เจ้าวิญญาณน้อยและหมัวซาต่างรู้ดีว่าซือหม่าโยวเย่ว์ชอบสมบัติล้ำค่า ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความสนใจของเธอที่มีต่อเจดีย์เจ็ดชั้น แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะเต็มใจเลือกปล่อยวางจากมันเพราะเจ้าวิญญาณน้อย
“ทำไมเล่า” หมัวซามองเธอด้วยความไม่เข้าใจอยู่บ้าง “ต่อให้เจ้าวิญญาณน้อยหายไป ก็ต้องมีวิญญาณครวญตนใหม่ปรากฏขึ้นมา ไม่มีทางส่งผลกระทบต่อศักยภาพของมณีวิญญาณในตอนนี้หรอก”
“นั่นมันไม่เหมือนกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์กอดเจ้าวิญญาณน้อยเอาไว้แล้วพูดว่า “ข้ากับเจ้าวิญญาณน้อยใช้ชีวิตด้วยกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ข้าเห็นว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตข้าไปแล้ว ถึงแม้ว่าหลังจากการผสานรวมเสร็จสิ้นแล้วอาจมีเจ้าวิญญาณน้อยอีกตนหนึ่งเกิดขึ้นมา แต่นั่นก็มิใช่เขาในตอนนี้เสียหน่อย”
“แต่ก็ไม่แน่ว่าการผสานรวมอาจจะช่วยยกระดับศักยภาพของมณีวิญญาณได้” หมัวซาพูดเสริม “นอกจากนี้เจ้าจะไม่ได้สมบัติล้ำค่าภายในเจดีย์เจ็ดชั้นมาครอบครองด้วย เจ้ามิได้สนใจชั้นบนๆ เหล่านั้นมากมายเหลือเกินหรอกหรือ”
“ถูกต้อง ข้าสนใจมันเป็นอย่างยิ่ง แต่ข้าสนใจคนรอบตัวข้ามากกว่าน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ต่อให้ต้องการสิ่งของเหล่านั้น ข้าก็ยังอยากให้เจ้าวิญญาณน้อยอยู่ดีมีสุข”
“จะไม่นึกเสียใจภายหลังใช่ไหม” หมัวซาถาม
“ข้าไม่นึกเสียใจแน่ ตอนนี้เจ้าวิญญาณน้อยก็ล้ำเลิศเหลือเกินแล้ว ต่อให้ยกระดับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” ซือหม่าโยวเย่ว์จุมพิตบนใบหน้าของเจ้าวิญญาณน้อยครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงมองหมัวซาพลางเอ่ยว่า “เช่นเดียวกัน ถ้าหากต้องใช้ท่านไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งใด ข้าก็ไม่มีทางยินยอมเช่นกัน มิใช่เพราะว่าท่านล้ำเลิศหรือรู้เรื่องราวต่างๆ มากมายหรอกนะ แต่เพียงเพราะว่าท่านคือท่าน เป็นคนใกล้ตัวข้าเท่านั้นเอง”
เป็นครั้งแรกที่หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์จูบบนใบหน้าของเจ้าวิญญาณน้อยแล้วเขามิได้ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำลายบนใบหน้าออก เขาฝังใบหน้าลงในอ้อมกอดของซือหม่าโยวเย่ว์ รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
ถึงแม้ว่าเจ้านายคนก่อนหน้านี้จะชอบเขามากเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่เคยมีใครใส่ใจเขาขนาดนี้มาก่อน พวกเขาล้วนเห็นตนเป็นเพียงแค่วิญญาณครวญตนหนึ่งเท่านั้น มิใช่ “มนุษย์” ที่มีชีวิตจิตใจ
มิน่าเล่าตอนนั้นหลิงหลงถึงได้เลือกเธอ มิใช่เพราะเธออาจประสบความสำเร็จในภายหน้า แต่เป็นเพราะเธอเป็นคนที่มีหัวใจต่างหาก
หมัวซาหลุบตาลงเล็กน้อยเพื่อซ่อนเร้นความรู้สึกในดวงตา
ก่อนหน้านี้เคยมีคนใส่ใจเขาเช่นนี้เสียที่ไหนกัน
ไม่มีเลย
คนเหล่านั้นบางคนก็พึ่งพาตน บางคนก็เคารพยกย่องตน บางคนก็แก้แค้นตน แต่ไม่เคยมีใครบอกกับเขามาก่อนเลยว่าเขาคือเขา เป็นคนใกล้ตัวของนาง ดังนั้นนางจึงต้องใส่ใจ
ซือหม่าโยวเย่ว์ปล่อยตัวเจ้าวิญญาณน้อยแล้วหยิบเจดีย์เล็กขึ้นมาดูก่อนจะเอ่ยอย่างเสียดายอยู่บ้างว่า “ในเมื่อมิอาจเปิดออกดูได้ เช่นนั้นก็วางเอาไว้ที่นี่ ใช้เป็นหอหนังสือสะสมก็แล้วกัน”
“ได้สิ” หมัวซาพูดทันควัน
“อืม ก็คงได้แต่ทำเช่นนี้แล้วละนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดกับหมัวซา
“ข้าจะบอกว่า ทำการผสานรวมโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงวิญญาณครวญได้ต่างหากเล่า” หมัวซาพูด
