“อันที่จริงแล้วทั้งเหนือ ใต้ กลาง และตะวันตก ล้วนตั้งชื่อตามทิศที่ตั้งทั้งสิ้น ส่วนที่ว่าเหตุใดฝั่งตะวันออกจึงไม่มีอาณาจักร นั่นก็เพราะฝั่งนั้นเป็นพื้นสมุทรอันไร้ขอบเขต เต็มไปด้วยมหาสมุทรสุดลูกหูลูกตา ดังนั้นจึงไม่มีอาณาจักรน่ะ” ไป๋อวิ๋นฉีเอ่ยตอบ
“เป็นพื้นสมุทรทั้งหมดเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าบนโลกเดิมก็มีเจ็ดทวีปสี่มหาสมุทร จึงมิได้รู้สึกผิดแปลกแต่อย่างใด “แล้วบนพื้นสมุทรเหล่านั้นไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลยหรือ”
“ไม่รู้ว่ามีคนอาศัยอยู่หรือไม่” โอวหยางเฟยพูด “เพราะพื้นสมุทรนั้นอันตรายยิ่งกว่าสั่วเฟยย่าเสียอีก น้อยนักที่ผู้คนจะไปที่นั่น ถ้าหากมีคนอาศัยอยู่ในทะเล ก็ไม่มีใครขึ้นมาบนแผ่นดินเลย”
“อันตรายยิ่งกว่าสั่วเฟยย่าอีกหรือ” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างประหลาดใจ “หรือว่าในท้องทะเลนั่นยังมีสัตว์อสูรวิเศษอยู่อีกเล่า”
“มีแน่นอนอยู่แล้วล่ะ” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “ข้าเคยได้ยินคนที่มาจากทางฝั่งนั้นบอกว่า พลังยุทธ์ของสัตว์อสูรวิเศษในทะเลนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าสัตว์อสูรวิเศษบนแผ่นดินเสียอีก นอกจากนี้ส่วนใหญ่ยังอยู่กันเป็นฝูงอีกด้วย หากพบเจอก็จะเผชิญกับสัตว์อสูรทะเลนับพันนับหมื่นเลยทีเดียว”
พอทุกคนนึกถึงว่าถูกสัตว์อสูรทะเลนับพันห้อมล้อมก็อดที่จะสั่นสะท้านมิได้
ทุกคนคุยไปพลาง ดื่มสุราไปพลาง สนทนากันมาค่อนคืนจึงค่อยสิ้นสุดลง ซือหม่าโยวเย่ว์กลับมาถึงห้องที่จัดเตรียมเอาไว้ให้เธอ หลังจากขับสุราออกแล้วจึงเริ่มต้นฝึกยุทธ์
ถ้าหากตระกูลซือหม่าเป็นขุมอำนาจชั้นหนึ่งเหมือนที่พวกวังเหล่ยบอกจริง เช่นนั้นพลังยุทธ์ของเธอในตอนนี้ย่อมไม่เพียงพออยู่แล้ว เธอจำเป็นต้องใช้เวลาทั้งหมดในการบำเพ็ญให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เธอฝึกยุทธ์ครั้งหนึ่งก็กินเวลาสี่วัน ซึ่งตลอดทั้งสี่วันนี้ไม่มีใครมารบกวนเธอเลย
สี่วันให้หลังเธอจึงออกจากสถานะการบำเพ็ญ รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังวนเวียนไปมาอยู่ข้างนอก เธอจจึงเปิดประตูแล้วเดินออกไป
ไป๋อวิ๋นฉีกำลังเดินไปมาอยู่ภายในลานบ้าน เมื่อได้ยินว่าซือหม่าโยวเย่ว์ไม่อยู่ในบ้าน เขาจึงมิได้ไปเคาะประตู ตอนนี้พอเห็นเธอออกมาจึงสาวเท้าเข้าไปหา “โยวเย่ว์ เจ้าออกมาเสียที”
“อวิ๋นฉี มีเรื่องอันใดหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซ้ายมองขวา คนอื่นๆ ล้วนไม่อยู่กันทั้งสิ้น จึงเอ่ยถามว่า “แล้วพวกจือฉีเล่า”
“พวกเขาไปที่กำแพงเมืองกันหมดแล้วเล่า” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “เดิมทีข้าก็อยู่ที่นั่นแหละ ต่อมาข้าได้รับข่าวที่ท่านพ่อข้าส่งมาจึงได้มาหาเจ้า ระหว่างนี้ก็ดูว่าเจ้ายังอยู่ระหว่างฝึกยุทธ์หรือไม่”
“เป็นเรื่องที่ตรวจสอบพบตระกูลซือหม่าแล้วใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ถูกต้อง ซือหม่าหลิน ซือหม่าข่าย และซือหม่าชิงล้วนเป็นคนของตระกูลซือหม่าแห่งอาณาจักรอู๋กลาง ดูเหมือนว่าท่านปู่ของเจ้าน่าจะอยู่ที่นั่น” ไป๋อวิ๋นฉีพูด
