บำเพ็ญอยู่หนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นเธอตื่นขึ้นมาถอนหายใจแล้วเก็บต้นผลอสรพิษทองคำกลับเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุ
หลังเก็บกวาดกระโจมเรียบร้อย คนอื่นๆ ก็ตื่นแล้วเช่นเดียวกัน ทุกคนล้างหน้าล้างตาอย่างง่ายๆ แล้วเริ่มออกเดินทางเข้าสู่เทือกเขา
ตลอดทาง พวกเขาเห็นเครื่องยาล้ำค่าจำนวนไม่น้อย ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่มีใครเก็บไป สิ่งเหล่านั้นถูกมองเป็นของล้ำค่าเมื่ออยู่ข้างนอก ตอนนี้กลับถูกละเลยเมื่ออยู่ที่นี่
เพราะมิได้มาเพื่อเก็บของล้ำค่า ดังนั้นหลังจากที่พวกเขานึกเสียดายกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินมุ่งหน้าไปกันต่อ
จุดประสงค์ของพวกเขาคือการเสาะหาสัตว์อสูรวิเศษเพื่อฝึกประสบการณ์ ยกระดับพลังยุทธ์ มิได้มาเก็บเครื่องยา
เดินมาครึ่งวันพวกเขาก็ยังไม่เห็นว่ามีสัตว์อสูรวิเศษเลยแม้แต่ตัวเดียว เส้นประสาทที่แข็งตึงของพวกเขาจึงค่อยผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อย
“นานถึงเพียงนี้ยังไม่เห็นสัตว์อสูรวิเศษเลย ที่นี่ก็มิได้น่ากลัวอย่างที่เล่าลือกันข้างนอกเสียหน่อย พวกเรา…” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ฮึ่ม…”
เจ้าอ้วนชวียังพูดไม่ทันจบ เสียงคำรามของสัตว์อสูรวิเศษตนหนึ่งก็ดังขึ้นมา เพียงไม่นาน หมูป่าตนหนึ่งก็มาส่งเสียงฮึ่มฮั่มอยู่ต่อหน้าทุกคน
“เฮ้ย… นี่มันสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นสูงอย่างนั้นหรือ หมูป่าก็พัฒนาได้ถึงระดับขั้นนี้เชียวหรือ!” เจ้าอ้วนชวีเห็นหมูป่าที่ไม่ไว้หน้าตนอย่างยิ่ง จึงม้วนแขนเสื้อขึ้นเตรียมต่อสู้ยกใหญ่กับมัน
“หมูป่าข้างนอกพัฒนาได้ถึงขั้นห้าขั้นหกก็ไม่เลวแล้ว แต่เจ้าหมูป่านี่พัฒนาได้ถึงขั้นแปดเลยทีเดียว ช่างน่ามหัศจรรย์ไม่น้อยเลย” เว่ยจือฉีพูด
“ปราณวิญญาณของที่นี่เข้มข้นกว่าที่อื่นๆ มาก ดังนั้นระดับขั้นของสัตว์อสูรวิเศษจึงสูงขึ้นได้พอสมควร” โอวหยางเฟยพูด
“ที่นี่ยังใกล้ข้างนอกอยู่เลย ก็มีปราณวิญญาณเข้มข้นถึงเพียงนี้แล้ว เช่นนั้นปราณวิญญาณของโลกภายนอกต้องเข้มข้นมากแน่นอน!” เจ้าอ้วนชวีอุทาน
“เข้มข้นชนิดที่เจ้าจินตนาการไม่ถึงเลยล่ะ” โอวหยางเฟยพูด “เจ้าไปข้างนอกแล้วจะไม่มีทางนึกอยากบำเพ็ญที่สถานที่เช่นนี้อีกต่อไปเลย”
“นั่นมันเกินจริงไปหรือไม่!” เจ้าอ้วนชวีเบิกตาโพลง
“พรสวรรค์ของคนที่นี่กับคนข้างนอกก็พอๆ กันนั่นแหละ แต่เพราะเหตุใดเมื่อเปรียบเทียบกับคนในวัยเดียวกัน พลังยุทธ์ของคนเหล่านั้นจึงได้สูงกว่าคนที่นี่ตั้งหลายระดับเล่า ก็เพราะปราณวิญญาณข้างนอกนั้นเข้มข้น ช่วยลดระยะเวลาในการบำเพ็ญอย่างไรเล่า” โอวหยางเฟยพูด
“ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้เชียว! เช่นนั้นพอพวกเราออกไปกันแล้วพลังยุทธ์ก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยใช่หรือไม่”
“ไม่เพียงแค่รวดเร็วเท่านั้น แต่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียวล่ะ” โอวหยางเฟยพูด “พรสวรรค์ของพวกเราเมื่ออยู่ข้างนอกก็นับว่าร้ายกาจมากเช่นเดียวกัน ถ้าหากเกิดมาในสภาวะแวดล้อมเช่นนั้น ข้าว่าทุกคนก็คงจะเลื่อนระดับกันได้รวดเร็วมาก”
เมื่อหมูป่าเห็นว่าพวกเขาเห็นตนแล้วนอกจากจะหวาดกลัว ยังพูดคุยหัวเราะกันอีก จึงเดือดดาลจากก้นบึ้งหัวใจ มันเล็งเจ้าอ้วนชวีที่ยิ้มอย่างมีความสุขที่สุดแล้ววิ่งพุ่งเข้าไปหา
“ชะ! … รู้ว่าข้าพลังยุทธ์ต่ำที่สุด เจ้าก็เลยมาโจมตีข้าสินะ ข้าไม่แผลงฤทธิ์ เจ้าก็เลยเห็นข้าเป็นแมวป่วยล่ะสิ!”
