พอมองดูอย่างพิจารณา ถึงได้เห็นว่าที่จริงแล้วคนผู้นั้นไม่เหมือนกับซือเป่ยเลย
ซือเป่ยหยิ่งทนงอยู่เสมอ แต่ว่าคนตรงหน้าผู้นี้ แม้จะมีรูปลักษณ์ที่เหมือนกับซือเป่ย แต่ว่าบรรยากาศรอบกายกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
“ซือหนาน” ตี้เสียพึมพำเบาๆอยู่บนริมพระโอษฐ์
ฮว๋ายยู่เองก็พึ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่า ซือเป่ยยังมีพี่ชายฝาแฝดอยู่อีกคน นามว่า ซือหนาน
เพียงแต่ว่า ซือหนานผู้นั้น…..ได้ตายไปใต้คมดาบในสงครามเทพภูติเมื่อนานมาแล้วมิใช่หรือ แล้วทำไมถึงได้?
นางขดตัวอยู่ในมุมๆหนึ่ง สายตาจับต้องอยู่ที่บนร่างของตู๋กูจุน ไม่รู้ว่าทำไมในสมองถึงได้ปรากฏรูปลักษณ์ของซือเป่ยขึ้นมาอีก
หากมิใช่เพราะว่าซือเป่ยก่อเรื่องอุกอาจเหล่านั้นขึ้นมา นางก็คงจะไม่ต้องถูกตี้เสียละทิ้งจนถึงขั้นนี้
นางชิงชังซือเป่ย แน่นอนว่าจะต้องเกลียดเหล่าคนที่มีความเกี่ยวพันกับเขาทั้งหมดด้วย
พอตู๋กูจุนปรากฏตัว เหล่าเทพที่ยังมิได้ถูกไอมารครอบงำก็ต้องพากันตกตะลึงไป เห็นเขาสวมใส่เกราะสีเงินยวงที่ขาวสะอาด บนบ่าพาดดาบยักษ์ที่มีห่วงร้อยถึงเก้าห่วง สาดทอประกายดุจดวงดาวเปี่ยมไปด้วยไอสังหารอันเข้มข้น
เรือนร่างที่แข็งแกร่งบึกบึน แฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นอายบางอย่างที่แตกต่างจากเทพสงครามซือเป่ยอย่างสิ้นเชิง
ซือหนาน….. ผ่านไปเนิ่นนานหลายปี ในที่สุดเขาก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง
บนแดนสวรรค์แห่งนี้ เหล่าเทพที่มีอายุไขยืนยาวต่างก็รู้จักเขากันเป็นอย่างดี หากพูดถึงพลังการฝึกฝนและคุณลักษณะนิสัย ซือหนานนับว่าโดดเด่นจนเหนือกว่าซือเป่ยน้องชายของเขามากนัก
เดิมทีเขายังเป็นผู้ที่ตระกูลซือหมายตาให้เป็นทายาทคนสำคัญเสียด้วยซ้ำ …. แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะเกิดไปพัวพันกับนางปีศาจของเผ่ามาร ยุ่งเหยิงจนแกะไม่ออกขึ้นมา
ขณะที่เหล่าเทพทั้งหลายยังตกอยู่ในความตกตะลึงอยู่นั้น ก็เห็นสตรีในชุดกระโปรงสีม่วงเข้มผู้หนึ่ง เดินออกมาจากด้านหลังของตู๋กูจุนอย่างไร้ที่มา
นางมีรูปโฉมงดงาม ดวงตาที่เดิมทีสามารถกวักเรียกผู้คนให้วิญญาณหลุดลอย ยามนี้เปลี่ยนเป็นมีแต่ความเย็นชาจนเหน็บหนาว ดูไปก็คล้ายคลึงกับจีเฉวียนอยู่บ้าง
เหล่าเทพต่างพากันเหลียวดูด้วยความรู้สึกว่าคุ้นหน้านางอยู่พอสมควร
“หลีเกอ….” สายพระเนตรของตี้เสียทอดมองไปยังร่างของสาวน้อยผู้นั้น
หลีฉิงกินซือเป่ยลงไป เมื่อพระองค์เรียกดวงจิตของหลีฉิงกลับคืนมา แน่นอนว่าย่อมทำให้ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
หลีเกอมิได้ตาย….แต่ว่ากลับคืนสู่โลกด้วยโฉมหน้าอีกแบบหนึ่ง
สายพระเนตรของตี้เสียหยุดอยู่ที่ตราประทับบนหน้าผากของนาง ตราประทับยมราชสีดำเข้มนั่นช่างบาดตายิ่งนัก
หมิงอ๋องช่างมีความสามารถจริงๆ แม้แต่องค์หญิงของเผ่ามารก็ยังสามารถชำระล้างสายเลือดและจิตวิญญาณที่มีอยู่แต่ดั้งเดิมทิ้งไป จนเกิดใหม่กลายเป็นยมราชในเผ่าภูติขึ้นมา
หลีเกอ สองคำนี้พอเอ่ยออกไป เหล่าเทพต่างก็พากันสูดลมหายใจเข้าไปด้วยความเหน็บหนาว
เรื่องที่น่าตื่นตระหนกในวันนี้มีมากมายเสียจนพวกเขาตั้งสติไม่ทันเลยทีเดียว
ไม่เพียงแต่ได้เห็นซือหนานกลับมา แม้แต่นางปีศาจเผ่ามารที่ล่อลวงเขาในตอนนั้นก็ยังบุกขึ้นมาบนแดนสวรรค์อย่างอุกอาจด้วยอีกคน!
