“หายใจไม่ออกแล้ว!”
คนที่พลังยุทธ์ต่ำต้อยจำนวนหนึ่งถูกแรงกดดันของสัตว์อสูรเหนือเทพทำให้พรั่นพรึงไป บนกำแพงเหลืออยู่เพียงแค่คนระดับราชาวิญญาณขึ้นไปเท่านั้น
“หายไปอันหนึ่งได้อย่างไรกัน”
ไม่เพียงแค่ผู้คนด้านล่างเท่านั้นที่ร่ำร้องอยู่ในใจ แม้กระทั่งสัตว์อสูรเหนือเทพก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน
เขาสัมผัสได้เพียงแค่ขนนกภายในแหวนเก็บวัตถุของเจ้าคนผู้นี้เท่านั้น แต่ไม่เห็นจะรู้สึกว่ามีอยู่ที่อื่นอีกเลย เช่นนั้นขนนกนั่นไปอยู่ที่ไหนเสีย
ผู้คนไม่น้อยเห็นเช่นนี้แล้วต่างพากันรู้สึกว่าวันนี้คงยากจะรอดพ้นจากความตายเสียแล้ว
“ไอ้หยา… นี่มิใช่ขนนกที่ข้าหยิบมาเขี่ยไฟวันนั้นหรอกหรือ”
คำพูดของเจ้าคำรามน้อยทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์อยากจะบีบคอมันเสียให้ตาย
แรงกดดันนั้นไม่มีประโยชน์ต่อเจ้าคำรามน้อยเลยสักนิดเดียว มันขยับตัว จากนั้นก้านไม้ที่ถูกไฟเผาจนดำเป็นตอตะโกอันหนึ่งก็ปรากฎขึ้นมาในมือของมัน
พอก้านไม้นั้นออกมาแล้วก็เปล่งประกายสีฟ้าจางๆ เหมือนกับขนนกเมื่อครู่ ผงถ่านสีดำบนนั้นค่อยๆ จางหายไปช้าๆ จนปรากฏเป็นขนนกที่ไร้ซึ่งขน เหลือเพียงแต่โครงก้านเท่านั้น
พวกเว่ยจือฉีล้วนอยากหลับตาหมดสติไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด พวกเขาถึงได้บอกว่าขนของสัตว์อสูรเหนือเทพดูคุ้นตาอย่างไรเล่า นั่นมิใช่ขนนกที่เจ้าคำรามน้อยหยิบออกมาเขี่ยไฟเมื่อสิบกว่าวันก่อนหรอกหรือ!
เจ้าคำรามน้อยหยิบขนนกแล้วทะยานไปหาสัตว์อสูรเหนือเทพ พอไปถึงตรงหน้าเขาแล้วก็ส่งขนนกให้ก่อนจะเอ่ยว่า “พี่ชายสุดหล่อ ข้าขอคืนขนนกนี่ให้ท่าน อะแฮ่มๆ ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าเป็นของท่าน ก็เลยเอามาเขี่ยไฟให้กับเย่ว์เย่ว์ของข้า เห็นแก่ที่ท่านหล่อเหลาถึงเพียงนี้ ก็อย่าได้สนใจกับขนเล็กน้อยแค่นี้เลยนะ”
ผู้คนด้านล่างได้ฟังคำพูดของเจ้าคำรามน้อยแล้วต่างพากันสะท้านไปจนถึงกระดูก
นั่นเป็นถึงขนของสัตว์อสูรเหนือเทพเชียวนะ แต่กลับถูกเจ้าเอามาทำเป็นไม้เขี่ยไฟ นี่มันความคิดอันใดของเจ้ากัน!
เมื่อเห็นสีหน้าของสัตว์อสูรเหนือเทพเข้มขึ้นเรื่อยๆ แต่มันกลับยังกล้าเกี้ยวพานเขาอีก ช่างไม่รักตัวกลัวตายเอาเสียเลย!