เจ้าอ้วนชวีคำรามเสียงดังลั่นแล้วยกกำปั้นขึ้นมาพลางตรงเข้าไปรับมือเจ้าหมูป่า
หนังของสัตว์อสูรวิเศษทั้งหนาและทนทาน เมื่อเห็นเจ้าอ้วนชวีตรงเข้าไปทื่อๆ เช่นนั้น ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเป็นกังวลว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ คิดจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่กลับถูกเป่ยกงถังรั้งเอาไว้
“พลังการต่อสู้ของเจ้าอ้วนไม่ได้เหมือนรูปลักษณ์ภายนอกของเขาเลย ไม่เป็นไรหรอกน่า”
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันเป็นประจำ เป่ยกงถังน่าจะเข้าใจดีกว่าตน พวกเขาต่างก็มิได้ร้อนรน เช่นนั้นเจ้าอ้วนชวีคงจะไม่เป็นไร
เห็นเพียงแค่เจ้าอ้วนวิ่งตรงเข้าไปหาหมูป่า เมื่อคนกับสัตว์อสูรสบตากันก็พุ่งเข้าปะทะ ร่างกายอวบอ้วนของเขาเคลื่อนไหวอย่างว่องไว เขาวิ่งไปยังข้างตัวเจ้าหมูป่าแล้วซัดกำปั้นเข้าใส่หัวของมันอย่างรุนแรงทีหนึ่ง
“ฮึ่ม…”
กำปั้นนั้นซัดเข้าใส่ลูกตาของหมูป่าพอดี เจ็บปวดเสียจนมันเงยหน้าส่งเสียงร้องลั่น มันหมุนตัวครั้งหนึ่งแล้วปะทะเข้าใส่เจ้าอ้วนชวีอีกครั้ง
คราวนี้เจ้าอ้วนชวีมิได้เข้าไปข้างตัวมันอีกแล้ว เขายื่นมือทั้งสองไปจับหัวเจ้าหมูป่าเอาไว้แล้วถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถอยหลังไปยี่สิบสามสิบก้าว เขาจึงหยุดฝีเท้าลง ย่อตัวลงลงเล็กน้อย ไม่ถอยหลังไปต่อ
“เฮอะ…”
เจ้าอ้วนชวีส่งเสีงเฮอะดังลั่นก่อนจะคว้าเขี้ยวหมูป่าแล้วเหวี่ยงไปด้านข้าง ร่างกายอ้วนใหญ่ของเจ้าหมูป่าถูกเขาเคลื่อนย้ายได้จริงๆ
“จุ๊ๆ พละกำลังของเจ้าอ้วนผู้นี้ใช้ได้เลยทีเดียวนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเจ้าอ้วนชวีเลือกที่จะสู้มือเปล่ากับหมูป่า ทั้งยังมิได้ตกเป็นรอง จึงอุทานขึ้นมาอย่างตกใจ
“ก่อนหน้านี้เจ้าอ้วนหยิบตำราฝึกกายเล่มหนึ่งมาจากบ้าน ต่อมาจึงเริ่มบริหารร่างกายน่ะ” เว่ยจือฉีพูด
“เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่เห็นว่าเขาจะผอมลงเลยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองร่างกายของเจ้าอ้วนชวี ถ้าหากพวกเขาไม่บอก เธอก็ไม่มีทางมองออกได้เลยจริงๆ ว่าเจ้าอ้วนชวีออกกำลังกายอยู่
เจ้าอ้วนชวีที่กำลังถ่วงดุลกับหมูป่าอยู่ได้ยินคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วแทบจะอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จึงเหวี่ยงตัวหมูป่าออกไป
“แค่กๆ ข้าไม่พูดแล้วก็ได้ เจ้าจัดการต่อเถิด!” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นว่าคำพูดของตนส่งผลกระทบต่อเขา จึงกระแอมกระไอแล้วพูดขึ้น
เจ้าอ้วนชวีถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเห็นว่าหมูป่าวิ่งมาทางตน เขากลิ้งตัวไปด้านข้างเพื่อหลบหลีกกีบเท้าของมัน
หมูป่าถอนกีบเท้าออกมา พื้นดินบริเวณนั้นถูกมันเหยียบเสียจนเป็นหลุม
เจ้าอ้วนชวีมองหลุมนั้น ยังดีที่ตัวเองหลบออกมา มิฉะนั้นเขาคงกลายเป็นเนื้อบดเสียแล้ว!
