ซือหม่าโยวหรานมีข้อสงสัยอยู่ในใจ แต่เรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์พูดเหล่านั้นก็เป็นความลับเล็กๆ ที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่รู้จริงๆ
แต่หากให้บอกว่าคนตรงหน้าผู้นี้เป็นน้องสาวของเขา เขาก็ยังรู้สึกแปลกพิกลอยู่ดี คนก่อนหน้ากับคนในตอนนี้เป็นคนละคนกันชัดๆ
“แต่เจ้ารู้วิชาแพทย์ได้อย่างไรกัน”
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินเขาถามเช่นนี้ก็รู้ว่าเขาเชื่อถือในตัวตนของเธอแล้ว จึงพูดว่า “ท่านปู่เคยบอกท่านเรื่องที่ในตัวข้ามีผนึกอยู่หรือไม่”
“ผนึกหรือ” ซือหม่าโยวหรานขมวดคิ้ว คล้ายกับว่าเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่เห็นเธอพูดเช่นนี้ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องเท็จ “นั่นมันเรื่องอันใดกัน”
ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่พลางพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ตอนที่ข้าคลอดนั้นมีความทรงจำของชาติก่อนติดมาด้วย แต่เป็นเพราะผนึกนั่นผนึกความทรงจำของข้าเอาไว้ ต่อมาเพราะได้รับบาดเจ็บ ผนึกจึงถูกคลายออก ข้าฟื้นฟูความทรงจำในชาติก่อนกลับมาได้แล้ว วิชาแพทย์นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าได้มาจากชาติก่อนนั่นเอง”
“ความทรงจำในชาติก่อนของเจ้าอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวหรานรู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง แต่นี่ก็เป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้แล้ว “มิน่าเล่า นิสัยใจคอของเจ้าจึงได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก อีกทั้งยังทำสิ่งที่ก่อนหน้านี้ทำไม่เป็นได้อีกด้วย เช่นนั้นชาติก่อนเจ้าเป็นเช่นไรหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงเรื่องที่ตนถูกมืออันดับสองขององค์กรวางแผนสังหารตอนอยู่บนโลก นึกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวปานหัวใจแหลกสลายของซีเหมินโยวเย่ว์ สีหน้าก็ออกจะไม่น่าดูอยู่บ้าง
เธอแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่สาม สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงความทรงจำในอดีต ล้วนเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วทั้งสิ้น อย่าไปพูดถึงมันเลยนะ”
ซือหม่าโยวหรานรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงเรื่องระทมทุกข์อันใดขึ้นมาจึงมิได้ซักถามต่อ ทั้งสองคนเงียบงันไป
“ท่านพี่สาม หากท่านอยากบอกเรื่องนี้กับพวกพี่ๆ ก็บอกเถิด ข้าก็ไม่ขอให้ท่านเก็บเป็นความลับหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดขึ้นมาเพราะไม่อยากนิ่งเงียบต่อไป
“ขอเพียงแค่เจ้ายังเป็นน้องห้าของพวกเรา เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญทั้งสิ้น” ซือหม่าโยวหรานอมยิ้มพูด
“ขอบคุณท่านมาก ท่านพี่สาม” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าโยวหรานพลางเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ
“ข้าเป็นพี่ชายของเจ้าก็ย่อมต้องปกป้องเจ้าอยู่แล้ว เจ้าพวกนั้นมิอาจค้นพบได้ก็เพราะว่าพวกเขาไม่ฉลาดเอง มิได้เป็นเพราะข้าไม่ยอมบอกพวกเขาเสียหน่อย”
“อืม ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านพี่สามเฉลียวฉลาดเป็นที่สุด!” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านพี่สาม ข้าอยากขอให้ท่านช่วยข้าสักเรื่องหนึ่งน่ะ”
“เรื่องใดหรือ” ซือหม่าโยวหรานถาม
“ข้าอยากกลับไปที่เทือกเขาผู่สั่วสักรอบหนึ่ง ท่านพาพวกเขากลับไปกันก่อนได้หรือไม่ ข้าเกรงว่าหากบอกท่านปู่แล้วเขาจะไม่ยอมให้ข้าไปน่ะสิ”
ซือหม่าโยวหรานเลิกคิ้ว “เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าบอกข้าแล้วข้าจะเห็นด้วยกับการไปของเจ้า เทือกเขาผู่สั่วอันตรายยิ่งนัก แล้วจะปล่อยเจ้าไปคนเดียวได้อย่างไรเล่า”
“ท่านพี่สาม ท่านลืมแล้วหรือว่าคราวก่อนข้าก็อยู่ที่เทือกเขาผู่สั่วเพียงคนเดียวตั้งหลายเดือน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้ามีธุระด่วนต้องไปจัดการ ท่านวางใจเถิด พอข้าออกมาแล้วก็จะกลับบ้านเอง”
“แต่ว่า…”
“ข้าไม่ใช่ตัวข้าในตอนนั้นอีกแล้ว ข้ามีความทรงจำของทั้งสองภพชาติ ไม่มีทางเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตกลงเช่นนี้แหละ ท่านพี่สาม ท่านคุยกับท่านปู่ให้ข้าด้วย ข้าขอตัวก่อน”
พอพูดจบเธอก็ยกเท้าวิ่งออกไปโดยไม่รอให้ซือหม่าโยวหรานตอบ
ซือหม่าโยวหรานมองดูซือหม่าโยวเย่ว์จากไปแล้วส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าเด็กนี่ นิสัยมุทะลุเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเลย!”
เขาเหลือบตามองไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งไปถึงถนนใหญ่พอดี เมื่อรู้สึกถึงสายตาของเขา เธอยังหันหน้ากลับมาโบกไม้โบกมือให้ด้วย
“ท่านพี่สาม อย่าลืมว่าต้องช่วยปิดเป็นความลับด้วยล่ะ!”
พอพูดจบเธอยังทำสัญลักษณ์มือในอากาศด้วย
ซือหม่าโยวหรานไม่ได้ตอบเธอ แต่ในใจกลับวางแผนว่ากลับไปแล้วจะอธิบายกับซือหม่าเลี่ยอย่างไรดี ในเมื่อเธอบอกว่าต้องเก็บเป็นความลับ ก็แสดงว่าไม่อยากให้ทุกคนรู้ว่าเธอไปที่เทือกเขาผู่สั่ว
เมื่อนึกถึงสัญลักษณ์มือที่ซือหม่าโยวเย่ว์ทำเมื่อครู่ ความเชื่อถือที่ซือหม่าโยวหรานมีต่อนางก็เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง ท่าทางนั้นเป็นท่าที่ทั้งสองคนมักจะทำทุกครั้งที่ขอให้อีกฝ่ายรักษาความลับ นางทำมันออกมาในขณะที่ไม่ได้ตั้งใจ แสดงให้เห็นว่านางคือน้องสาวของเขาจริงๆ ไม่ใช่ผู้อื่นปลอมตัวมา!
แม้เขาจะฉลาดถึงเพียงนี้ ก็ยังคิดไม่ถึงเรื่องวิญญาณใหม่มาเข้าร่างแทนอยู่ดี ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เห็นตระกูลซือหม่าเป็นบ้านของตัวเองจากใจจริง เห็นพวกเขาเป็นครอบครัวของตัวเอง เห็นตัวเองเป็นซือหม่าโยวเย่ว์จริงๆ
“เฮ้อ… ช่างเป็นเจ้าตัวน้อยที่ซุกซนเสียจริง” เขารำพึงคำหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นจากไป ฝีเท้าเบากว่าตอนขามามากมายนัก
ซือหม่าโยวเย่ว์ออกไปจากเมืองแล้วเรียกตัวย่ากวงออกมา ให้มันพาตนไปยังเทือกเขาผู่สั่ว เธอไม่รู้ว่าซือหม่าโยวหรานจะใช้ข้อแก้ตัวอันใด แต่เธอเชื่อว่าเขาต้องพาพวกซือหม่าเลี่ยกลับไปได้อย่างแน่นอน
ความเร็วของย่ากวงไม่น้อยเลย ทำให้เธอกลับมาถึงเทือกเขาผู่สั่วอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
เป้าหมายของเธอในคราวนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง ซึ่งก็คือการมาจับสัตว์อสูรวิเศษ เพราะไม่รู้ว่าเธอทำให้สัตว์อสูรวิเศษเชื่องได้ถึงระดับใด ดังนั้นเธอจึงเริ่มต้นจากการฝึกสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำก่อน
เธออ่านเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรหลายรอบ จดจำวิธีการและข้อควรระวังที่เขียนอยู่ในนั้นเอาไว้ในสมองจนหมด หลังจากนั้นจึงให้ย่ากวงและเจ้าคำรามน้อยไปจับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นต่ำตนหนึ่งมา
ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรเป็นครั้งแรก ในใจจึงยังมีความสับสนยุ่งเหยิงอยู่บ้าง สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำตนนั้นขนาดไม่ใหญ่นัก มันหมอบลงบนพื้นเสียงดังสวบสาบด้วยแรงกดดันของย่ากวงและเจ้าคำรามน้อย
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปวางมือลงบนหัวของมัน หลังจากนั้นจึงทำตามวิธีที่บอกไว้ในเคล็ดควบคุมสัตว์อสูร โคจรพลังวิญญาณในร่างกาย พยายามสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสัตว์อสูรวิเศษขึ้นมา
