“ขอเพียงแค่อยากศึกษา ก็ย่อมมีเวลาอยู่แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ผู้ยิ่งใหญ่เคยพูดเอาไว้มิใช่หรือว่าเวลาก็เหมือนกับน้ำในฟองน้ำ ขอเพียงแค่บีบมัน ก็ย่อมมีอยู่เสมอนั่นแหละ”
เป่ยกงถังยังคงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าจำเป็นต้องใช้เวลาในการฝึกยุทธ์เพิ่มมากขึ้น เพราะข้าไม่มีเวลามากมายถึงเพียงนั้นอีกแล้ว”
“เพราะคนในครอบครัวของเจ้าใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“อื้ม ข้าเคยบอกเอาไว้ว่าจะไปช่วยพวกเขา แต่ตอนนี้ข้ากลับมิอาจไปได้ ข้าจะต้องไปถึงระดับเทพโดยเร็วที่สุดจึงจะมีคุณสมบัติพอให้ไปช่วยเหลือพวกเขาได้” เป่ยกงถังพูด “ดังนั้นเป้าหมายของข้าจึงมิใช่แค่การออกไปจากเทือกเขาแห่งนี้เท่านั้น”
เมื่อเห็นความอดกลั้นบนใบหน้าเป่ยกงถัง ทุกคนจึงพากันลำบากใจแทนนาง เจ้าอ้วนชวีพูดว่า “เป่ยกง เจ้าจะไปช่วยใครหรือ”
“ท่านแม่กับน้องชายของข้า”
“แล้วท่านพ่อของเจ้าเล่า”
“อย่าเอ่ยถึงเจ้าเดนมนุษย์นั่นให้ข้าได้ยินเชียว!” เป่ยกงถังเดือดดาลขึ้นมาในทันใด น้ำเสียงก็ย่ำแย่อยู่บ้าง “ขอโทษด้วย ข้าไม่ควร…”
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปดึงมือเธอเอาไว้แล้วพูดว่า “เป่ยกง เจ้าเล่าเรื่องราวของเจ้าให้พวกเราฟังได้หรือไม่”
“อันที่จริงเรื่องของข้าไม่มีอะไรซับซ้อนหรอก เพียงแค่ได้เจอกับพ่อที่เป็นกากเดนมนุษย์ ไปชอบพอหญิงอื่นเข้า แล้วหญิงสาวผู้นั้นก็ให้กำเนิดบุตรสาว หลังจากนั้นจึงร่วมมือกันรังแกท่านแม่และน้องชายข้า เพราะเหตุผลเหล่านี้ทำให้ข้าถูกขับไล่ออกมา แล้วต่อมาก็หนีมาถึงอาณาจักรตงเฉิน ก็แค่นี้เอง” เป่ยกงถังเล่าเรื่องราวของตนจบภายในไม่กี่ประโยค แต่พวกเขากลับมองออกถึงความยากลำบากมากมายที่นางได้รับ
“ท่านแม่กับน้องชายเจ้ายังอยู่ในตระกูลหรือ” โอวหยางเฟยขมวดคิ้วถาม
เป่ยกงถังพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ตระกูลของพวกเราเป็นตระกูลนักหลอมยา แต่พวกเขามิให้ข้ากับน้องชายข้าหลอมยาเลย ระดับขั้นการหลอมยาของท่านแม่ข้าก็ไม่เลวนัก แต่พลังยุทธ์ไม่แข็งแกร่ง พวกเขากักขังน้องชายข้ากับท่านแม่ข้าเอาไว้ ให้ท่านแม่ข้าหลอมยาให้กับพวกเขา ภายหลังข้าหนีออกมา ข้าได้บอกกับพวกน้องชายของข้าเอาไว้ว่าข้าจะต้องกลับไปช่วยพวกเขาให้จงได้”
เป่ยกงถังนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ขึ้นมา มือก็กำเป็นหมัดแน่น
“เป่ยกง เจ้าวางใจเถิด ท่านป้ากับน้องชายจะต้องไม่เป็นไรแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยปลอบ “แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เจ้าก็ศึกษาการหลอมยาได้นะ”
“โยวเย่ว์ ขอบคุณความหวังดีของเจ้ามาก แต่ข้าอยากทุ่มเทเวลาและความคิดจิตใจไปกับการฝึกยุทธ์มากกว่าน่ะ” เป่ยกงถังพูด
“ข้าให้เวลาเจ้าเพิ่มได้นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ให้เวลาข้าเพิ่มหรือ”
ไม่เพียงแค่เป่ยกงถังเท่านั้น คนอื่นๆ ต่างก็พากันสงสัยเช่นกัน
“พวกเจ้าเพิ่งจะเข้ามา บางทีอาจจะมิได้สังเกตว่าการเคลื่อนตัวของเวลาที่นี่ไม่เหมือนกับข้างนอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้างนอกหนึ่งวัน เท่ากับสามวันของที่นี่”