“ข้ารู้ ท่านบอกว่าได้… ท่านบอกว่าทำการผสานรวมได้อย่างนั้นหรือ!” ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งได้สติกลับคืนมา จึงหันหน้ามามองหมัวซาด้วยสองตาเปล่งประกาย
หมัวซาพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ทำได้ เพียงแต่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลายาวนานยิ่งขึ้น”
“จริงหรือ ฮ่าๆ ต้องใช้เวลานานก็ไม่เป็นไรหรอก!” ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะเสียงดังลั่น “ขอเพียงแค่ผสานรวมได้โดยไม่ทำร้ายเจ้าวิญญาณน้อย จะใช้เวลามากน้อยเพียงใดล้วนมิใช่ปัญหาเลย”
เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ หมัวซาก็รู้สึกว่าเขาไม่ใช่ตัวเขาคนก่อนแล้ว ระยะหลังมานี้ เขายังใส่ใจความคิดของคนผู้หนึ่งเป็นด้วย คอยคิดว่าทำเช่นนี้แล้วผู้อื่นจะเบิกบานใจหรือไม่…
ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวเข้าไปข้างหน้าหมายจะตบบ่าเขา แต่มือกลับทะลุผ่านร่างกายเขาไป
“แค่กๆ มัวแต่ตื่นเต้นดีใจจนลืมไปเสียแล้วว่าท่านไม่มีร่างกาย” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บมือของตนกลับมาแล้วพูดว่า “ในเมื่อทำได้ เช่นนั้นจะต้องเตรียมสิ่งใดบ้าง แล้วข้าจะต้องทำอะไร”
“เจ้ามันไร้ประโยชน์สิ้นดี จะต้องให้เจ้าทำอะไรด้วยหรือ” หมัวซาพูด “ข้าจัดการเองได้น่า แค่ระยะนี้เจ้าจะมิอาจใช้มณีวิญญาณได้เท่านั้นเอง”
“…”
ความรู้สึกตื่นเต้นของซือหม่าโยวเย่ว์เมื่อครู่มิอาจบดบังความชิงชังที่เธอมีต่อหมัวซาในยามนี้ได้เลย จำเป็นต้องดูแคลนเธออย่างหนักถึงเพียงนี้ด้วยหรือ!
“เช่นนั้นข้าออกไปเก็บตำราข้างนอกมาให้หมดดีกว่า หลังจากนั้นค่อยยกมันให้กับท่าน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วเดินออกไปเก็บตำราทั้งหมดเข้ามาไว้ภายในแหวนเก็บวัตถุ หลังจากนั้นก็หยิบหีบสองใบออกไปจากหอหนังสือสะสม
เมื่อออกมาจากประตูใหญ่ก็พบว่าด้านนอกเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เธอหันหน้ากลับมามองหอหนังสือสะสมแล้วกล่าวอำลาประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นจึงเก็บหีบสองใบเข้าไปไว้ในมณีวิญญาณ
ไม่รู้ว่าหมัวซาทำอะไร หอหนังสือสะสมจึงสั่นสะท้านขึ้นมาในทันใด หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เลือนรางลงอย่างช้าๆ จนหายลับไปในที่สุด!
ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจจนตัวลอยเพราะความเคลื่อนไหวนี้ ยังดีที่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ถ้าหากผู้อื่นเห็นว่าเรือนหลังหนึ่งหายลับไปกลางอากาศตอนกลางวันแสกๆ เกรงว่าคงจะก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาอย่างแน่นอน
หากถึงพรุ่งนี้แล้วยังไม่พบเห็นอีก ก็ยังพูดได้ว่าเก็บกวาดไปในวันนี้แล้ว
เมื่อกลับไปถึงเรือน ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเรียกเจ้าคำรามน้อย หมัวซา ย่ากวงและหลิงหลงออกมา หลังจากนั้นยังหยิบสิ่งของจำเป็นออกมาอีกจำนวนหนึ่งด้วย อย่างเช่นเครื่องยาจำนวนมาก และยาวิเศษที่หลอมขึ้นมาก่อนหน้านี้เป็นต้น หลังจากนั้นจึงหยิบเอามณีวิญญาณอัปลักษณ์รูปร่างคล้ายตุ้มน้ำหนักออกมาแล้วมอบมันให้กับหมัวซา
“ห้ามทำร้ายเจ้าวิญญาณน้อยเด็ดขาดเลยนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์กำชับอีกครั้ง
หมัวซามิได้เอ่ยวาจา เพียงแค่เหลือบมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งแล้วรับเอามณีวิญญาณมา แล้วหยิบเจดีย์เล็กกลับเข้าไปภายในสร้อยข้อมือม่านถัว
พอเขาเข้าไปแล้วซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าตนลืมถามเขาว่าที่แท้แล้วเขาต้องใช้เวลานานเท่าใดกันแน่ ถ้าหากสิบปีแล้วยังผสานรวมไม่สำเร็จ เช่นนั้นก็ไม่เท่ากับว่าตนมิอาจใช้สิ่งของมณีวิญญาณได้ไปสิบปีหรอกหรือ!