“บ้าเอ๊ย ต้องกระทืบแรงถึงเพียงนี้ด้วยหรือ! วันนี้ข้าจะต้องเอากีบเท้าเจ้ามาย่างกินให้ได้เลย!”
พูดจบเขาก็พลิกตัวขึ้นมาจากพื้นแล้วพุ่งเข้าใส่เจ้าหมูป่าก่อนจะพลิกตัวไปด้านข้างแล้วกระโจนตัวขึ้นนั่งบนหลังของหมูป่า
ต่อยมันหมัดที่หนึ่ง
“ที่เจ้าพุ่งใส่ข้า!”
หมัดที่สอง
“ที่เจ้าคิดกระทืบข้า!”
หมัดที่สาม
“ทุบหัวหมูของเจ้า!”
หมัดที่สี่
“ต่อยฟันเจ้าให้หัก!”
หมัดที่ห้า
……
เมื่อเห็นเจ้าอ้วนชวีต่อยตีบนร่างเจ้าหมูป่าหมัดแล้วหมัดเล่า ได้ฟังเขาต่อยหมัดหนึ่งก็พูดประโยคหนึ่ง พวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งสี่คนต่างอดที่จะมุมปากกระตุกมิได้
สงสารมือของเขาเสียจริง ไม่รู้ว่าต่อยไปบนผิวหนังหนาเตอะนั้นแล้วจะเจ็บปวดมากเลยหรือไม่
“ฮึ่ม…”
หมูป่าถูกต่อยจนบาดเจ็บจึงคลั่งขึ้นมา มันบิดร่างกายไม่หยุด หมายจะสะบัดเขาลงมา
เจ้าอ้วนชวีย่อตัวลงแล้วปีนขึ้นไปบนหลังของหมูป่า ไม่ว่ามันจะขยับอย่างไรก็สะบัดเขาลงมาไม่ได้ เขายังต่อยหัวมันบ้าง ต่อยท้องมันบ้างเป็นครั้งคราวอีกด้วย
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูฉากนี้แล้วเอ่ยพึมพำว่า “เหตุใดจึงเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมากันนะ”
“คราวก่อนตอนที่เจ้ากับงูเหอฮวานต่อสู้กัน ก็มิได้เอากระทะก้นแบนฟาดมันอย่างเอาเป็นเอาตายหรอกหรือ” เป่ยกงถังพูด
อ้อ นึกออกแล้ว ตอนนั้นตนก็เป็นเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงได้รู้สึกคุ้นเคยนัก
แต่บอกว่าสู้กับงูเหอฮวานก็พอแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงต้องบอกว่าหยิบกระทะก้นแบนมาด้วยเล่า!
เธอไม่รู้ว่าตอนนั้นท่าทางยามที่เธอหยิบกระทะก้นแบนมาช่วยคนนั้นติดตรึงอยู่ในความทรงจำของพวกเขาอย่างล้ำลึกเหลือเกิน ทำให้พวกเขาอยากจะระลึกถึงมันอยู่ตลอด
ถึงแม้ว่าตอนนั้นสถานการณ์จะวิกฤติกว่า แต่กระทะก้นแบนก็ยังทำให้พวกเขามีความสุขกันได้
เจ้าอ้วนชวีกับหมูป่าขับเคี่ยวกันอยู่เกือบชั่วโมง ในที่สุดก็ถูกเขาต่อยเข้าที่หัว จนหมูป่าล้มลงไปกองกับพื้น เขาเองก็นอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น ไม่อยากจะขยับตัวเลย
ระหว่างที่ต่อสู้ พวกซือหม่าโยวเย่ว์ต่างดูอยู่ข้างๆ ตลอด รอจนเขาชนะแล้วจึงค่อยเดินเข้ามา
เมื่อเห็นมันสมองที่ไหลออกมา ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเบ้ปากแล้วพูดว่า “นี่มันของดีเลยนะ ถูกเจ้าทำให้เสียของจนได้”
เจ้าอ้วนชวีนอนแผ่อยู่บนพื้นแล้วมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “โยวเย่ว์ ข้าอยากกินกีบหมูย่าง…”