“สามวัน!” ทั้งสี่คนร้องอุทานขึ้นมาพร้อมกัน
“ใช่แล้ว นอกจากนี้เจดีย์วิญญาณยังขจัดร่องรอยของเวลาได้อีกด้วย พวกเราอยู่ที่นี่ก็มิได้แก่เร็วไปกว่าข้างนอก เพียงแค่เวลาหนึ่งวันกลายเป็นสามวันเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอธิบาย
“น่าตกใจยิ่งนัก โยวเย่ว์ เจ้าโกงอาวุธเทพนี่นา!” เจ้าอ้วนชวีกุมหน้าอกของตัวเอง รู้สึกคล้ายว่ามิอาจหายใจได้แล้ว
“ฝึกยุทธ์ที่นี่สามวันเท่ากับวันหนึ่งข้างนอก ปราณวิญญาณยังดีกว่าข้างนอกเป็นอย่างมากอีกด้วย หากฝึกยุทธ์แล้วคงจะมิได้เพิ่มความเร็วแค่เท่าตัวเดียวแน่” โอวหยางเฟยพูด
“มิน่าเล่าเจ้าจึงน่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้!” เจ้าอ้วนชวีพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้ที่นี่ก็มิได้มีคุณสมบัติอันใด ต่อมาเจ้าวิญญาณน้อยยกระดับแล้วจึงมีขึ้นมา แต่ตอนนั้นพวกเราก็มาอยู่ภายในภูเขากันแล้ว ดังนั้นจึงมิได้เข้ามาบ่อยสักเท่าใดนัก”
“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าการฝึกยุทธ์ของเจ้าก่อนหน้านี้ก็เหมือนพวกเราอย่างนั้นหรือ” เว่ยจือฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าคนผู้นี้มีเวลาเท่ากันกับพวกเขา แต่กลับพุ่งสูงขึ้นเร็วกว่าพวกเขา นี่ช่างโจมตีพวกเขามากเกินไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มีการยกระดับ เธอก็พัฒนาขึ้นอย่างน่าพิศวงแล้ว ตอนนี้มีคุณสมบัตินี้อีก พวกเขาจินตนาการได้เลยว่าในภายหน้าเธอจะกระตุ้นพวกเขาอย่างไรได้บ้าง
“ยามปกติพวกเราฝึกฝนกับสัตว์อสูรวิเศษอยู่ข้างนอก เวลาอื่นๆ พวกเราก็มาอยู่ข้างในนี้ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เช่นนี้เป่ยกงก็ศึกษาการหลอมยาได้แล้ว”
“อื้ม” เป่ยกงถังพยักหน้าอย่างแรงพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์ ระงับความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ในใจ
“ในเมื่อมันยอดเยี่ยมเช่นนี้ โยวเย่ว์ ข้าอยากศึกษาการหลอมวัตถุบ้างจะได้หรือไม่” เจ้าอ้วนชวีถาม
“ได้สิ การหลอมวัตถุนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับผู้เชี่ยวชาญแขนงอื่นๆ แล้วมีเงื่อนไขด้านกำลังกายมากกว่าอยู่พอสมควร เจ้าศึกษาการหลอมกายแล้ว ถ้าหากศึกษาการหลอมวัตถุด้วยก็ไม่เลวเลยนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เจ้าอ้วน ด้วยอุปนิสัยไม่จริงจังของเจ้า จะหลอมได้สำเร็จหรือ” เว่ยจือฉีพูดยิ้มๆ
“ไม่แน่ว่าข้าอาจจะศึกษาสำเร็จก็ได้นะ!” เจ้าอ้วนชวีพูด
“เจ้าวิญญาณน้อย ที่นี่ยังมีเตาหลอมวัตถุอยู่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“มีสิ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ถึงอย่างไรของก็อยู่ในคลังเก็บวัตถุทั้งหมด พวกเจ้าไปหากันเอาเองเถิด”
“เอาล่ะ อีกประเดี๋ยวข้าจะพาพวกเจ้าไปลองหาดูก็แล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าจำได้ว่ายังมีเตาหลอมยาอยู่อีกสองเตา ไปหาออกมาพร้อมกันเลยดีกว่า”
“ดีมาก!” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างตื่นเต้น
ซือหม่าโยวเย่ว์มองโอวหยางเฟยพลางถามว่า “โอวหยาง เจ้าอยากศึกษาหรือไม่”