ซือหม่าโยวเย่ว์ยกมือมาปิดตาเอาไว้ ช่างหน้าขายหน้าเสียจริง!
เจ้าคำรามน้อยเห็นสัตว์อสูรเหนือเทพไม่รับ เพียงแค่มองตนอย่างเย็นชาเท่านั้น ก็ยกอุ้งเท้าของตนขึ้นเสยขนบนหัวของตนแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าข้าก็รูปโฉมน่ามองมากเช่นกัน แต่ท่านไม่ต้องมองข้าเช่นนี้หรอก ข้าจะเขินเอาน่ะสิ!”
ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะไม่เหมาะสม แต่พวกโอวหยางเฟยก็ยังอดหัวเราะขึ้นมามิได้
ก่อนหน้านี้เจ้านี่เกี้ยวพานภรรยาของเชียนอิน ตอนนี้ยังมาเกี้ยวพานสัตว์อสูรเหนือเทพอีก มันนี่ช่างไม่เลือกเพศชายหญิงเลยจริงๆ!
สัตว์อสูรเหนือเทพมองขนนกที่หน้าตาเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้แล้วมองเจ้าคำรามน้อยที่แสนจะหลงตัวเอง มุมปากก็ยกยิ้มเล็กน้อย “เอาขนของข้าไปทำไม้เขี่ยไฟ…ดีมาก ดีเหลือเกิน!”
“แค่กๆ นี่ข้ามิได้บอกไปแล้วหรอกหรือว่าข้าไม่รู้ว่านั่นคือขนของท่าน ว่ากันว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด…” เจ้าคำรามน้อยพูดมาถึงสุดท้าย น้ำเสียงก็เบาลงเรื่อยๆ
“ในเมื่อเจ้าเผาขนนกของข้า เช่นนั้นข้าเผาเจ้าบ้างก็แล้วกัน!” เสียงของสัตว์อสูรเหนือเทพเบาบางอย่างยิ่ง แต่กลับทำให้ผู้คนเบื้องล่างสัมผัสได้ถึงแววอาฆาตอันเยียบเย็น
เจ้าคำรามน้อยเห็นว่าเขาดูไม่เหมือนพูดปด จึงโยนขนนกในมือทิ้งแล้วพุ่งทะยานไปหาซือหม่าโยวเย่ว์
“เย่ว์เย่ว์ ช่วยข้าด้วย!”
ซือหม่าโยวเย่ว์อดคิดอยากกลอกตาใส่มิได้ อีกฝ่ายเป็นถึงสัตว์อสูรเหนือเทพ เธอสู้ไม่ได้แม้กระทั่งนิ้วมือข้างเดียวของเขา มาร้องขอให้เธอช่วยชีวิตจะมีประโยชน์อันใดกันเล่า!
เปลวเพลิงกองหนึ่งปรากฏขึ้นในอุ้งมือของสัตว์อสูรเหนือเทพ เขาโบกเบาๆ เปลวเพลิงนั้นก็ลอยไปหาเจ้าคำรามน้อย
เจ้าคำรามน้อยรู้สึกว่ามีความร้อนแผ่เข้ามาใกล้จากด้านหลัง มันหันหน้าไปมอง เปลวเพลิงกองหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาหามันเสียงดังพึ่บพั่บ ทำเอามันตกใจเสียจนรีบเลี้ยวโค้งเปลี่ยนทิศทางไปจากเดิม
คิดไม่ถึงว่าเปลวเพลิงนั้นดูเหมือนจะตรึงเป้าหมายไว้ที่เจ้าคำรามน้อยแล้ว จึงเลี้ยวโค้งไปด้วย ตามติดมันต่อไป
“แม่เจ้าโว้ย! เจ้านี่มันยังเลี้ยวตามมาได้ด้วย” เจ้าคำรามน้อยตกใจแล้วรีบเลี้ยวไปอีกทางหนึ่งเพื่อหลบเลี่ยงเปลวเพลิงนั้น
เห็นได้ชัดว่าเป็นช่วงเวลาที่แสนอันตราย แต่ผู้คนด้านล่างกลับรู้สึกเหมือนกำลังดูการแสดง โดยเฉพาะเมื่อเจ้าคำรามน้อยวิ่งไปพลาง ร้องโวยวายไปพลาง บวกกับร่างกายน่าเอ็นดูของมัน ช่างชวนให้คนอดหัวเราะขำมิได้
เจ้าคำรามน้อยเห็นว่าทำอย่างไรก็มิอาจหลบเลี่ยงเปลวเพลิงได้ จึงร้องคร่ำครวญอยู่กลางเวหาว่า “เย่ว์เย่ว์ พี่ใหญ่ ช่วยข้าด้วยเถิด! หากพวกเจ้ายังไม่ลงมือ ข้าก็จะกลายเป็นเนื้อย่างแล้วนะ!”