หยวนเมิ่งมิได้สนใจจะมองดูพวกเขาแม้แต่แวบเดียว
พอนางเดินออกมาจากด้านหลังของตู๋กูจุนก็เดินตรงเข้าไปที่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน ถวายความเคารพลงตรงเบื้องหน้านาง “เป็นเพราะข้ามิได้ปกป้องหวังเฟยให้ดี จึงทำให้คนชั่วช้าสบโอกาส”
ว่าแล้ว นางก็เงยหน้าขึ้นมา กวาดสายตาเย็นชาไปยังตี้เสียและฮว๋ายยู่
นางยกนิ้วขึ้นมาอย่างช้าๆ ชี้ตรงไปที่คนทั้งสอง “พวกมัน….สมควรตาย”
ผู้ใดที่บังอาจทำร้ายหวังเฟย ล้วนสมควรต้องตกตายอย่างไร้ที่กลบฝัง คุณค่าในการคงอยู่ของนางก็คือการปกป้องคุ้มครองหวังเฟย จะให้นางบาดเจ็บแม้แต่เพียงเส้นผมก็ไม่ได้อย่างเด็ดขาด!
ตู๋กูซิงหลันมองดูสีหน้าที่เย็นชาไร้อารมณ์ใดๆของหยวนเมิ่งแล้วก็อดที่จะลอบถอนหายใจลึกๆไม่ได้
ความตั้งใจที่แท้จริงของตนคืออยากจะให้เสี่ยวหยวนหยวนเป็นพี่สะใภ้ของตนเอง แต่ใครจะไปคิดว่านางปักใจจะเป็นแค่ลูกน้องของตนเท่านั้น
พี่ใหญ่มิได้ออกเรี่ยวแรงเลยหรืออย่างไร ผ่านมาก็ต้องพักใหญ่แล้ว เขาก็ยังทำให้เสี่ยวหยวนหยวนหวั่นไหวไม่ได้แม้แต่น้อย
ยามที่ตู๋กูซิงหลันหันไปมองดูตู๋กูจุนนั้น สายตาของตู๋กูจุนก็หันไปที่่ร่างของหยวนเมิ่งพอดี
แต่หยวนเมิ่งกลับสะบัดเส้นไหมที่ละเอียดอ่อนนับพันเส้นออกมาจากในแขนเสื้อ โดยมิได้เปลี่ยนสีหน้าแม้สักนิด
นั่นเป็นไหมเหล็กสีทองที่ละเอียดเล็กราวเส้นผม ทั้งหมดวาดออกไปในอากาศและพุ่งเข้าไปรัดฮว๋ายยู่เอาไว้
ฮว๋ายยู่ตัดสินใจยกมือขึ้นบัง แต่ว่าไหมเหล็กสีทองเหล่านั้นกลับแหลมคมยิ่งกว่าใบมีด ทั้งปักเข้าไปในหลังมือและพันรัดข้อมือของนางเอาไว้ แทบจะกระชากแขนนางออกไปอยู่แล้ว
ตี้เสียแม้ว่าจะชิงชังเรื่องที่นางทรยศหักหลังพระองค์ แต่ว่านางก็ยังมีตำแหน่งเป็นเทียนโฮว่ของพระองค์อยู่ หากปล่อยให้ผู้อื่นทำร้ายนางต่อหน้าของพระองค์ได้ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าพระองค์ทรงไร้ความสามารถ ย่อมกลายเป็นที่ขบขันของผู้คนทั้งหกภพภูมิ
ฝ่าพระหัตถ์โบกออกไป ใจกลางพระหัตถ์เกิดเป็นดวงไฟสีดำลุกโชนขึ้นมา ดวงไฟนั้นเผาผลาญและกลืนกินไหมเหล็กสีทองของหยวนเมิ่งลงไป
นางขมวดหัวคิ้วขึ้นมา ไหมเหล็กสีทองยังไม่ทันได้เก็บกลับไป ตี้เสียก็ออกคำสั่งประหารลงมา ให้เหล่าเทพทั้งหลายสังหารศัตรูโดยมิต้องละเว้น
เหล่าเทพที่ถูกไอมารครอบงำอีกชุดหนึ่งโหมบุกเข้าไปอย่างพร้อมเพรียง พร้อมๆกับพลังวิญญาณล้นฟ้าที่ถาโถมลงไป
ตู๋กูจุนรีบเข้าไปบังอยู่ด้านหน้าของหยวนเมิ่ง ดาบยักษ์ในมือสะบัดออกไป กลายเป็นพลังที่กวาดเข้าใส่เทพเหล่านั้น
เพียงแค่ดาบยักษ์เล่มนั้นระเบิดพลังออกมา ท้องฟ้าที่มืดมิดของแดนสวรรค์ก็สั่นสะเทือนไปทั่ว
เมื่อดาบยักษ์ฟาดพลังออกไป เงาร่างของผู้คนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้น
พร้อมกับอากาศที่เหน็บหนาวและบรรยากาศที่ลึกลับวังเวง
เสินฟางและฉู่เจียงนำพาแปดยมราชก้าวออกมาจากสายลมหนาวท่ามกลางความมืดมิด
ที่เบื้องหลังของพวกเขา ปรากฏภาพของขุมนรกขึ้นมา
กองทัพภูติผีนับหมื่นนับแสนต่างส่งเสียงกู่ร้องดังกึกก้อง ราวกับว่าจะทำให้แดนสวรรค์กลายเป็นขุมนรกบ้าง
ภาพนั้น ราวกับว่าเป็นจุดจบของพิภพก็ไม่ปาน!
