ซือหม่าโยวเย่ว์รอคอยการเปิดงานเลี้ยงอย่างเบื่อหน่าย เธอหยิบผลไม้ทิพย์มากินอย่างไม่มีอะไรทำ ยามปกติเธอกินผลไม้ทิพย์ภายในมณีวิญญาณอยู่เป็นประจำ ตอนนี้มากินสิ่งนี้จึงรู้สึกว่ารสชาติไม่อร่อยเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินคนข้างๆ เอ่ยปากชมว่าผลไม้ทิพย์อร่อยเพียงใดไม่หยุดปาก เธอก็รู้สึกว่าชีวิตปกติของตนนั้นหรูหราเหลือเกินขึ้นมาในทันที
อันที่จริงแล้วสำหรับคนอื่นๆ ผลไม้ทิพย์เหล่านี้เป็นของหายากอย่างยิ่งจริงๆ เพราะผลไม้ทั่วไปจะกลายเป็นผลไม้ทิพย์ได้นั้นมีเงื่อนไขของสภาวะแวดล้อมในการเจริญเติบโตอันสูงลิบลิ่ว ต้องเป็นสถานที่อันงดงามล้ำเลิศยอดเยี่ยม ทั้งยังต้องผ่านการวิวัฒน์มาเป็นระยะเวลายาวนานจึงจะใช้ได้
ผลไม้ทิพย์นี้ก็เหมือนกับผักทิพย์ เมื่อกินแล้วจะเพิ่มพูนปราณวิญญาณในร่างกายได้ ดังนั้นทุกคนจึงอยากได้ผลไม้ทิพย์มาครอบครอง เมื่อใดที่มีผลไม้ทิพย์โผล่มา เพียงไม่นานก็ต้องถูกคนแย่งกันซื้อจนหมดเกลี้ยง มูลค่ามิอาจประเมินได้ ต่อให้เป็นขุมอำนาจชั้นหนึ่งก็ไม่แน่ว่าจะได้กินผลไม้ทิพย์กันบ่อยๆ
คนทั่วไปอาจจะได้กินผลไม้ทิพย์แค่ไม่กี่ผลตลอดชีวิต แต่บนโต๊ะทุกตัวที่นี่ล้วนมีผลไม้ทิพย์วางอยู่หลายจาน ให้แขกทุกคนได้กินกันตามใจชอบ
“ราชวงศ์ก็คือราชวงศ์ ผลลายหัตถ์นี้ลูกใหญ่น่าดูเลยทีเดียว” มีคนเอ่ยชม
พวกซือหม่าโยวหมิงแต่ละคนกินผลไม้ทิพย์ผลหนึ่งแล้วก็วางลง ซือหม่าโยวเล่อซึ่งนั่งอยู่ข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์เอนตัวมาตรงหน้าเธอแล้วพูดว่า “รสชาติย่ำแย่กว่าผลที่เจ้าให้ข้ากินมากนัก”
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ผลไม้ทิพย์นี้แย่กว่าผลไม้ทิพย์ภายในมณีวิญญาณมากมายจริงๆ ปราณวิญญาณแตกต่างกัน รสชาติที่ได้รับก็แตกต่างกันไปด้วย
หลังจากที่เธอค้นพบผลไม้ทิพย์แล้วก็ส่งไปให้พวกซือหม่าเลี่ยอยู่เป็นประจำ ในตอนแรกพวกเขารู้สึกประหลาดใจที่ซือหม่าโยวเย่ว์มีผลไม้ทิพย์มากมายถึงเพียงนี้ แต่พวกเขาล้วนรู้ดีว่าซือหม่าโยวเย่ว์นั้นมิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลซือหม่า ดังนั้นถึงแม้จะรู้ว่าเธอเก็บซ่อนความลับเอาไว้ก็มิได้ไปสืบเสาะ เพียงแค่เก็บของที่เธอให้พวกเขาเอาไว้เท่านั้น
“โอ้ คืนนี้มีละครสนุกให้ดูแล้วสิ” ซือหม่าโยวเล่อส่งเสียงพูดในทันใด
ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบสายตาขึ้นมองไปตามสายตาของเขา เมื่อเห็นผู้มาแล้วจึงเลิกคิ้วขึ้น
น่าหลานหลานมาแล้ว คราวนี้มีละครสนุกให้ดูแล้วจริงๆ เสียด้วย!