ซือหม่าโยวเย่ว์จนใจ ถึงแม้ว่าเจ้านี้จะก่อเรื่องวุ่นวายให้เธออยู่ตลอด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสัตว์อสูรวิเศษของเธอ ตนรังแกคนของตนได้ แต่ผู้อื่นจะมารังแกมิได้
เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์คิดจะขึ้นไป ไป๋อวิ๋นฉีจึงรั้งเธอเอาไว้แล้วพูดว่า “นั่นมันสัตว์อสูรเหนือเทพเชียวนะ!”
ซือหม่าโยวเย่ว์ปัดมือไป๋อวิ๋นฉีทิ้งเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เจ้าคำรามน้อยเป็นคนในครอบครัวของข้านะ”
พอพูดจบเธอก็ลุกขึ้นเหินไปหาเจ้าคำรามน้อยพลางรวบรวมปราณวิญญาณเอาไว้ในอุ้งมือ ก่อนจะโจมตีไปทางเปลวเพลิงนั้นอย่างรวดเร็ว
เจ้าคำรามน้อยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์จึงพุ่งเข้าใส่อ้อมแขนของเธอในทันทีแล้วพูดว่า “เย่ว์เย่ว์ หากเจ้ายังไม่ช่วยข้าอีก ข้าคงถูกเผาตายเสียแล้ว แงๆๆ”
เดิมทีซือหม่าโยวเย่ว์คิดจะสั่งสอนเจ้าคำรามน้อยสักหน่อย ไม่อยากจะหุนหันเช่นนี้ทุกครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าขนบนบั้นท้ายของมันถูกเผาไหม้ไปส่วนหนึ่งแล้วก็เจ็บปวดใจอยู่บ้าง
ถ้าหากมิใช่เพราะพลังยุทธ์ของตนอ่อนแอถึงเพียงนี้ เจ้าคำรามน้อยก็คงจะไม่กลายเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่ไร้ซึ่งพลังการต่อสู้พรรค์นี้หรอก
ถึงอย่างไรมันก็เป็นสัตว์อสูรเทพโบราณ การต่อกรกับสัตว์อสูรเหนือเทพสักตนย่อมไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดเลย
ทุกคนตกใจกับการที่เธอรับมือกับเปลวเพลิงของสัตว์อสูรเหนือเทพตรงๆ เป็นอย่างยิ่ง ย่อมไม่มีผู้ใดคิดว่าเธอจะทำให้เปลวเพลิงสลายไปได้อยู่แล้ว
แต่เปลวเพลิงของสัตว์อสูรเหนือเทพก็สลายตัวไปเพราะเปลวเพลิงของเธอจริงๆ
สัตว์อสูรเหนือเทพเห็นซือหม่าโยวเย่ว์สลายเปลวเพลิงของตน เพลิงโทสะในใจก็ยิ่งรุนแรงขึ้น แล้วขว้างเปลวเพลิงอีกหลายกองออกมาอย่างรวดเร็ว
“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว”
ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้เปลวเพลิงล้อมมือของตนเอาไว้แล้วชกให้เปลวเพลิงของสัตว์อสูรเหนือเทพสลายตัวไปทีละหมัดๆ
“พรึ่บ…”
“เปลวเพลิงของโยวเย่ว์น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“ข้าสัมผัสถึงอุณหภูมิอันน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าได้ในเปลวเพลิงของนาง”
“ถึงกับสลายเปลวเพลิงของสัตว์อสูรเหนือเทพได้ ที่แท้เจ้าคนผู้นี้มีความเป็นมาเช่นไรกันแน่!”