“ข้ามิได้มีกำลังกายมากเหมือนเจ้าอ้วน ดังนั้นข้าศึกษาการหลอมยาดีกว่า” โอวหยางเฟยไม่ลืมกัดเจ้าอ้วนชวีประโยคหนึ่ง
“ข้าเลือกฝึกสัตว์อสูรดีกว่า” เว่ยจือฉีพูด “ข้าเห็นที่นี่มีตำราการฝึกสัตว์อสูรไม่น้อยเลย ข้าอ่านตำราพวกนั้นก็พอแล้วล่ะ”
“ถึงอย่างไรที่นี่ก็มีของอยู่มากมาย หากศึกษาสิ่งหนึ่งมิได้ก็ยังศึกษาศาสตร์อื่นๆ ได้อยู่นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“อื้มๆ”
หลังจากนั้นซือหม่าโยวเย่ว์ก็พาพวกเขาไปยังคลังเก็บวัตถุแล้วหาเตาหลอมยาออกมาสองอัน กับเตาหลอมวัตถุหนึ่งอัน จากนั้นก็ให้พวกเขาเลือกห้องของตัวเองแล้วแยกย้ายกันไปศึกษา ส่วนตัวเองก็กลับห้องไปฝึกยุทธ์เช่นกัน
เจ้าอ้วนชวีดึงตัวเว่ยจือฉีแล้ววนไปรอบๆ หลังจากนั้นจึงกลับห้องไปศึกษาการหลอมวัตถุ
หนึ่งวันให้หลัง ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูก็เห็นว่าสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นยังคงเฝ้าอยู่ที่นั่น คงกำลังคิดว่าพวกเขาอาจจะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างฉับพลันกระมัง
แต่ทุกคนต่างก็มิได้รีบร้อน ฝึกยุทธ์กันไป ศึกษากันไป อยากพักผ่อนก็แค่เดินไปรอบๆ ยังไม่ต้องเป็นกังวลว่าจู่ๆ จะมีสัตว์อสูรวิเศษปรากฏตัวขึ้นมาหรือไม่ ผ่านวันเวลาไปอย่างสบายๆ
จะว่าไปตั้งแต่ทุกคนมาที่เทือกเขาสั่วเฟยย่า ก็ไม่เคยผ่อนคลายถึงเพียงนี้มาก่อนเลย
เวลาภายนอกผ่านไปสองวัน สัตว์อสูรเทพเหล่านั้นจึงจากไป พวกซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยออกมาใหม่
บางทีอาจเป็นเพราะดูดซับปราณวิญญาณภายในนั้นไปไม่น้อย หรืออาจเป็นเพราะร่างกายที่แข็งตึงมาโดยตลอดได้รับการผ่อนคลาย หลังจากพวกเขาทั้งห้าคนออกมาจากเจดีย์วิญญาณแล้วจึงทยอยกันบรรลุอีกหนึ่งระดับ ทำให้พวกเจ้าอ้วนชวีต้องอุทานกับความยอดเยี่ยม
วันเวลาต่อมา พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องหาสถานที่พักผ่อนอีกต่อไปแล้ว ทุกครั้งมักจะหาสัตว์อสูรวิเศษภายนอกเป็นคู่ต่อสู้ หลังจากนั้นก็กลับเข้าไปพักผ่อนภายในเจดีย์วิญญาณ
เวลาที่มีการจัดการเป็นอย่างดีมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ พวกซือหม่าโยวเย่ว์ผ่านเวลาหนึ่งปีไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ซือหม่าโยวเย่ว์นำยาวิเศษและสัตว์อสูรวิเศษที่ตนเตรียมได้ในระยะเวลาอันสั้นไปมอบให้กับคนตระกูลซือหม่า ส่วนพวกเว่ยจือฉีก็คอยอยู่ภายในเจดีย์วิญญาณ
อาจเป็นเพราะรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์ใกล้จะจากไปแล้ว พ่อบ้านจึงมารับสิ่งของด้วยตนเองตลอดทุกครั้ง
ซือหม่าโยวเย่ว์มอบสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นให้กับเขาแล้วบอกว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว พ่อบ้านเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่เปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งแล้ว เมื่อได้ยินเธอพูดว่าจะจากไป น้ำตาของชายชราจึงหลั่งออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
แต่เขาก็พูดคำอื่นไม่ออกนอกจากบอกว่าให้ซือหม่าโยวเย่ว์รักษาตัวด้วย เพราะเขารู้มาตั้งนานแล้วว่าจะเร็วจะช้า วันนี้ก็ต้องมาถึงอยู่ดี