“ในเมื่อแน่ใจเรื่องที่อยู่ของพวกเขาได้แล้ว เช่นนั้นก็ดีแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามดังมาจากเทือกเขาสั่วเฟยย่า เธอจึงมองไปทางนั้นโดยสัญชาตญาณ
“ใช่การปฏิวัติสัตว์อสูรหรือไม่”
“ใช่ พวกจือฉีต่างอยู่บนกำแพงเมืองกันหมดแล้ว ตอนนี้พวกเราก็รีบไปโดยเร็วที่สุดเถิด อีกประเดี๋ยวข้าค่อยเล่าสถานการณ์ให้เจ้าฟังระหว่างทางนะ” ไป๋อวิ๋นฉีพูดอย่างกังวลใจกับสถานการณ์ทางด้านนั้นอยู่บ้าง
“ได้สิ”
เพราะสถานการณ์กระชั้นชิด ทั้งสองคนจึงเหินทะยานจากจวนเจ้าเมืองตรงไปยังกำแพงเมือง
ความจริงแล้วคนที่ไปตรวจสอบกลับมาตั้งแต่วันที่สองที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงจวนเจ้าเมืองแล้ว และข่าวที่นำกลับมาก็มิสู้ดีนัก
ก็เหมือนกับที่เจ้าคำรามน้อยบอกไว้ สัตว์อสูรวิเศษของเทือกเขาสั่วเฟยย่าต่างก็หงุดหงิดอยู่ไม่สุข สัตว์อสูรวิเศษบริเวณตรงกลางจำนวนมากต่างอพยพออกไปรอบนอกกันอย่างมีระเบียบแบบแผน สถานการณ์เช่นนี้แตกต่างกับการปฏิวัติสัตว์อสูรก่อนหน้านี้อยู่บ้าง แต่ความจริงแล้วเป้าหมายของพวกมันคือการมุ่งหน้ามาที่เมืองไตรวารีต่างหาก
เดิมทียังคิดว่าสัตว์อสูรวิเศษอาจจะรอเวลาสักระยะหนึ่งแล้วค่อยโจมตีเข้ามา เพราะการปฏิวัติสัตว์อสูรทุกครั้งก่อนหน้านี้ จากการเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรวิเศษจนถึงการบุกโจมตีของสัตว์อสูรวิเศษนั้นล้วนใช้เวลากว่าครึ่งเดือนทั้งสิ้น แต่คราวนี้ไม่เหมือนกัน เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากทราบข่าว ทหารรักษาการณ์เมืองก็ค้นพบฝูงสัตว์อสูรบุกโจมตีแล้ว
วังเหล่ยรีบรวบรวมคนขึ้นมาบนกำแพงเมืองแล้วค้นพบว่าสัตว์อสูรวิเศษที่มาก่อนเหล่านั้นมิได้มีความพยายามในการโจมตีมนุษย์ หากแต่ล้อมรอบกำแพงเมืองเอาไว้แล้วเฝ้าอย่างมีวินัย ดูเหมือนกำลังรอใครอยู่
ซือหม่าโยวเย่ว์และไป๋อวิ๋นฉีร่อนลงมา คนบนกำแพงเมืองมองเห็นพวกเขาแต่ก็มิได้พูดอะไร ถึงแม้ว่ายามปกติจะไม่อนุญาตให้บินเหนือท้องฟ้าของเมือง แต่ตอนนี้มิใช่สถานการณ์ปกติ สิ่งเหล่านี้จึงอยู่นอกเหนือความสนใจของทุกคน
“โยวเย่ว์ เจ้ามาเสียที” เมื่อพวกเป่ยกงถังเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ร่อนลงข้างกายพวกเขาแล้วจึงเอ่ยขึ้น
พวกเขาล้วนรู้ดีว่ามีบางทีที่การบำเพ็ญของซือหม่าโยวเย่ว์อาจกินระยะเวลายาวนาน ดังนั้นเมื่อเห็นเธออยู่ในห้องโดยไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว จึงบอกไป๋อวิ๋นฉีว่าอย่าไปรบกวน ให้รอจนเธอตื่นขึ้นมาเอง
“สถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“เจ้าดูเอาเองเถิด” เว่ยจือฉีหลีกทางให้ซือหม่าโยวเย่ว์มายืนข้างหน้า
ซือหม่าโยวเย่ว์มองลงไปเบื้องล่างแล้วสูดหายใจเข้าปากคราหนึ่งอย่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างล่าง
“สัตว์อสูรวิเศษมากมายถึงเพียงนี้เชียว!”
สัตว์อสูรวิเศษเบื้องล่างแน่นขนัดจนดูเหมือนครอบครองพื้นที่ว่างภายนอกจนหมดสิ้น ยาวไปตลอดความยาวของเชิงเขาสั่วเฟยย่า มีจำนวนนับร้อยนับพัน!