น่าหลานเหอนำตัวน่าหลานหลานกับคนหนุ่มอีกสองคนเข้ามาพร้อมกัน แขนเสื้ออันว่างเปล่าขยับไหวตามการก้าวเดินของเขา
ดูเหมือนว่าคราวก่อนก็คงจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้เขาอยู่เหมือนกัน!
ตอนที่น่าหลานหลานเดินเข้าสู่ตำหนักใหญ่พร้อมกับบิดาก็เห็นเงาร่างของมู่หรงอาน ขณะนั้นเขากำลังกระซิบกระซาบอยู่กับสือมั่วลี่ ศีรษะของทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร แต่สือมั่วลี่แย้มยิ้มอย่างเบิกบานใจยิ่งนัก
มือของน่าหลานหลานที่ปล่อยไว้ข้างตัวกำหมัดแน่น ถึงนางจะบอกว่าตนได้รับบาดเจ็บอย่างไรมู่หรงอานก็มิได้มาเหลียวแลตนเลย ที่แท้ก็มาอยู่กับสือมั่วลี่แล้วจริงๆ เช่นนั้นที่เล่าลือกันเรื่องข่าวดีของทั้งสองก็เป็นเรื่องจริงแล้วสินะ
“หลานเอ๋อร์ สงวนท่าทีด้วย” น่าหลานเหอมองมู่หรงอานผ่านๆ ปราดหนึ่งแล้วพูดกับน่าหลานหลาน
“ข้าทราบเจ้าค่ะท่านพ่อ” น่าหลานหลานสูดหายใจเข้าปากลึก ข่มกลั้นโทสะภายในใจกลับลงไป
ซือหม่าโยวเย่ว์มองพวกน่าหลานหลานเข้านั่งประจำที่ นางนั่งอยู่ตรงตำแหน่งที่นั่งริมสุดพอดี ข้างๆ ก็คือมู่หรงอาน
มู่หรงอานกำลังเย้าแหย่สือมั่วลี่อย่างเบิกบานใจ เมื่อรู้สึกได้ว่าข้างกายมีคนนั่งลงมา จึงหันไปมองปราดหนึ่งโดยสัญชาตญาณ เมื่อเห็นเงาร่างที่คุ้นเคย เขาก็ตะลึงงันไปในทันใด
น่าหลานหลานสัมผัสสายตาของมู่หรงอานได้ จึงหันหน้ามายิ้มจางๆ “คุณชายมู่หรง ไม่พบกันนานเลยนะ”
“แค่กๆ ไม่พบกันนานเลย” มู่หรงอานตกใจกับรอยยิ้มนั้นของน่าหลานหลานจนหัวใจสั่นสะท้าน หลังจากพูดอย่างเคอะเขินประโยคหนึ่งแล้วก็หันหน้ากลับมา ไม่มองนางอีกต่อไป
“คุณหนูน่าหลาน ไม่พบกันเสียนาน” สือมั่วลี่ยิ้มทักทายน่าหลานหลาน “ได้ยินท่านพ่อพูดว่าก่อนหน้านี้ท่านไปยังเทือกเขาผู่สั่วแล้วได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้หายดีแล้วหรือ”
น่าหลานหลานมองสือมั่วลี่คล้องแขนมู่หรงอานด้วยสายตาเยียบเย็น มุมปากยกยิ้มพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณคุณหนูสือมากที่ใส่ใจ ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ถึงอย่างไรตระกูลน่าหลานของพวกเราก็ทุ่มเทค่าใช้จ่ายไปมากมายถึงเพียงนั้นจึงจะแลกยาวิเศษมาจากกำมือของบิดาเจ้าได้ ถ้าหากไม่ได้ผล ปรมาจารย์ศิลาก็คงมีแต่ชื่อเสียงจอมปลอมแล้ว”
