ซือหม่าโยวเย่ว์มองส่งเฟิงจือสิงจากไปแล้วมองอุโมงค์นั้นค่อยๆ ปิดลง
เธอรู้ว่าถ้าหากเธอตามไปทั้งอย่างนี้ ก็จะได้เห็นโลกที่อีกฟากหนึ่งของอุโมงค์ ทั้งยังจะได้รู้ข้อเท็จจริงที่เธอถูกส่งตัวมาที่นี่อีกด้วย แต่เธอมิได้ขยับตัว เพราะในใจเธอเข้าใจเป็นอย่างดีว่าด้วยพลังยุทธ์ของตนในตอนนี้ หากไปที่นั่นก็เป็นการรนหาที่ตายเปล่าๆ
เธอกำหมัดแน่นพลางลอบสาบานในใจว่าตนจะต้องไปที่ดินแดนโบราณให้ได้อย่างแน่นอน ไปให้รู้แจ้งในสิ่งที่เฟิงจือสิงไม่ได้พูดออกมาด้วยตัวเอง!
สายลมยามราตรีพัดโชย เธอยืนอยู่บนยอดเขา ปล่อยให้สายลมพัดเส้นผมของเธอปลิวไสว
เธออยู่ในหุบเขาครู่หนึ่ง รอให้จิตใจสงบลงแล้วจึงลงจากเขากลับไปยังเรือนพัก
เจ้าอ้วนชวีออกมาจากห้องพอดี เมื่อเห็นเธอจึงถามว่า “โยวเย่ว์ อาจารย์เฟิงเรียกเจ้าไปทำอะไรหรือ ถึงได้กลับมาดึกดื่นเช่นนี้”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าอ้วนชวีแล้วส่ายหน้า ก่อนจะตรงกลับห้องไป
“เจ้านี่เป็นอะไรไป หน้าตาดูสิ้นหวังเหลือเกิน” เจ้าอ้วนชวีมองประตูห้องซือหม่าโยวเย่ว์อย่างสงสัย
วันรุ่งขึ้น เมื่อถึงเวลาเข้าเรียนของนักเรียนห้องเรียนที่หนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วเป็นชั้นเรียนของเฟิงจือสิง แต่กลับเป็นอาจารย์อีกท่านหนึ่งเดินเข้ามาแทน
“อาจารย์เฟิงไปจากวิทยาลัยเพราะเหตุผลบางอย่างแล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะเป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเจ้าแทน ข้าชื่อหลิงผิง หากพวกเจ้ามีข้อสงสัยอันใดค่อยมาพบข้าหลังเลิกเรียน พวกเจ้ามีเวลาหนึ่งนาทีในการขำขันกับเรื่องนี้ ต่อจากนั้นพวกเราค่อยมาเริ่มต้นเข้าชั้นเรียนกัน” หลิงผิงพูดจบแล้วก็ก้มหน้าลงเปิดตำราของตน
ทั้งชั้นเรียนคุกรุ่นขึ้นมา คนอื่นๆ นอกจากซือหม่าโยวเย่ว์ล้วนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
พวกโอวหยางเฟยทั้งสี่คนล้วนมองมาทางซือหม่าโยวเย่ว์ ก็เห็นเธอฟุบอยู่บนโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยาก สีหน้าไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย จึงรู้ว่าเธอจะต้องรู้เรื่องนี้แล้วอย่างแน่นอน
“เจ้าไปร่ำลาอาจารย์เฟิงมาเมื่อวานใช่หรือไม่” เป่ยกงถังถาม
“อืม อาจารย์พ่อบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ตระกูลของเขา จึงต้องจากไปน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นนั่งพลางพูดขึ้น
พวกเป่ยกงถังล้วนรู้เรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกเฟิงจือสิงว่าอาจารย์พ่อ ดังนั้นเรื่องที่เขาเรียกเธอไปร่ำลาจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
“ในเมื่อมีธุระจำเป็นต้องจากไป ในภายหน้าคงมีโอกาสได้พบกันอีก” เป่ยกงถังเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์หันหน้าไปมองเป่ยกงถังอย่างตกใจอยู่บ้าง นี่เป็นครั้งแรกที่นางปลอบประโลมผู้อื่นเลยทีเดียว
“อืม ข้าเข้าใจ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เพียงแต่ว่าจากไปอย่างฉุกละหุกเหลือเกิน ข้าจำเป็นต้องใช้เวลาปรับตัวสักหน่อยน่ะ ขอบใจเจ้ามากนะ ข้าไม่เป็นไรหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์ตบหน้าตัวเองเบาๆ แล้วพูดพลางฝืนยิ้มออกมา
