราจับตัวสัตว์อสูรวิเศษมาได้มากแค่ไหนแล้วหรือ” บุรุษเคราดกยาวถึงช่วงเอวหนาคนหนึ่งเดินออกมาจากกระโจมพลางถามคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงกลางค่ายพักแรม

“หัวหน้า พวกเราจับสัตว์อสูรวิเศษได้เกือบยี่สิบตนแล้วขอรับ สองตนในนั้นยังเป็นสัตว์อสูรทิพย์พูดได้อีกด้วย!” ชายสองคนยืนขึ้นพูด

“หา มีเกือบยี่สิบตนแล้วหรือ” บุรุษเคราดกหนาผู้นั้นพูดอย่างตื่นเต้น “คราวนี้พวกเราจะรวยกันแล้ว ฮ่าๆๆ!”

“หัวหน้า วิธีการของท่านช่างยอดเยี่ยมเสียจริง คนพวกนั้นพากันไปชิงสิ่งล้ำค่ากันหมด แต่พวกเรากลับคอยดักจับสัตว์อสูรวิเศษกันอยู่ที่นี่”

“สัตว์อสูรวิเศษล้วนถูกสิ่งล้ำค่าดึงดูดไป ส่วนพวกที่ผ่านทางมาล้วนถูกยาล่อหลอกที่พวกเราโปรยเอาไว้ทำให้สูญเสียพลังการต่อสู้ไปแล้วถูกพวกเราจับกุมเอาไว้ได้ ถ้าหากขายสัตว์อสูรวิเศษพวกนี้ให้กับบรรดาร้านค้าเหล่านั้น คราวนี้พวกเราต้องรวยเละแน่!”

สองคนนั้นถามหาความดีความชอบจากหัวหน้าของตน ทว่าหัวหน้าผู้นั้นกลับถลึงตาใส่พวกเขาแล้วพูดว่า “ขายให้กับบรรดาร้านค้าเหล่านั้นอะไรกัน ช่างโง่เง่านัก พวกเราจะขายพวกมันให้กับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรต่างหากเล่า!”

“หา สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรอย่างนั้นหรือ”

“เฮอะ เจ้าพวกโง่ดักดานทั้งสอง! ข้าคุยกับปรมาจารย์เก๋อเรียบร้อยแล้ว หากพวกเราขายสัตว์อสูรวิเศษให้กับพวกเขา สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็จะฝึกสัตว์อสูรวิเศษห้าตนให้กับพวกเราโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย” บุรุษเคราดกหนาพูด

“จริงหรือ โอ้ สัตว์อสูรวิเศษที่ฝึกให้เชื่องแล้วห้าตนเชียวนะ!” สองคนนั้นร้องอย่างตื่นเต้นขึ้นมา

“เจ้าสองคนเบาเสียงลงหน่อยสิ ถ้าหากผู้อื่นล่วงรู้เข้า ระวังข้าจะทำให้ขาพวกเจ้าพิการเสีย!” บุรุษเคราดกหนาพูดเสียงดุ

“หึๆ ขอเพียงแค่มีสัตว์อสูรวิเศษที่ฝึกจนเชื่องก็ทำพันธสัญญาได้แล้ว ความตื่นเต้นของพวกเขานั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ” บุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์เขียวผู้หนึ่งออกมาจากกระโจมแล้วพูดยิ้มๆ

“ปรมาจารย์มู่ ท่านออกมาทำไมหรือขอรับ” บุรุษเคราดกหนามองบุรุษอาภรณ์เขียวพลางเอ่ยขึ้น

“ข้าออกมาดูสัตว์อสูรวิเศษที่เพิ่งจับได้เมื่อครู่สักหน่อยน่ะ” ปรมาจารย์มู่พูด

“สองตนนี้ล้วนเป็นตัวที่เพิ่งจับได้เมื่อครู่ขอรับ” ชายคนหนึ่งยกกรงที่ใส่เจ้าคำรามน้อยและนกน้อยตัวนั้นเข้ามาพลางพูดขึ้น

บุรุษเคราดกหนามองเจ้าคำรามน้อยและเจ้านกน้อยพลางขมวดคิ้วพูดว่า “เหตุใดคราวนี้จึงจับได้เพียงแค่สัตว์อสูรวิเศษเยี่ยงนี้สองตนเท่านั้นเองเล่า พวกมันใช่สัตว์อสูรวิเศษหรือไม่!”