รอยยิ้มบนใบหน้าสือมั่วลี่แข็งค้างไป น่าหลานหลานหาว่าบิดาของตนขูดรีดทรัพย์ท่ามกลางธารกำนัลอย่างนั้นหรือ! นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางเอ่ยว่า “หายดีแล้วก็ดี! ก่อนหน้านี้ข้ายังพูดกับมู่หรงอยู่เลยว่าให้ไปเยี่ยมเจ้าด้วยกัน ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้พวกเจ้าก็เคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน การเอาใจใส่กันก็เป็นสิ่งสมควรทำอยู่แล้ว แต่มู่หรงเพิ่งจะกราบท่านพ่อข้าเป็นอาจารย์ อีกทั้งพวกเรายังอยู่ระหว่างการจัดเตรียมงานแต่งอีกด้วย จึงยุ่งเสียจนมิอาจปลีกตัวไปได้เลยจริงๆ”
“พวกเจ้าจะแต่งงานกันแล้วอย่างนั้นหรือ” น่าหลานหลานมองมู่หรงอานพลางเอ่ยถาม
“ใช่ ใช่แล้ว” มู่หรงอานตอบอย่างอึกอัก
“ถึงตอนนั้นจะส่งเทียบเชิญไปให้ตระกูลน่าหลานด้วย คุณหนูน่าหลานต้องมาให้ได้เลยนะ” สือมั่วลี่พูดด้วยรอยยิ้ม
มือของน่าหลานหลานที่วางอยู่ใต้โต๊ะกุมกระโปรงแน่นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มเพียงเปลือกนอกว่า “คุณหนูสือคิดว่าพวกเจ้าจะแต่งงานกันได้จริงๆ น่ะหรือ”
“คุณหนูน่าหลานหมายความว่าอย่างไร” สีหน้าของสือมั่วลี่หม่นลง
“มิได้หมายความว่าอย่างไรหรอก สำหรับคนกะล่อนหน้าเนื้อใจเสือ ได้ใหม่ลืมเก่านั้น ในเมื่อคุณหนูสือชมชอบ เช่นนั้นก็ได้แต่ขอให้พวกเจ้าสเดินเคียงคู่กันไปได้จริงๆ แล้วกัน” น่าหลานหลานพูดจบแล้วเบือนหน้าหนีไป ไม่มองคนทั้งสองอีก
“เจ้า…เฮอะ!” สือมั่วลี่เห็นน่าหลานหลานไม่พูดจากับพวกเขาอีกต่อไปแล้วจึงส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นอย่างขัดใจ
ซือหม่าโยวเย่ว์ดูละครฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าสนใจ น่าหลานหลานผู้นี้มิใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน ที่วันนี้มิได้อาละวาดท่ามกลางธารกำนัลก็เป็นเพราะปัญหาเรื่องกาลเทศะเป็นเหตุ จึงระงับเอาไว้ชั่วคราวก่อน
ผ่านไปครู่หนึ่งสือเหล่ยและอู๋หลินก็มาถึงตำหนักใหญ่ ตัวแทนของสมาคมนักหลอมวัตถุและสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร รวมทั้งสมาคมปรมาจารย์วิญญาณก็ทยอยกันเข้าสู่สนาม เห็นการประลองนี้ก็คงจะหมายความว่างานเลี้ยงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูคนเหล่านั้น นอกจากอู๋หลินผู้นั้นแล้ว คนอื่นๆ ล้วนดูอ่อนโยนน่าเข้าหากว่าทั้งสิ้น
ขณะนี้เองซือหม่าเลี่ยก็เข้ามาจากด้านนอกแล้วเข้ามานั่งลงบนที่นั่ง ซือหม่าโยวเย่ว์มองเขาปราดหนึ่งแล้วเขาก็พยักหน้า
เมื่อเห็นเช่นนี้ซือหม่าโยวเย่ว์จึงยกมุมปากยิ้ม