ผ่านไปหนึ่งนาที หลิงผิงจึงเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “พวกเราเริ่มต้นบทเรียนวันนี้…”
หลังเลิกเรียน กลุ่มของซือหม่าโยวเย่ว์ก็ตรงไปยังเรือนพัก
“โยวเย่ว์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาจารย์เฟิงจากไปเพราะเหตุใด” เจ้าอ้วนชวีเดินมาข้างเธอพลางเอ่ยถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนเฟิงจือสิงจะจากไปได้บอกเอาไว้ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตำหนักผู้วิเศษ แต่รู้ดีว่าเรื่องนี้มีความสำคัญยิ่งนัก จึงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ได้บอกเรื่องอะไรเฉพาะเจาะจงเลย บอกเพียงแค่ว่าเกิดเรื่องขึ้นในตระกูล จึงเรียกตัวเขากลับไปโดยด่วน”
“เช่นนั้นเขาจะกลับมาอีกหรือไม่” เว่ยจือฉีถาม
“คงจะไม่แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่อาจารย์พ่อบอกว่าหากภายหน้าไปที่ดินแดนโบราณก็ไปหาเขาได้”
เมื่อได้ยินชื่อดินแดนโบราณ ร่างกายของเป่ยกงถังก็แข็งเกร็ง ถึงแม้ว่าจะไม่เด่นชัด แต่ก็มิอาจเล็ดลอดสายตาของพวกซือหม่าโยวเย่ว์ไปได้
“ดินแดนโบราณหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์ “ที่นี่มิใช่ดินแดนอี้หลินหรือ หรือว่าอาจารย์เฟิงไม่ใช่คนที่นี่”
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ที่นี่คือดินแดนอี้หลิน สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่งคือดินแดนโบราณ ว่ากันว่าสภาพแวดล้อมของดินแดนแห่งนั้นดีกว่าของพวกเราที่นี่มากมายนัก ระดับขั้นก็สูงกว่ามากด้วย อาจารย์พ่อกำชับข้าเอาไว้ว่าหากยังไปไม่ถึงระดับเทพ ก็อย่าได้ไปที่ดินแดนโบราณเป็นอันขาด”
“ระดับเทพหรือ!” เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีพากันตกอกตกใจจนดวงตาเบิกโพลง
“อืม เหนือระดับจ้าววิญญาณขึ้นไปก็คือระดับเทพ หากสำเร็จเป็นระดับเทพจึงจะไปที่ดินแดนโบราณได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“แต่พวกเราที่นี่ไม่เคยมีใครไปถึงระดับจ้าววิญญาณมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับเทพเลย” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ไม่ มิใช่ว่าบนดินแดนอี้หลินจะไม่มีจ้าววิญญาณเสียหน่อย เพียงแต่มิได้อยู่ที่นี่เท่านั้นเอง” โอวหยางเฟยพูด
“โอวหยาง เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” เว่ยจือฉีถาม
“เพราะว่าข้าเคยเห็นน่ะสิ” โอวหยางเฟยพูด
“เจ้าเคยเห็นอย่างนั้นหรือ เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินว่าอาณาจักรตงเฉินมีจ้าววิญญาณมาก่อนเลยเล่า” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางเกาท้ายทอย
“โอวหยางพูดว่าดินแดนอี้หลิน มิใช่อาณาจักรตงเฉินเสียหน่อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “อาณาจักรตงเฉินเป็นเพียงแค่สถานที่อันแห้งแล้งแห่งหนึ่งของดินแดนอี้หลินเท่านั้น เป็นแหล่งที่สถานที่อื่นๆ เอาไว้เนรเทศคนชั่วเท่านั้นเอง”
“อะไรนะ!” เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีอุทานอย่างตกใจจนดึงดูดสายตาของผู้คนบริเวณรอบๆ เข้ามา
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูท่าทางตกใจของเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีก่อนจะมองดูผู้คนโดยรอบพลางเอ่ยว่า “พวกเรากลับเรือนพักแล้วค่อยคุยกันดีกว่า”
