“เจ้าบอกว่าวิหคสี่ปีกมีสายโลหิตวิหคยักษ์โบราณอยู่ วิหคยักษ์โบราณนั่นคือสัตว์อสูรวิเศษอะไรหรือ”
เจ้าคำรามน้อยกลอกตาใส่เธอทีหนึ่ง ท่าทางนั้นราวกับชาวเมืองมองดูคนบ้านนอก
“สัตว์อสูรวิเศษอะไรกัน นั่นคือสัตว์อสูรเทพต่างหากเล่า!” เจ้าคำรามน้อยพูด “ในสมัยโบราณยังร้ายกาจกว่าพวกเราคำรามเทพอยู่ขั้นหนึ่งเสียด้วยซ้ำ! บรรดามนุษย์อย่างพวกเจ้าก็มีคำกล่าวที่ว่าวิหคยักษ์สยายปีกเก้าหมื่นลี้อยู่ด้วยมิใช่หรือ ถึงแม้ว่านี่ออกจะเกินจริงไปบ้าง แต่ความเร็วนั้นมิใช่สิ่งที่เหล่าสัตว์ปีกที่เป็นสัตว์อสูรเทพทั้งหลายจะเทียบเคียงได้เลย นอกจากนี้พลังการต่อสู้ก็ยังสุดยอดอีกด้วย ถ้าหาก เจ้าวิหคน้อยตื่นรู้สายโลหิตได้ เช่นนั้นก็นับว่าเจ้าได้ผู้ช่วยดีๆ มาตนหนึ่งแล้วล่ะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูนกน้อยในอุ้งมือ ยากนักที่จะจินตนาการได้ว่าเจ้านี่จะเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่มีสายโลหิตสัตว์อสูรเทพโบราณอยู่ในตัว
“นอกจากนี้ข้ายังจะบอกเจ้าไว้ด้วยว่าถึงแม้เจ้าวิหคน้อยนี่จะดูไม่เท่าไหร่นัก แต่ด้วยสายตาอันเฉียบแหลมของข้า ต่อให้สายโลหิตของเขาไม่ตื่นรู้ เมื่อมันเติบใหญ่แล้วก็จะเป็นราชันวิหคสี่ปีก เท่าที่ข้ารู้ วิหคสี่ปีกไม่มีราชันปรากฏขึ้นมาเป็นเวลายาวนานแล้ว” เจ้าคำรามน้อยพูดอย่างมีลับลมคมใน
เมื่อได้ฟังว่าเจ้านกน้อยที่หมดสติมาหนึ่งวันหนึ่งคืนยังมีตัวตนเช่นนี้ด้วย ในใจของซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยิ่งทวีความสงสัยว่าเจ้าคำรามน้อยไปหลอกสัตว์อสูรวิเศษเช่นนี้มาได้อย่างไรกัน
“เหตุใดมันจึงยังหมดสติอยู่อีกเล่า”
“คาดว่าคงเป็นผลข้างเคียงจากยาล่อหลอกก่อนหน้านี้กระมัง”
ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงแววสีแดงฉานในดวงตาของวิหคสี่ปีกก่อนหน้านี้ขึ้นมา คาดว่าจะต้องมีความเกี่ยวโยงกับสิ่งนั้นจริงๆ
“แล้วมันยังคงหลับใหลอยู่อย่างนี้ พอถึงเวลาที่ผลอสรพิษทองคำสุกแล้ว มันก็คงไม่ได้ช่วยอะไรมากน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยอย่างจนใจ
“เรื่องนี้…ฮ่า มันฟื้นแล้วล่ะ!” เจ้าคำรามน้อยพูดอย่างยินดี
วิหคสี่ปีกคือผู้ช่วยที่มันตั้งใจหามา ถ้าหากหลับใหลอยู่ตลอดเช่นนี้มันก็มิได้เสียแรงเปล่าหรอกหรือ ดังนั้นเมื่อสัมผัสได้ว่าวิหคสี่ปีกฟื้นแล้ว มันจึงดีใจไม่น้อย
เปลือกตาที่ปิดสนิทของวิหคสี่ปีกค่อยๆ เปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่ามีคนอยู่ แววตาที่หม่นมัวก็แจ่มชัดขึ้นมาในทันที แพขนบนร่างก็ตั้งชันขึ้นมา เมื่อจำได้ว่าเป็นซือหม่าโยวเย่ว์ ร่างกายจึงค่อยผ่อนคลายลง
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือพวกเรา” วิหคสี่ปีกกระพือปีกพลางเอ่ยขึ้น
