เห็นเพียงว่าเงาร่างมนุษย์นั้นเหินทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นพวกซือหม่าโยวเย่ว์ขี่สัตว์อสูรวิเศษวิ่งมาตั้งครึ่งค่อนวันจากเทือกเขาสั่วเฟยย่ากว่าจะมาถึงยังเมืองไตรวารี แต่พวกเขารู้สึกว่าดูเหมือนสัตว์อสูรเหนือเทพตนนี้จะมาถึงตรงหน้าทุกคนภายในเวลาไม่กี่อึดใจเท่านั้น
สัตว์อสูรเหนือเทพยืนอยู่กลางเวหาพลางก้มลงมองผู้คนบนกำแพงเมืองปราดหนึ่ง สายตาหยุดบนร่างของซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ชั่วครู่ ในท้ายที่สุดจึงหยุดสายตาอยู่บนร่างของวังเหล่ย
วังเหล่ยรู้สึกถึงแรงกดดันที่กดบนร่างของตนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนขึ้นมาในทันใด เขารีบโคจรปราณวิญญาณในร่างกายเพื่อคลายแรงกดดันนี้ก่อนจะเอ่ยปากอย่างยากลำบากว่า “มิทราบว่าท่านมายังเมืองไตรวารีด้วยเรื่องอันใดหรือ”
“เจ้าก็คือเจ้าเมืองไตรวารีอย่างนั้นหรือ” สัตว์อสูรเหนือเทพเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทั้งยังแฝงไว้ด้วยการวางอำนาจ
“ใช่แล้ว” วังเหล่ยยอมรับ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าก่อกรรมอันใดเอาไว้” สัตว์อสูรเหนือเทพเอ่ยอย่างเดือดดาล
วังเหล่ยมองสัตว์อสูรเหนือเทพ นัยน์ตาฉายแววไม่เข้าใจ พลางเอ่ยว่า “ข้าไม่ทราบเลยว่ามีใครไปทำให้ท่านขุ่นเคืองเช่นนี้ ขอท่านโปรดชี้แจงให้ชัดเจนด้วย”
สัตว์อสูรเหนือเทพมองวังเหล่ย แววตาเข้มขึ้น แรงกดดันทวีความรุนแรงขึ้น ถึงแม้ว่าวังเหล่ยจะพยายามฝืนไว้อย่างยากลำบาก ทว่าไม่เป็นผลแต่อย่างใด ขาข้างหนึ่งทรุดลงไป หยาดเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วไหลหยดลงมาจากหน้าผากของเขาแล้วหยดลงบนแผ่นหิน
ซุนลี่ลี่เห็นสามีของตนได้แต่ถูกแรงกดดันแล้วฝืนเอาไว้เช่นนี้ ร่างกายจึงขยับไปข้างหน้า แบกรับเอาไว้ร่วมกันกับเขา นางมองสัตว์อสูรเหนือเทพแล้วพูดว่า “พวกเราไม่ทราบจริงๆ ว่าไปทำให้ท่านขุ่นเคืองที่ตรงไหน ขอให้ท่านโปรดบอกพวกเราด้วย พวกเราจะรีบไปจัดการในทันที”
สัตว์อสูรเหนือเทพมองซุนลี่ลี่ก่อนจะยื่นมือออกมา นางก็ถูกดูดร่างเข้าสู่เงื้อมมือของเขา
“ลี่ลี่!” วังเหล่ยเห็นซุนลี่ลี่ถูกจับตัว จึงขบกรามพลางลุกขึ้นยืน
“ท่านน้าเล็ก!” ไป๋อวิ๋นฉีตะโกนลั่นแล้วดีดร่างพุ่งเข้าหาสัตว์อสูรเหนือเทพ
“เฮอะ!” สัตว์อสูรเหนือเทพส่งเสียงเฮอะเยียบเย็น ไป๋อวิ๋นฉีก็ถูกแรงสั่นสะเทือนทำเอาร่างกายเสียสมดุลจนร่วงหล่นลงไปหาฝูงสัตว์อสูรเบื้องล่าง
“อวิ๋นฉี!”