เมื่อกลับถึงเรือนพัก ทุกคนก็มารวมตัวกันที่ห้องของซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยความเคยชิน
เจ้าอ้วนชวีชิงถามโดยไม่รอให้ซือหม่าโยวเย่ว์พูดว่า “โยวเย่ว์ เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าที่นี่เป็นสถานที่สำหรับเนรเทศคนชั่วน่ะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองโอวหยางเฟยปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ให้โอวหยางเป็นคนพูด คงจะพูดได้กระจ่างชัดกว่าข้ากระมัง ใช่หรือไม่เล่า โอวหยาง”
“โอวหยางหรือ” เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีมองโอวหยางเฟย “เจ้ารู้หรือ”
โอวหยางเฟยมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่ง บนสีหน้าเผยแววผิดปกติพลางเอ่ยว่า “บนดินแดนอี้หลินมีอาณาจักรห้าแห่ง สี่อาณาจักรใหญ่ อาณาจักรจันทร์ประจิม อาณาจักรนางแอ่นอุดร อาณาจักรทักษิณายาตร และอาณาจักรอู๋กลาง มีสถานที่เนรเทศแห่งหนึ่งซึ่งก็คืออาณาจักรตงเฉิน เหมือนกับที่โยวเย่ว์พูดนั่นแหละว่าที่นี่คือสถานที่ที่สี่อาณาจักรใหญ่เนรเทศคนชั่ว”
“โอวหยาง เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” เว่ยจือฉีถาม
“เพราะว่าข้ามาจากภายนอกน่ะสิ” โอวหยางเฟยพูด “ข้าเป็นคนจากอาณาจักรทักษิณายาตร เพราะเหตุผลบางอย่างจึงต้องมาที่นี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
“ข้าเข้าใจมาตลอดว่าโลกใบนี้ก็คืออาณาจักรตงเฉินอันใหญ่โตเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่านี่เป็นเพียงแค่ส่วนเดียวของภูเขาน้ำแข็ง พวกเราเป็นเพียงแค่ชิ้นส่วนเล็กๆ บนดินแดนอี้หลินเท่านั้นเอง” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ตระกูลที่อยู่ที่นี่ล้วนถูกเนรเทศจากภายนอกมาที่นี่ทั้งสิ้น หรือไม่ก็หนีมาที่นี่เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ไม่แน่ว่าที่ใดสักแห่งข้างนอกนั่นอาจจะมีตระกูลชวีอยู่ตระกูลหนึ่ง ตระกูลเว่ยตระกูลหนึ่ง และแน่นอนว่าต้องมีตระกูลซือหม่าอยู่ตระกูลหนึ่งด้วย”
“อาณาจักรตงเฉินพื้นที่แห้งแล้ง ทรัพยากรขาดแคลน ความเร็วในการบำเพ็ญเชื่องช้าเป็นที่สุด นอกจากนี้เพราะเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้ปราณวิญญาณของที่นี่เบาบางกว่าข้างนอกอีกด้วย” โอวหยางเฟยพูด
“หากเป็นเช่นนี้จริง เหตุใดจึงไม่เคยมีผู้ใดออกไปเลยเล่า” เว่ยจือฉีไม่เข้าใจ
“เพราะที่นี่มีแนวกั้นตามธรรมชาติอยู่ คล้ายกับฝาปิดครอบทั้งอาณาจักรตงเฉินเอาไว้ หากไปไม่ถึงระดับราชันวิญญาณก็จะไม่มีทางทะลุสิ่งกีดขวางนี้ออกไปได้ แต่ผ่านมานานปีถึงเพียงนี้ อาณาจักรตงเฉินมีราชันวิญญาณสักกี่คนกันเล่า พอผ่านไปนานๆ เข้า ผู้คนก็ลืมเลือนเรื่องนี้กันไปเสียแล้ว” โอวหยางเฟยพูด “แล้วก็เป็นเพราะสิ่งกีดขวางนี้เองที่ทำให้ปราณวิญญาณของที่นี่เบาบางถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งผลไม้ทิพย์หรือศิลาวิญญาณอะไรที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญก็มีอยู่ไม่เท่าไร”
“นอกจากการบำเพ็ญไปให้ถึงระดับราชันวิญญาณก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วหรือ” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ข้าว่าวิธีน่ะคงมีอยู่หรอก แต่ต่อให้มี หากพลังยุทธ์ไม่แกร่งพอก็ออกไปไม่ได้อยู่ดี” โอวหยางพูด
“เพราะเหตุใดเล่า”