“น่าตกใจใช่หรือไม่” เจ้าอ้วนชวีมองสัตว์อสูรวิเศษเบื้องล่างแล้วพูดว่า “ข้ากำลังคิดอยู่ว่านี่เป็นการรวบรวมสัตว์อสูรวิเศษมาหมดทั้งสั่วเฟยย่าเลยหรือไม่”
“มีจำนวนมากมายเหลือเกิน! พวกเรามีกันแค่นี้จะต้านไหวหรือ” เสียงของปรมาจารย์วิญญาณคนหนึ่งดังมาจากด้านข้าง ฟังความหวาดหวั่นในน้ำเสียงออกได้
ไม่เพียงแค่ปรมาจารย์วิญญาณผู้นั้นเท่านั้น นี่คือข้อสงสัยในใจของอีกหลายคน สัตว์อสูรวิเศษมากมายถึงเพียงนี้ ปรมาจารย์วิญญาณพันกว่าคนอย่างพวกเขาจะเอาชนะได้หรือ
ซือหม่าโยวเย่ว์มองคนบนกำแพงเมืองแล้วถามว่า “อวิ๋นฉี เจ้าเคยเห็นการปฏิวัติสัตว์อสูรมาก่อนหน้านี้หรือไม่ การปฏิวัติสัตว์อสูรมีสัตว์อสูรวิเศษมากมายถึงเพียงนี้ทุกครั้งเลยหรือ”
ไป๋อวิ๋นฉีคิดไม่ถึงว่าตนจากไปครั้งเดียวแล้วกลับมาใหม่ ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรวิเศษจะเพิ่มจำนวนขึ้นมาไม่น้อยเลย เมื่อได้ยินซือหม่าโยวเย่ว์ถาม เขาจึงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ตอนปฏิวัติสัตว์อสูรครั้งก่อนข้าก็มาด้วย ตอนนั้นท่านน้าเขยบอกว่าการปฏิวัติสัตว์อสูรในครั้งนั้นเป็นครั้งที่มีสัตว์อสูรวิเศษจำนวนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของครั้งนี้เลยด้วยซ้ำ”
เว่ยจือฉีหรี่ตาเล็กน้อย “การปฏิวัติสัตว์อสูรครั้งก่อนผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งปีเลย เช่นนั้นคราวนี้ก็มิใช่การปฏิวัติสัตว์อสูรทั่วๆ ไปแล้วล่ะ นอกจากนี้ดูจากลักษณะที่สัตว์อสูรวิเศษเบื้องล่างอยู่กันอย่างเป็นระเบียบแล้วยิ่งดูเหมือนว่ามีคนจัดการอยู่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าต้องมาเพราะเหตุผลบางอย่างชักนำแน่ พวกเราต้องคิดหาวิธีหาเหตุผลที่แท้จริงให้ได้ บางทีนี่อาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาก็ได้นะ”
ไป๋อวิ๋นฉีได้ฟังแล้วนัยน์ตาเปล่งประกาย เขาตบบ่าเว่ยจือฉีพลางพูดว่า “จือฉีพูดได้ไม่ผิดเลย ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้คิดถึงจุดนี้สักนิด ข้าไปบอกท่านน้าเขยก่อนนะ!”
พอพูดจบ เขาก็วิ่งตรงไปยังสถานที่ที่วังเหล่ยอยู่
“พวกเจ้าว่าเจ้าหมีดำทางด้านหน้าฝั่งซ้ายตัวนั้นใช่ตัวที่ไล่ตามจนรองเท้าเจ้าอ้วนชวีหลุดในตอนนั้นหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางชี้ไปทางด้านหน้าในทันใด
เจ้าอ้วนชวีมองไปก็เห็นเจ้าหมีตัวที่ไล่ตามพวกเขาในตอนนั้นอยู่ท่ามกลางฝูงหมีสีดำ
“บ้าบอนัก เป็นมันจริงๆ เสียด้วย!” ความประทับใจของเจ้าอ้วนชวีที่มีต่อเจ้าหมีดำตัวนี้ล้ำลึกยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่ได้พูด พวกเขาก็มิได้สังเกตเห็นฝูงหมีสีดำสักนิดเลย ตอนนี้พอเธอพูดขึ้นมา พวกเขาจึงจำได้ในทันที
ดูเหมือนว่าเจ้าหมีดำตัวนั้นจะรู้สึกถึงสายตาของพวกเจ้าอ้วนชวีจึงมองมาทางพวกเขา และจำพวกเขาได้ตั้งแต่แวบแรกเช่นกัน
“โฮก…”
เจ้าหมีสีดำคำรามใส่พวกเขาเสียงดังลั่นแต่ก็มิได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ
“เจ้าหมีสีดำนั่นนิสัยขี้หงุดหงิด ปกติแล้วหากจำพวกเราได้ก็ต้องบุกโจมตีเข้าใส่พวกเราสิถึงจะถูกต้อง แต่ตอนนี้กลับเพียงแค่ยืนคำรามเท่านั้นเอง” โอวหยางเฟยขมวดคิ้วพูด
“มันเป็นสัตว์อสูรเทพแล้ว แต่หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่า…” เจ้าอ้วนชวีตาลุกวาว ไม่อยากเชื่อว่าตนจะเดาออกแล้ว