“นายน้อย!”
ผู้คนบนกำแพงเมืองล้วนถูกแรงกดดันของเสียงเฮอะเยียบเย็นนั้นกดดันเสียจนมิอาจขยับเขยื้อนได้ จึงได้แต่มองดูไป๋อวิ๋นฉีร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างตาปริบๆ
ถ้าหากเขาร่วงหล่นลงท่ามกลางฝูงสัตว์อสูร เช่นนั้นต่อไปก็คงไม่เหลือแม้แต่ซากเสียแล้ว!
ทันใดนั้นเงาร่างสายหนึ่งก็กระโจนลงมาจากบนกำแพงเมืองแล้วคว้าเอวเขาเอาไว้ได้ในขณะที่ไป๋อวิ๋นฉีอยู่ห่างจากพื้นดินอีกเพียงแค่สิบกว่าเมตรเท่านั้น ก่อนจะพาตัวเขากลับขึ้นไปบนกำแพงเมือง
ไป๋อวิ๋นฉีมองดูใบหน้าด้านข้างอันสมบูรณ์แบบของซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “โยวเย่ว์ เจ้าช่วยข้าไว้อีกครั้งแล้ว”
ซือหม่าโยวเย่ว์วางตัวไป๋อวิ๋นฉีลงบนกำแพงเมืองแล้วพูดว่า “ความหุนหันพลันแล่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาหรอกนะ”
สัตว์อสูรเหนือเทพมิได้คิดถึงว่าจะมีคนขยับเขยื้อนได้ภายใต้แรงกดดันของตน จึงเบนสายตากลับมาบนร่างของเธออีกครั้ง
“เจ้าละเลยจากแรงกดดันของข้าได้ด้วยหรือ” สัตว์อสูรเหนือเทพมิได้โมโห แต่กลับเกิดความสนใจใคร่รู้ในตัวเธอขึ้นมามากกว่า
ซือหม่าโยวเย่ว์มองสัตว์อสูรเหนือเทพด้วยสายตาปราศจากความหวั่นกลัว เธอยิ้มน้อยๆ พลางพูดว่า “เมื่อครู่พวกเราได้ประจักษ์ถึงพลังยุทธ์ของท่านด้วยสายตาตนเองแล้ว ตอนนี้ท่านไม่จำเป็นต้องต้องใช้แรงกดดันมาควบคุมทุกคนอีกแล้วล่ะ ข้าว่าอยู่ต่อหน้าท่าน คงไม่มีใครคิดทำอะไรวู่วาม”
“เจ้ายังมิได้ตอบคำถามของข้าเลยนะ” สัตว์อสูรเหนือเทพมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางพูดขึ้น
“ข้าเคยเห็นแรงกดดันที่น่าหวั่นเกรงมากกว่านี้มาแล้ว นับว่าเป็นภูมิคุ้มกันก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่ “มิทราบว่าคำตอบเช่นนี้ใช้ได้หรือไม่”
สัตว์อสูรเหนือเทพจ้องมองซือหม่าโยวเย่ว์อยู่หลายวินาที ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดมนุษย์ตัวเล็กๆ ผู้นี้จึงทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายชนิดหนึ่งขึ้นมาเสียได้
แต่เขาก็ยังยับยั้งแรงกดดันของตนเอาไว้ ถึงอย่างไรตนทำเช่นนี้ สัตว์อสูรวิเศษเบื้องล่างก็ยังถูกกดดันเสียจนมิอาจหายใจได้อยู่ดี
เมื่อรู้สึกว่าแรงกดทับบนร่างกายสลายหายไป ทุกคนจึงได้สูดอากาศบริสุทธิ์อีกครั้ง