“ไม่ลำบากอะไรหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าไม่เป็นไรแล้วละ” วิหคสี่ปีกพูด “ตอนนี้ท่านจะทำพันธสัญญากับข้าหรือไม่”
“หา” ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าวิหคสี่ปีกจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ เธอสะดุ้งก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้ามิอาจทำพันธสัญญากับเจ้าได้ ข้าถึงขีดจำกัดการทำพันธสัญญาแล้ว ตอนนี้มิอาจทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษเพิ่มได้อีก”
“อ้อ” วิหคสี่ปีกพยักหน้าอย่างสงบเสงี่ยมแล้วพูดว่า “เจ้าคำรามน้อยบอกว่าท่านมีสถานที่แห่งหนึ่งไว้ใช้ฝึกยุทธ์ได้ หากบอกว่ามิอาจทำพันธสัญญาได้ ก็ไปฝึกยุทธ์อยู่ที่นั่นก่อน รอจนท่านทำพันธสัญญาได้แล้วค่อยทำพันธสัญญากับข้าก็ได้”
“เออ…” ซือหม่าโยวเย่ว์มองวิหคสี่ปีก “เจ้าเต็มใจจะติดตามข้าอย่างนั้นหรือ”
“อื้ม” วิหคสี่ปีกพยักหน้า
“เพราะเหตุใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจ
“สายโลหิตของเจ้าคำรามน้อยสูงส่งกว่าข้าเสียอีก มันบอกว่าติดตามเจ้าแล้วจะมีอนาคตที่ดี ข้าเชื่อสิ่งที่มันพูด” วิหคสี่ปีกพูดอย่างจริงจัง
ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกคำตอบของมันทำเอาตกใจราวกับสายฟ้าฟาด ที่เจ้าตัวน้อยนี่มามิใช่เพราะตนเอง หากแต่เป็นเพราะเจ้าคำรามน้อยจึงได้มาติดตามตน
ความคิดเธอวูบไหวคราหนึ่ง ทั้งเจ้าคำรามน้อยและวิหคสี่ปีกล้วนถูกเธอโยนเข้าไปในเจ้าวิญญาณน้อย
คู่หูพรรค์นี้มองไปแล้วก็บาดตาเปล่าๆ เก็บไปให้พ้นหูพ้นตาเสียดีกว่า
ทิวทัศน์เบื้องหน้าวิหคสี่ปีกเปลี่ยนไปในพริบตา ทำให้มันตกใจจนสะดุ้ง แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าคำรามน้อยก็อยู่ด้วยจึงค่อยคลายใจลง
“ที่นี่คืออาณาเขตของเย่ว์เย่ว์อย่างไรเล่า เจ้าหาพื้นที่ฝึกยุทธ์ได้ตามใจชอบเลยนะ” เจ้าคำรามน้อยพูด
เจ้าวิญญาณน้อยล่องลอยอยู่กลางอากาศพลางมองวิหคสี่ปีกแล้วพูดว่า “ที่นี่คือโลกของข้า ในเมื่อเจ้าเข้ามาแล้ว ต่อจากนี้เป็นสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของเจ้านายแล้วนะ อ้อ ถึงแม้ว่าเจ้าจะยังมิได้ทำพันธสัญญาก็ตาม เจ้าคำรามน้อย เจ้านายบอกให้เจ้าพาเจ้าวิหคน้อยไปดูรอบๆ ที่นี่ด้วย แนะนำเขาหน่อย”
พูดจบแล้วมันก็หายตัวไป ทิ้งเจ้าวิหคสี่ปีกที่ยังคงพรั่นพรึงอยู่เอาไว้
เจ้าคำรามน้อยบินเข้ามาแล้วพูดว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ข้ามิได้หลอกเจ้าเลยนะ”
เจ้าวิหคน้อยพยักหน้าแรงๆ พลางเอ่ยว่า “ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน ยังมีสถานที่เช่นนี้อยู่ด้วย ปราณวิญญาณของที่นี่เข้มข้นกว่าภายนอกมากนัก!”