“หัวหน้าห่าว ท่านอย่าเพิ่งโมโหไป ถึงแม้จะไม่เคยพบเห็นสัตว์อสูรวิเศษสองตนนี้มาก่อน…” ปรมาจารย์มู่พูดพลางเบิกตากว้างมองเจ้านกน้อยแล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้นยินดีว่า “นี่คือวิหคสี่ปีกหรือ เป็น… เป็นวิหคสี่ปีกจริงๆ ด้วย!”

ปรมาจารย์มู่เข้ามายังข้างกรงแล้วมองเจ้านกน้อยที่ไร้ชีวิตชีวาภายในกรงอย่างตื่นเต้น คิดจะเอื้อมมือไปสัมผัสมัน แต่ดูคล้ายว่าจะมีความลังเลใจอยู่บ้าง สุดท้ายก็กระโดดโลดเต้นไปรอบกรง

“ปรมาจารย์มู่ เจ้าวิหคสี่ปีกนี่คือสัตว์อสูรวิเศษอะไรกันหรือ” เมื่อเห็นท่าทีของปรมาจารย์มู่ หัวหน้าห่าวกับลูกน้องของเขาต่างก็พากันมองเขาอย่างสงสัย

“อะแฮ่ม” ปรมาจารย์มู่พูดพลางแกล้งวางท่าสงบนิ่ง “ข้าเองก็เคยเห็นวิหคสี่ปีกนี่เพียงแค่ในตำราเท่านั้น  มันเป็นเพียงแค่สัตว์อสูรวิเศษธรรมดาทั่วไปเท่านั้นเอง เอ๊ะ แล้วเจ้าตัวที่ดูเหมือนกระต่ายนี่มันสัตว์อสูรวิเศษอันใดกัน เหตุใดแม้กระทั่งข้าก็ยังไม่รู้จักเลยเล่า”

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เชื่อคำพูดของปรมาจารย์มู่เลย บอกว่าเคยเห็นเพียงแค่ในตำราเท่านั้น  แล้วจะเป็นสัตว์อสูรวิเศษธรรมดาทั่วไปได้อย่างไรกัน แต่เขาพูดเช่นนี้พวกเขาก็มิได้พูดอะไร ทว่าหัวหน้าห่าวกลับลอบส่งสายตาว่าเมื่อถึงเวลาขาย จะต้องเรียกราคาเจ้านกน้อยตนนี้ให้สูงหน่อยอย่างแน่นอน

“ปรมาจารย์มู่ ข้าดูแล้วเหมือนจะมิใช่สัตว์อสูรวิเศษแต่อย่างใด คงเป็นกระต่ายตัวหนึ่งนั่นแหละ” ลูกน้องคนหนึ่งพูด

“ข้าก็รู้สึกว่าเหมือนกระต่ายเช่นกัน” มีคนพูดอย่างเห็นด้วย

“นี่จะเป็นกระต่ายตนหนึ่งไปได้อย่างไรเล่า!” ปรมาจารย์มู่ส่ายหน้าพูด “สามารถอยู่กับวิหคสี่ปีกได้ ก็จะต้องมิใช่สัตว์อสูรวิเศษธรรมดาๆ อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้มันอยู่ในสภาพร่างจำแลง รอให้ข้าได้เห็นร่างจริงของมันแล้วอาจจะรู้จักก็ได้นะ”

ขณะนี้เอง คนอื่นๆ อีกสิบกว่าคนก็เดินออกมาจากในป่า ทั้งยังพูดคุยหัวเราะกันตลอดทาง

“หัวหน้า ท่านดูสิ พวกเราจับสัตว์อสูรทิพย์ได้อีกตนหนึ่งแล้วนะ!” ชายหนุ่มวัยเยาว์ผู้หนึ่งยกกรงอันหนึ่งเดินกลับเข้ามา สิ่งที่ถูกขังอยู่ในกรงคือสัตว์อสูรทิพย์เสือดำขั้นหนี่ง