“พวกเราไม่ทราบจริงๆ ว่าเรื่องใดที่ทำให้ท่านโกรธเคือง สำหรับเรื่องที่ท่านต้องระดมพลมามากมายเช่นนี้ ต่อให้ท่านจับตัวฮูหยินไป พวกเราก็ยังไม่รู้อยู่ดี ข้าว่าที่ท่านให้สัตว์อสูรวิเศษล้อมเมืองไตรวารีเอาไว้แต่กลับไม่บุกเข้ามา คงจะไม่อยากทำร้ายผู้บริสุทธิ์ มิสู้ท่านปล่อยตัวฮูหยินก่อน แล้วลองเล่าสาเหตุที่ทำให้ท่านโกรธเคืองเช่นนี้ พวกเราจะได้รู้ว่าควรทำเช่นไร” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นว่าซุนลี่ลี่สีหน้าซีดขาวไปแล้ว ถ้าหากเขาออกแรงอีกเพียงเล็กน้อย เธอก็คงจบชีวิตเสียแล้ว
“เมื่อสิบวันก่อน พวกมนุษย์อย่างเจ้าได้ขโมยสิ่งของที่มีความสำคัญยิ่งอย่างหนึ่งไปจากเทือกเขาสั่วเฟยย่า” สัตว์อสูรเหนือเทพพูด “ตอนนั้นข้ากำลังเตรียมตัวจำแลงกาย ดังนั้นจึงมิอาจขัดขวางเอาไว้ได้”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา ในใจของทุกคนล้วนอุทานเป็นเสียงเดียว ว่าแล้วเชียว!
วังเหล่ยมองสัตว์อสูรเหนือเทพพลางเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าคือสิ่งใดหรือ ของสิ่งนั้นยังอยู่ในเมืองไตรวารีหรือไม่ ถ้าหากคนเหล่านั้นนำของจากไปแล้วพวกเราก็ไม่มีวิธีตามหาหรอกนะ”
ความจริงแล้วสัตว์อสูรเหนือเทพก็มิได้เลวร้าย หรือมาถึงระดับขั้นอย่างเขาแล้ว ก็มิได้อยากทำให้มนุษย์ต้องลำบากแต่อย่างใด เขาซัดร่างซุนลี่ลี่กลับมาแล้วเอ่ยว่า “ของสิ่งนั้นยังอยู่ที่เมืองไตรวารี ข้ายังได้กลิ่นของมันอยู่เลย”
วังเหล่ยลุกขึ้นรับตัวซุนลี่ลี่เอาไว้ เมื่อได้ฟังเขาพูดเช่นนี้ก็วางใจลงไปเป็นอันมาก จึงเอ่ยว่า “แท้จริงแล้วเป็นของสิ่งใด ขอท่านโปรดแจ้งให้ทราบด้วย ข้าจะส่งคนไปเสาะหามาให้”
“ขนนกที่ข้าเคยสลัดทิ้งเอาไว้” สัตว์อสูรเหนือเทพน้ำเสียงเยียบเย็น ทำให้ทุกคนหลั่งเหงื่อเยียบเย็นแทนคนที่ขโมยขนนกไปผู้นั้น
ถึงกับกล้าขโมยขนของสัตว์อสูรเหนือเทพ นั่นมิได้เท่ากับกระตุกหนวดเสือหรอกหรือ
วังเหล่ยก็เข้าใจว่าเหตุใดสัตว์อสูรเหนือเทพจึงได้โมโหเช่นนี้ ขนที่สายพันธุ์สัตว์ปีกสลัดเอาไว้นั้นเป็นสิ่งที่พึงหวงแหนเป็นอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้กลับถูกคนขโมยไปเสียแล้ว นั่นเป็นการหมิ่นเกียรติของเขาอย่างมหันต์
“ข้าจะส่งคนไปตามหาตัวคนผู้นั้นเดี๋ยวนี้เลย”
“ไม่ต้องหรอก!” สัตว์อสูรเหนือเทพพูดแล้วหลับตาลงรับสัมผัสครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงยื่นมือไปทางสถานที่แห่งหนึ่งในเมืองแล้วออกแรงดึง คนผู้หนึ่งก็ถูกดูดเข้ามาจากภายในพื้นดิน
“คนของกลุ่มทหารรับจ้างโอหังนี่!”