แต่เมื่อนึกถึงว่าต่อให้ตนถามก็ไม่แน่ว่าหมัวซาจะบอกตน ถ้าไม่ดูแคลนก็คงไม่แยแส ดังนั้นเมื่อเธอคิดๆ ดูแล้ว ในที่สุดจึงปล่อยเลยตามเลย
“อืม ย่ากวงกับเจ้าคำรามน้อย เวลาต่อจากนี้ของพวกเจ้า คงได้แต่ติดอยู่ในมิติพันธสัญญาแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ได้ขอรับ เจ้านาย” ย่ากวงรับคำอย่างร่าเริง
เจ้าคำรามน้อยเข้ามาตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “เย่ว์เย่ว์เอ๋ย ไม่อย่างนั้นข้าอยู่ข้างนอกดีกว่า มิติพันธสัญญามันน่าเบื่อเกินไป ติดอยู่ข้างในนั้นมันช่างไร้ค่ายิ่งนัก!”
“ไม่ได้!” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บเจ้าคำรามน้อยกลับเข้าไปในมิติพันธสัญญาก่อน หลังจากนั้นย่ากวงก็กลับเข้าไปเองอย่างเชื่อฟัง
“หลิงหลง เจ้าไปอยู่ในแหวนเก็บวัตถุสักระยะหนึ่งก่อนเถิดนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางเก็บตัวหลิงหลงเข้าไปภายในแหวนเก็บวัตถุ
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดวงตากลมโตของเจ้าวิหคน้อยแล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “เจ้าไม่มีมิติพันธสัญญา ก็คงได้แต่อยู่ข้างนอกนี่แล้วล่ะนะ แต่ห้ามเผยพลังยุทธ์ของเจ้าต่อหน้าผู้อื่นเป็นอันขาดเลยนะ เข้าใจหรือไม่”
เจ้าวิหคน้อยพยักหน้าก่อนจะบินขึ้นไปบนคานห้อง
หลังจากจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อบ้านจึงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เมื่อหาตัวเธอพบจึงเอ่ยว่า ”คุณชาย เกิดเรื่องแล้วขอรับ”
“มีอะไรหรือ” พอซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินว่าเกิดเรื่อง จึงรีบเปิดประตูแล้วเอ่ยถาม
“คุณชาย หอหนังสือสะสมหายไปอย่างฉับพลันเลยขอรับ!” พ่อบ้านพูดอย่างร้อนรน
เมื่อซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินว่าเป็นเรื่องนี้จึงค่อยวางใจลงแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก เป็นฝีมือข้าเองแหละ”
“หา?” พ่อบ้านตกตะลึง
“สิ่งนั้นคืออาวุธวิญญาณที่ท่านปู่ทิ้งเอาไว้ เมื่อครู่ข้าก็เลยเก็บมันไปเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนที่ท่านให้คนสร้างบ้าน ก็ให้คนสร้างหอหนังสือสะสมสักแห่งหนึ่งก็แล้วกัน”
ถึงแม้ว่าพ่อบ้านจะไม่เข้าใจ แต่ในเมื่อเธอบอกว่าไม่เป็นไร เช่นนั้นเขาก็สงบจิตสงบใจลงได้
พอพ่อบ้านจากไปแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงปิดประตูลงแล้วนึกขึ้นมาได้ว่าตนยังมิได้อ่านตำราเล่มที่ซือหม่าเลี่ยวางเอาไว้กับหินเสียงเลย เธอจึงล้มเลิกการบำเพ็ญแล้วหยิบตำราออกมา
“เคล็ดแยกอัคคีพิโรธ นี่มันตำราอันใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นชื่อที่เขียนเอาไว้แล้วไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซือหม่าเลี่ยจึงวางตำราเล่มนี้เอาไว้ด้วยกันกับหินเสียง
ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงดาบเปลวเพลิงเล่มที่ปรากฏขึ้นยามซือหม่าเลี่ยและซือหม่าข่ายต่อสู้กันขึ้นมาได้ หรือว่าตำราเล่มนี้จะเกี่ยวกับการศึกษาทักษะนั้น