ย่ากวงและเจ้าคำรามน้อยดูอยู่ข้างๆ เพราะไม่กล้าส่งเสียงรบกวนเธอ ดังนั้นจึงได้แต่ติดต่อโดยใช้สายสัมพันธ์แห่งพันธสัญญา
“เจ้าคำรามน้อย ตอนถูกฝึกให้เชื่อง รู้สึกอย่างไรบ้างหรือ” ย่ากวงถาม
ตอนนั้นมันยอมรับซือหม่าโยวเย่ว์เป็นเจ้านายเอง ดังนั้นจึงไม่รู้ความรู้สึกตอนถูกฝึกให้เชื่อง
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า” เจ้าคำรามน้อยพูด “ข้าก็ไม่เคยถูกฝึกให้เชื่องมาก่อนเหมือนกัน”
“เจ้าก็ทำพันธสัญญาโดยมิได้ถูกฝึกให้เชื่องเช่นกันหรือ” ย่ากวงมองเจ้าคำรามน้อยอย่างตกตะลึง
“หึๆ ต้องโทษที่ตอนนั้นข้ายังเยาว์วัยไม่รู้เรื่องรู้ราว ถูกยายเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์เย่ว์เย่ว์พบเข้าแล้วหลอกลวงข้า หลังจากนั้นข้าจึงต้องเชื่อฟังนางอย่างเสียไม่ได้ เฮ้อ ตอนนี้มานึกดูแล้วก็น้ำตาเช็ดหัวเข่าเลยทีเดียว!”
ย่ากวงเห็นท่าทางเช่นนั้นของเจ้าคำรามน้อย ในใจก็อุทานขึ้นมาประโยคหนึ่ง แสดงเก่งเสียจริง!
“เจ้าว่าเจ้านายของพวกเราจะฝึกสัตว์อสูรวิเศษให้เชื่องได้หรือไม่” ย่ากวงเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ทำอยู่นานสองนานก็ยังไม่สำเร็จ จึงถามขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจอยู่บ้าง
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว!” เจ้าคำรามน้อยมีความเชื่อมั่นในตัวซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเหนือธรรมดาตลอดทุกที่ทุกเวลา “ ไม่ว่าเรื่องอันใด ขอเพียงเย่ว์เย่ว์อยากทำ ก็ไม่มีอะไรที่นางทำไม่ได้หรอก!”
ซือหม่าโยวเย่ว์ที่ทำการฝึกเสร็จได้ยินคำพูดของเจ้าคำรามน้อยเข้าพอดี จึงมองมันโดยไม่พูดอะไร
เจ้านี่ ช่างมั่นใจในตัวเธออย่างเหลือล้น เหตุใดเธอจึงไม่รู้ว่าตนเองร้ายกาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน อยากทำอะไรก็ทำได้หมด!
“เย่ว์เย่ว์ ฝึกสำเร็จแล้วหรือ” เจ้าคำรามน้อยเหาะเข้ามา มองดูสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำที่หมอบอยู่บนพื้นอย่างเชื่อฟังพลางถามขึ้น
“อืม ใช้งานเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรเป็นครั้งแรก ไม่ค่อยคุ้นชิน ดังนั้นจึงเดินทางอ้อมไปบ้าง จึงใช้เวลายาวนานไปหน่อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ อาจเป็นเพราะความแข็งแกร่งของเคล็ดควบคุมสัตว์อสูร หรืออาจเป็นเพราะพลังจิตของเธอแข็งแกร่งเกินธรรมดา ระยะเวลาที่เธอใช้ในการฝึกให้เชื่องนั้นจึงน้อยกว่าที่นักฝึกสัตว์อสูรทั่วไปใช้กันอยู่มากนัก โดยเฉพาะเมื่อครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเธออีกด้วย!
ฝึกสัตว์อสูรครั้งแรกก็สำเร็จแล้ว ถ้าหากสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรรู้เข้า เกรงว่าเรื่องนี้คงก่อให้เกิดคลื่นลมขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว
…………………