“หัวหน้า ยาที่ท่านมอบให้พวกเราช่างมีประโยชน์เหลือเกิน เมื่อครู่เจ้านี่ยังดุร้ายยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าพอดมยานั่นเข้าไปก็กลายเป็นร่างจำแลงจนมีรูปลักษณ์เช่นนี้ ยอมให้พวกเราจับตัวมาได้”

“ฮ่าๆ ปรมาจารย์มู่ ดูท่าคราวนี้พวกเราจะได้ผลตอบแทนคุ้มค่ายิ่งนัก!” หัวหน้าห่าวหัวเราะเสียงดัง

ดูคล้ายว่าจะจับสัตว์อสูรทิพย์ได้อีกตนแล้ว ปรมาจารย์มู่ยิ้มเสียจนหน้าบานราวกับดอกเบญจมาศแล้วเอ่ยว่า “ไม่เลว ไม่เลวเลยนะ”

“หัวหน้า พวกเราพบเจ้าตัวเล็กนี่เข้าระหว่างทาง” คนเหล่านั้นดันตัวคนผู้หนึ่งขึ้นมาจากด้านหลัง พวกซือหม่าโยวเย่ว์มองดู คนที่ถูกมัดตัวเอาไว้คือคนที่พวกเขารู้จักคุ้นเคย

“ชิงอู๋หยา เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ห่าวโหย่วไฉ เจ้าถึงกับละเมิดข้อตกลงระหว่างมนุษย์ ใช้ยาล่าสังหารสัตว์อสูรวิเศษจำนวนมาก!” ชิงอู๋หยาถลึงตาใส่ห่าวโหย่วไฉพลางเอ่ยอย่างเดือดดาล

“อ้าว นี่มิใช่หัวหน้ากลุ่มชิงซานหรอกหรือ เจ้าไม่คอยรับภารกิจกระจอกๆ อยู่ที่เมืองเหยียนล่ะ วิ่งเข้ามาทำอะไรที่พื้นที่ชั้นในนี่เล่า” เห็นได้ชัดว่าห่าวโหย่วไฉรู้จักกับชิงอู๋หยา นอกจากนี้ดูจากน้ำเสียงที่เขาพูดแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างทหารรับจ้างทั้งสองกลุ่มดูจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก

“สมควรตาย พวกเขาบังอาจทำเช่นนี้กับสัตว์อสูรวิเศษได้!” เว่ยจือฉีได้ยินคำพูดของชิงอู๋หยาแล้วก็โมโหจนแทบจะพุ่งตัวเข้าไปในทันที แต่ถูกซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวเอาไว้ก่อน

“ตอนนี้พวกเขาอยู่กันเยอะแยะ ทั้งยังมิอาจเรียกตัวสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของพวกเราออกมาได้ในตอนนี้ด้วย ก็ได้แต่อาศัยพวกเรากันเองนี่แหละ จะสู้กับพวกเขาอย่างไรดี นอกจากนี้พลังยุทธ์ของพวกเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าพวกเราอยู่มากอีกด้วย!”

“แต่ว่า…”

“จือฉี เจ้าอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปเลยนะ โยวเย่ว์พูดเช่นนี้ จะต้องคิดวิธีแก้ไขได้แน่ เจ้าคำรามน้อยยังอยู่ในเงื้อมมือพวกเขาอยู่นะ” เจ้าอ้วนชวีพูดปลอบประโลม

“จือฉี เหตุใดเจ้าจึงเดือดดาลเช่นนี้เล่า” โอวหยางเฟยมองเว่ยจือฉี ในใจเกิดความสงสัยอยู่ไม่น้อย

ก่อนหน้านี้เห็นเจ้านี่สุภาพอ่อนโยน แต่ตอนนี้กลับเดือดดาลถึงเพียงนี้เสียอย่างนั้น

“ใช่แล้ว จือฉี เหตุใดเจ้าจึงเดือดดาลเช่นนี้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

“ข้าเป็นนักฝึกสัตว์อสูร สัตว์อสูรวิเศษทุกตัวล้วนเป็นสหายของข้าทั้งสิ้น ใช้ยาล่อหลอกมาล่อลวงดักจับสัตว์อสูรวิเศษ คนเช่นนี้คือศัตรูของทั้งโลกนักฝึกสัตว์อสูร!” เว่ยจือฉีพูด