ใครก็คิดไม่ถึงว่า เมื่อสิบยมราชรวมตัวก็สามารถปลุกกองทัพภูติผีให้มีชีวิตขึ้นมาได้แล้ว หลังจากรอคอยวันนี้มาเนิ่นนานนับหมื่นปี ในที่สุดก็มีวันที่สามารถบุกขึ้นมาถึงบนแดนสวรรค์!
บรรยากาศในตอนนี้ทำให้หัวใจของตู๋กูซิงหลันในยามนี้ก็พลอยฮึกเหิมขึ้นมา
ยามที่มองเห็นเสินฟาง นัยตาของนางต้องเบิกโตขึ้นกว่าเดิม เจ้าตัวร้าย ในบรรดาสิบยมราช เจ้าคนหัวล้านผู้นี้นับว่ามีรูปโฉมและอุปนิสัยที่โดดเด่นที่สุดแล้ว!
ไม่พบกันเนิ่นนาน ชักจะรู้สึกคิดถึงอยู่บ้างเหมือนกัน
ทันทีที่เสินฟางปรากฏตัว ก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าจีเฉวียน ถวายคำนับอย่างเต็มพิธีการ
“กระหม่อมเสินฟาง ขอถวายพระพรและน้อมรับเสด็จฝ่าบาทคืนกลับมา”
ในบรรดาสิบยมราชด้วยกันนั้น นับว่าเขาดื้อรั้นและไม่เชื่อฟังที่สุดแล้ว ตอนนั้นหลังจากที่เผ่าภูติล่มสลาย เมื่อบังเอิญได้พบกับซื่อมั่วอีกครั้ง เขาก็ยังเคยแข็งข้อกับซื่อมั่วด้วยเหตุผลบางประการมาแล้ว
แต่ว่าจีเฉวียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะมีสถานะเป็นหมิงอ๋องเท่านั้น แต่ว่ายัง….
พอเขาคุกเข่าลงไป แม้แต่เหล่ายมราชทั้งหลายก็ยังต้องชะงักไปเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายต่อหลายปีที่ได้เห็นเสินฟางคุกเข่า
แม้แต่ฉู่เจียงเองก็ยังรู้สึกว่ามิใช่เรื่องธรรมดา….ในบรรดาสิบยมราช มีแต่เขาที่ค่อนข้างจะใกล้ชิดกับเสินฟางที่สุดแล้ว หัวเข่าของเสินฟางหนักแน่นเพียงไร เขาย่อมจะรู้ชัดเจนกว่าผู้ใดทั้งหมด
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า สักวันหนึ่งเสินฟางก็จะต้องคุกเข่าให้กับฝ่าบาทเช่นกัน
ฐานะของฝ่าบาทนั้น มิได้เรียบง่ายเหมือนดังที่พวกเขาเคยรู้มาเนิ่นนาน
จีเฉวียนพยักหน้าเล็กน้อย ก็อนุญาตให้เขาลุกขึ้นได้
ยามที่ดวงตาหงส์คู่นั้นหรี่ลงไปอีกครั้ง ก็จับจ้องไปยังร่างของตี้เสีย ริมฝีปากบางของเขาขยับน้อยๆ “วันนี้ จะต้องนำทุกสิ่งที่เคยเป็นของเผ่าภูติกลับคืนมาให้จงได้”
“สิ่งใดที่แดนสวรรค์เคยติดค้างพวกเรา ย่อมต้องชดใช้เป็นร้อยเท่าพันทวี!”
และพร้อมๆกับคำสั่งนั้น น้ำเสียงแผ่วเบาก็เอ่ยออกมาที่ละคำ “พระขวางฆ่าพระ เทพขวางสังหารเทพ ทำลาย…..ทั้งหมด”
……………….