เพียงไม่นานฝ่าบาทของอาณาจักรตงเฉินก็เดินเข้ามาด้วยการประคับประคองขององค์ชายใหญ่และองค์ชายสาม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสีหน้าของเขาจึงมิใคร่จะดีนัก เมื่อเห็นผู้คนในที่นั้น เขาจึงฝืนปั้นหน้ายิ้มแย้มขึ้นมา
“ถวายพระพรฝ่าบาทเนื่องในเฉลิมพระชนมพรรษา ขอฝ่าบาททรงอายุยืนหมื่นปี” ทุกคนในที่นั้นล้วนลุกขึ้นต้อนรับพลางเอ่ยคำถวายพระพร
“ขอบใจทุกท่านมากที่มาร่วมฉลองวันคล้ายวันประสูติของข้า ทุกท่านเชิญนั่งลงได้ ” วั่นอู๋เฟิงพูดพลางโบกไม้โบกมือให้ทุกคน
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ทุกคนนั่งลงอย่างพร้อมเพรียง เหลือเพียงแค่อู๋หลินคนเดียวเท่านั้นที่ยังยืนอยู่
“วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของฝ่าบาท สมาคมนักหลอมยาของเราจึงเตรียมของขวัญมาให้ฝ่าบาท ขอฝ่าบาทอย่าทรงรังเกียจเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
วั่นอู๋เฟิงได้ยินเช่นนี้จึงอมยิ้มพูดว่า “หัวหน้าสมาคมอู๋พูดอะไรน่ะ พวกท่านมาร่วมงานเลี้ยงของเราได้ก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว”
อู๋หลินหยิบเอาหีบใบหนึ่งออกมา องครักษ์ที่อยู่ข้างๆ ลงมารับหีบแล้วส่งให้ถึงมือวั่นอู๋เฟิง
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ นี่คือเครื่องยาที่ข้าใช้เวลาเสาะหากว่าครึ่งปี เพื่อนำมาหลอมเป็นยาวิเศษยอดราชันขั้นสี่สำหรับถวายฝ่าบาทโดยเฉพาะ” อู๋หลินพูด “ยาวิเศษชนิดนี้สามารถซ่อมแซมร่างกายมนุษย์ได้ ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาททรงเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสมาครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นพระวรกายก็ไม่สู้ดีนักมาโดยตลอด เมื่อเสวยยาวิเศษชนิดนี้เข้าไป พระวรกายของฝ่าบาทก็จะฟื้นฟูขึ้นมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“จริงหรือ ดีๆๆ!” วั่นอู๋เฟิงเปิดหีบอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าภายในมียาวิเศษสีเหลืองทองเม็ดหนึ่งวางอยู่จริงๆ จึงนึกถึงว่าเพราะตนได้รับบาดเจ็บ ร่างกายยังมีอาการหลงเหลืออยู่ ดังนั้นเมื่อบำเพ็ญจึงต้องลงแรงสองเท่าแต่ได้รับผลเพียงครึ่งเดียว เมื่อเห็นยาวิเศษยอดราชันจึงรู้สึกตื่นเต้นเกินกว่าที่วาจาใดจะอธิบายได้
เมื่อคนด้านล่างมองเห็นยาวิเศษในมือวั่นอู๋เฟิงแล้วก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา
ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก ก็แค่ยาวิเศษยอดราชันเท่านั้นมิใช่หรือ มีอะไรน่าตื่นเต้นกันเล่า!
………………………..