คนบนกำแพงเมืองจำเสื้อผ้าที่คนผู้นั้นสวมใส่ได้ จึงร้องออกมาอย่างตกใจ
“มิผิด ก่อนหน้านี้กลุ่มทหารรับจ้างโอหังก็ทำภารกิจอยู่ภายในภูเขาเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะถึงกับกล้าขโมยขนสัตว์อสูรเหนือเทพ ช่างบังอาจเกินไปเสียแล้ว!”
“เจ้านั่นคงมีจุดจบน่าอนาถแล้วสินะ!”
“หึๆ ถึงอย่างไรพวกโอหังก็มิใช่คนดีเด่อะไรอยู่แล้ว ข้าตั้งตารอจุดจบของเจ้านั่นดีกว่า”
คนที่ถูกจับตัวมาผู้นั้นตื่นตระหนก เขาคิดไม่ถึงว่าขนนกไม่กี่อันที่ตนเก็บมาจากภายในถ้ำแห่งหนึ่งอย่างส่งๆ จะพาตนไปสู่หายนะ เมื่อเห็นแววอาฆาตในดวงตาที่สัตว์อสูรเหนือเทพมองตน เขาก็รู้ว่าตนเคราะห์ร้ายเสียแล้ว
“ท่าน… ท่านขอรับ ข้าไม่ทราบว่านั่นคือขนของท่าน ข้ามิได้เจตนาจะทำให้ท่านผู้ยิ่งใหญ่ขุ่นเคืองเลย ท่านโปรดไว้ชีวิตด้วยเถิดขอรับ!”
สัตว์อสูรเหนือเทพไม่สนใจเขาแล้วปลดสลักแหวนเก็บวัตถุของเขาก่อนจะบีบเบาๆ คราหนึ่ง แหวนเก็บวัตถุก็แหลกสลายไป
ขนนกสิบกว่าอันแผ่ประกายสีฟ้าอ่อนจางล่องลอยไปกลางอากาศ ส่วนสิ่งของที่เหลือก็ร่วงหล่นลงสู่พื้น
“ฮ่าๆ ยังมีชุดชั้นในของหญิงสาวด้วยนี่!” เจ้าคำรามน้อยเห็นสิ่งของที่ร่วงหล่นลงมาแล้วก็อดหัวเราะขึ้นมามิได้
ขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์อสูรล้วนเงียบงันกันเป็นอย่างยิ่ง เสียงหัวเราะของเจ้าคำรามน้อยจึงเด่นชัดเป็นพิเศษในยามนี้
แต่ก็เป็นอย่างที่เขาพูด ทุกคนเห็นชุดชั้นในสตรีหลายชิ้นจริงๆ
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นขนนกที่ทอประกายสีฟ้าอ่อน จึงเอ่ยว่า “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าขนนกนี้ดูคุ้นตาอยู่บ้าง”
“ข้าก็รู้สึกเช่นกัน” เป่ยกงถังพูด “แย่แล้ว!”
สัตว์อสูรเหนือเทพหาขนนกของตนเองพบแล้วก็เหวี่ยงตัวคนผู้นั้นลงไป สัตว์อสูรวิเศษเบื้องล่างย่อมต้องจัดการดูแลเขาเป็นอย่างดีแน่นอน
เขากวาดตามองขนนกของตนเองปราดหนึ่งแล้วกลายเป็นเดือดดาลขึ้นมาในทันใด แรงกดดันที่แผ่ออกมาทำให้ผู้คนบนกำแพงเมืองพากันหมอบลงบนพื้น
“เหตุใดจึงหายไปอันหนึ่ง!”
………………………………….