พวกเว่ยจือฉีทั้งสี่คนประสานสายตากันปราดหนึ่ง พวกเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเปลวเพลิงของซือหม่าโยวเย่ว์จะน่าพรั่นพรึงถึงเพียงนี้
“นี่มิใช่เปลวเพลิงที่นางใช้ในยามปกติ” เป่ยกงถังพูดด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
เปลวเพลิงปกติที่เธอใช้ ถ้าไม่ใช่ตนใช้ปราณวิญญาณควบรวมขึ้นมาเอง ก็เป็นเปลวเพลิงของย่ากวง แต่ที่ใช้ในวันนี้ย่อมมิใช่สิ่งที่เธอเคยใช้มาก่อนอย่างแน่นอน
“เย่ว์เย่ว์ เยี่ยมไปเลย!” เจ้าคำรามน้อยพูดอย่างตื่นเต้นอยู่บนบ่าของซือหม่าโยวเย่ว์
ซือหม่าโยวเย่ว์หันมาถลึงตาใส่มัน มันจึงรีบสงบปากสงบคำ
แววตาของนางบอกว่าถ้าหากตนยังไม่เงียบอีก นางก็จะขว้างตนออกไปแล้วนะ!
สัตว์อสูรเหนือเทพมองซือหม่าโยวเย่ว์ เปลวเพลิงบนฝ่ามือของเธอทำให้เขาเกิดความรู้สึกกดดันชนิดหนึ่ง แม้กระทั่งเปลวเพลิงในร่างเขาก็ถูกกดดันเอาไว้ด้วย
“เปลวเพลิงอันใดของเจ้ากัน”
ซือหม่าโยวเย่ว์ขยับนิ้วมือ เมื่อเห็นเปลวเพลิงของเขา เธอก็รู้ว่าเปลวเพลิงที่เคยใช้มาก่อนหน้านี้ล้วนไร้ประโยชน์ ดังนั้นในตอนแรกเธอจึงได้ผสานเปลวเพลิงของเพลิงชาดเข้าไปในเปลวเพลิงของตนเล็กน้อย
เพียงแค่นี้กลับสลายเปลวเพลิงของสัตว์อสูรเหนือเทพได้ นี่ทำให้เธอเองก็ประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน
“ตอนนั้นเจ้าคำรามน้อยไม่รู้จริงๆ ว่านี่คือขนของท่าน เมื่อครู่ก็ได้ขอโทษท่านไปแล้ว ขอให้ท่านโปรดวางมือแล้วปล่อยมันไปด้วย”
“หึ ปล่อยมันไปอย่างนั้นหรือ ผู้ที่ทำให้ข้าขุ่นเคืองล้วนต้องตายทั้งสิ้น! เจ้าอาจจะไม่เกรงกลัวต่อแรงกดดันของข้า ทั้งยังกดดันเปลวเพลิงของข้าเอาไว้ได้ด้วย แต่ข้ายังทำได้มากกว่านี้อีก”
พอพูดจบเขาก็โบกมือกลางอากาศสองครั้ง พายุหมุนขุมหนึ่งก่อตัวขึ้นด้านหลังเขาอย่างช้าๆ
……………………………………..