“เอาล่ะ ตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปชมให้ทั่ว มีสถานที่บางแห่งที่พวกเรามิอาจเข้าไปเองตามใจชอบได้ มิฉะนั้นเย่ว์เย่ว์ต้องไม่ชอบใจแน่ ”เจ้าคำรามน้อยพูดจบแล้วก็พาตัวเจ้าวิหคน้อยชมภายในมณีวิญญาณ
ซือหม่าโยวเย่ว์ค่อยๆ เดินกลับไปยังข้างกายพวกเว่ยจือฉี เพราะสถานที่เล็กเกินไป พวกเขาจึงมิอาจตั้งกระโจมได้ ทั้งสี่คนนั่งสนทนากันอยู่ด้านหลังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง
“โยวเย่ว์ เจ้าไปนานขนาดนี้ คงจะถ่ายท้องจนโล่งเลยสินะ” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยล้อเลียนด้วยรอยยิ้ม
ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะ มิได้ตอบเขา
ทุกคนพบว่าเจ้านกน้อยในอ้อมกอดเธอไม่อยู่แล้ว พากันคิดว่ามันฟื้นขึ้นมาก็จากไปเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปนั่งลงข้างกายพวกเขา ก้อนหินก้อนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ ขนาดพอกำบังพวกเขาห้าคนได้พอดี อีกทั้งยังอยู่หลังพุ่มไม้ ตั้งอยู่ที่ริมผา พวกเขาทั้งห้านั่งเคียงบ่ากัน หากคนด้านนอกเดินผ่านโดยมิได้มองอย่างละเอียดก็ไม่มีทางค้นพบเงาร่างของพวกเขาได้
แต่พวกเขาเพียงแค่ยื่นศีรษะออกไปข้างนอกก็มองเห็นเหตุการณ์เบื้องล่างได้แล้ว
“อีกหนึ่งวันผลอสรพิษทองคำก็จะสุกแล้ว ตอนนี้สัตว์อสูรวิเศษข้างล่างก็ยิ่งมากขึ้น วันนี้ข้าเห็นสัตว์อสูรวิเศษระดับขั้นค่อนข้างสูงมาที่นี่เพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยเลย” เว่ยจือฉีพูด
“ชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย ตอนนี้หัวใจเต้นตึกตักๆ เลยทีเดียวล่ะ!” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางตบหน้าอกตนเองเบาๆ
“หากหัวใจเจ้าไม่เต้นเจ้าก็จบเห่แล้ว!” โอวหยางเฟยพูด
“พรืด…”
คิดไม่ถึงว่าโอวหยางเฟยจะพูดจาเช่นนี้กับเขาด้วย ทุกคนจึงพากันหัวเราะ
“มีคนมา!” เป่ยกงถังเอ่ยเตือน
ทุกคนเงียบเสียงลง มีพุ่มไม้สูงใหญ่กั้นอยู่ คนที่ผ่านทางมาข้างนอกจึงมองไม่เห็นพวกเขา
“ท่านพ่อ ข้าสงสัยว่าน้องชายจะถูกคนตระกูลซือหม่าสังหารจริงๆ!”
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังคนที่เอ่ยวาจาแล้วคิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนคุ้นเคย
น่าหลานเหอและน่าหลานหลานเดินอยู่ในป่าโดยที่มิได้สังเกตคนที่อยู่หลังพุ่มไม้เลย
“หลานเอ๋อร์ ฉีเอ๋อร์เพียงแค่หายสาบสูญไประยะหนึ่งเท่านั้นเอง เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาถูกคนตระกูลซือหม่าสังหารเสียแล้ว” น่าหลานเหอถาม “เจ้ามีเรื่องอันใดปิดบังข้าอยู่ใช่หรือไม่”
น่าหลานหลานกัดริมฝีปาก นัยน์ตาฉายแววดิ้นรน ในที่สุดความกังวลภายในใจก็เหนือกว่า จึงเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ตอนเช้าวันที่น้องชายหายตัวไป เขามาพบข้า บอกว่าคนไร้ค่าตระกูลซือหม่าผู้นั้นกลับมาบ้านแล้ว บอกว่าพอเช้าแล้วเขาจะกลับไปที่วิทยาลัย เขาจึงพาคนคุ้มกันไปบอกว่าจะไปคิดบัญชีกับเขา ลอบจัดการเขาอย่างเงียบๆ แต่คิดไม่ถึงว่าพอไปแล้วมิได้กลับมาอีกเลย ถึงอยู่ก็ไม่เห็นตัวคน ตายไปก็ไม่เห็นศพ ท่านว่านอกจากเขาจะถูกคนของตระกูลซือหม่าฆ่าแล้วจะยังมีความเป็นไปได้อันใดอีกเล่า!”
“เหลวไหล!” น่าหลานเหอเอ่ยเสียงดุ “เจ้าเพิ่งจะถูกขับออกจากวิทยาลัยมาหมาดๆ เหตุใดจึงกล้าไปก่อเรื่องอีก!”
“ท่านพ่อ ข้ามิได้ให้น้องชายไปเสียหน่อย ตอนนั้นข้าเตือนเขาแล้ว แต่เขาไม่ฟังข้าเลย” น่าหลานหลานพูดอย่างเศร้าโศก “ท่านพ่อ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญคือเรื่องนี้ น้องชายหายตัวไปได้เดือนเศษแล้ว พวกเราต้องไปถามหากับตระกูลซือหม่าหรือไม่”
“เฮอะ ถ้าหากตระกูลซือหม่ากล้าสังหารบุตรชายข้าจริงๆ ละก็ ตระกูลน่าหลานกับพวกมันก็มิอาจอยู่ร่วมโลกกันได้แล้ว!” น่าหลานเหอขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “รอให้พวกเราจัดการเรื่องชิงผลอสรพิษทองคำเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอกลับไปจะไปยังตระกูลซือหม่า!”
พวกเขาสองคนพูดพลางเดินจากไปไกล พวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งห้าคนจึงค่อยพ่นลมหายใจยาวออกมา ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงที่พวกเขาพูดว่าจะกลับไปหาเรื่องตระกูลซือหม่า พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นทุกคนจ้องมองตนอยู่
“พูดมาสิ เป็นเจ้าใช่หรือไม่”
……………………