เขาถูกคนในครอบครัวปลูกฝังความคิดมาตั้งแต่เล็กว่าสัตว์อสูรวิเศษคือเพื่อน มีเพียงคนที่เลี้ยงดูสัตว์อสูรวิเศษเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกสัตว์อสูรวิเศษระดับสูงให้เชื่องได้

นอกจากนี้เว่ยจือฉียังสื่อสารกับสัตว์อสูรวิเศษมาตั้งแต่เด็ก จึงเคยชินกับการให้สัตว์อสูรวิเศษเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตนไปเสียแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าพวกเขาใช้วิธีการเช่นนี้ในการจับสัตว์อสูรวิเศษเกือบยี่สิบตัว เขาจึงเดือดดาลไม่น้อยเลยทีเดียว

“โยวเย่ว์ ตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรกันดี” เป่ยกงถังเอ่ยปากถามอย่างหาได้ยากยิ่ง เห็นได้ชัดว่าตอนนี้นางคุ้นชินกับคนกลุ่มนี้แล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยที่อยู่ในกรงแล้วพูดว่า “พวกเขามีจำนวนคนมาก ตอนนี้พวกเรามิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ประเด็นหลักในตอนนี้คือต้องหาให้ได้ว่ายาที่พวกเขาใช้คือยาอะไร ในเมื่อนั่นคือยาล่อหลอกชนิดหนึ่งที่ใช้ในอากาศ ยาถอนพิษก็ต้องสามารถแพร่กระจายไปในอากาศได้เช่นเดียวกัน ขอเพียงแค่ถอนพิษยาล่อหลอกได้ ด้วยอุปนิสัยของสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นแล้วก็ต้องมิใช่เรื่องดีสำหรับเจ้าพวกนั้นแน่นอน”

“แต่อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้ พวกเราก็คงไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่พวกเขาใช้คือยาอะไร” เจ้าอ้วนชวีพูด

“มีสิ!” เว่ยจือฉีพูด “มีหญ้าชนิดหนึ่งชื่อว่าหญ้าม่วงขม หญ้าชนิดนี้สามารถทำให้สัตว์อสูรวิเศษหงุดหงิดขึ้นมาได้ เพิ่มการไหลเวียนโลหิตของสัตว์อสูรวิเศษ สามารถเรียกได้ว่าเป็นยาถอนพิษของยาล่อหลอก ทั้งหมดทั้งมวล ขอเพียงแค่หาหญ้าม่วงขมมาได้ ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ยาล่อหลอกชนิดได้ก็ล้วนได้ผลทั้งสิ้น”

“แต่ตอนนี้จะไปหาหญ้าม่วงขมมาจากไหนกันเล่า” โอวหยางเฟยขมวดคิ้ว

………………

สลับชะตา ชายามือสังหาร

สลับชะตา ชายามือสังหาร

Status: Ongoing
เมื่อ ซือหม่าโยวเย่ว์ นักฆ่าสาวจากยุคปัจจุบันตายลง วิญญาณกลับมาเข้าร่างคุณชายห้าแห่งจวนแม่ทัพใหญ่ที่ถูกตราหน้าว่าเป็น ‘คนไร้ค่า’ ผู้ชมชอบไม้ป่าเดียวกัน! เพื่อบรรลุเป้าหมายที่เจ้าของร่างเดิมไหว้วานไว้นางจึงต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่งของโลกใบนี้ โลกที่ตัดสินกันด้วยพลังบำเพ็ญ! ถอนพิษในร่าง ฝึกวิชา แก้แค้นและตามหาบิดามารดาของร่างนี้ ในขณะที่นางมาถึงโลกนี้บางสิ่งที่หลับใหลในร่างของนางกลับ ‘ตื่นขึ้น’ พร้อมความฝันประหลาดที่เอ่ยถึงชื่อ ซีเหมินโยวเย่ว์ ความรู้สึกนั้นช่างสมจริงจนยากจะเชื่อว่าเป็นเพียงความฝันจนนางเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่า สิ่งที่ตนเห็นนั้นเป็นเพียงอดีตหรือความทรงจำที่ถูกปิดผนึกเอาไว้กันแน่…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน