จีเฉวียน “มาช้าไปอยู่บ้าง”
หวายอิงที่ร้องเมียเมีย “…..” ท่านลองรีบรุดมาจากดาวสีดำดูบ้างสิว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดกัน
ต่อให้ใช้เวทย์ย่อระยะเดินทาง ยังต้องสิ้นเปลืองเวลาหลายวัน
อย่าว่าแต่มันยังต้องไปตรวจสอบเรื่องบางประการก่อน
แต่ว่าก็ตรวจสอบมาเรียบร้อยชัดเจนแล้ว
หวายอิงคุกเข่าอยู่บนพื้น ปีกสีแดงสองข้างพอกางออกก็แทบจะคลุมตำหนักไท่เหิงกงลงไป
ดวงตาสีแดงราวกับถูกย้อมไปด้วยเลือดคู่นั้นกระพริบตาพริบๆมองดูจีเฉวียนอย่างไม่วางตา “ฝ่าบาททรงอภัยด้วย”
คำอธิบายใดๆ ล้วนไม่จำเป็นต้องพูดออกไปแล้ว
ตั้งแต่แรกเริ่มมามันก็คือสัตว์อสูรในพันธสัญญาของซีเหออยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงไปได้
แม้ว่าตอนนั้นร่างเนื้อของมันจะถูกกักขังเอาไว้ในเจดีย์ของแดนสวรรค์ แต่ว่าวิญญาณของมันก็ได้ติดตามฝ่าบาทไปแล้ว จิตวิญญาณของมันแฝงอยู่ในดวงจิตของฝ่าบาท รอคอยโอกาสที่จะได้ออกมา
ดังนั้นในชาตินี้ ตอนแรกดวงจิตของมันจึงจับพลัดจับผลูกลายเป็นตัวประหลาดเมียเมีย
จนกระทั่งเมื่อร่างหลักของฝ่าบาทหลอมรวมเข้ากับร่างแบ่งภาคและกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ดวงจิตของมันถึงได้กลับคืนสู่ร่างเนื้อของตนเอง
หลังจากนั้น ก็ถูกหวังเฟยและฝ่าบาทปลุกขึ้นมา
เพียงแต่ว่าร่างเนื้อหลับลึกไปเนิ่นนาน พอพึ่งจะตื่นขึ้นมาจึงยังมิได้ทบทวนความทรงจำ ถึงจดจำฝ่าบาทไม่ได้
ถึงแม้ว่าผู้อื่นจะเห็นว่า จีเฉวียนคือร่างแบ่งภาคของซือมั่ว
แต่ว่าหวายอิงย่อมรู้ดีว่า ที่จริงแล้วซื่ือมัวต่างหากที่เป็นร่างแบ่งภาคของจีเฉวียน
ในฐานะที่เป็นสัตว์อสูรในพันธะของซีเหอ จิตวิญญาณของมันย่อมต้องติดตามจิตวิญญานหลักของซีเหอไปเกิดใหม่
และมันก็เกิดใหม่ขึ้นมาพร้อมกับจีเฉวียน
ดังนั้นจึงสามารถบอกได้ว่า จีเฉวียนที่ลงมาเกิดใหม่ในวัฏสงสารต่างหากที่เป็นร่างหลักของซีเหอ
ในยุคบรรพกาลนั้น จู่ฮว๋ายใช้ร่างกายของตนเองรองรับทัณฑ์สวรรค์ครั้งสุดท้ายเอาไว้ แต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ ซีเหอได้ใช้คาถาผสานวาสนา เพื่อสืบสานวาสนารักที่มีมาแต่ชาติก่อนกับนางต่อไป
เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ร่างหลักของเขาก็จะคล้อยตามพลังของคาถาผสานวาสนา นำพาไปยังสถานที่ที่เขาควรจะไป เพื่อตามหาคนรักในชาติก่อน
ถึงแม้ว่าในตอนนั้นคนทั้งสองต่างก็ลืมทุกอย่างจนหมดสิ้นไปแล้ว แต่โชคชะตาที่จะต้องได้ประสบพบกัน ได้มีวาสนาต่อกัน และได้เคียงคู่กันนั้นก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
ที่บอกว่าเป็นวาสนาบังเอิญได้พบกันนั้น ล้วนเป็นเพียงคำอธิบายของพวกมนุษย์เท่านั้น
หวายอิงมองดูคนทั้งสองที่แทบจะตัวติดกันในตอนนี้ ก็ต้องคิดไปถึงวาสนารักในความทุกข์ระทมของทั้งสองในกาลก่อน ในที่สุดชาตินี้ก็สามารถลงเอยด้วยดีได้แล้ว นับว่าจบลงอย่างมีความสุข
ตี้เสียเห็นแล้ว แม้แต่แส้ทลายนภาในฝ่ามือของเขายังถูกดึงจนแทบจะขาดสะบั้น เจ้าตัวประหลาดนี้ ตอนที่พึ่งถูกจับขังอยู่ในเจดีย์กำราบเทพมารนั้น พระองค์ได้ใช้ทุกวิถีทางก็ยังไม่อาจสยบมันลงได้
แต่ว่าตอนนี้มันกลับคุกเข่าอยู่ที่เบื้องหน้าของบุรุษผู้นั้น!
คนผู้นั้น มันมีฐานะอันใดกัน? อย่างมากก็เป็นเพียงแค่ร่างแบ่งภาคเท่านั้น!
ตี้เสียกำลังจะเอ่ยปาก ยังไม่ทันจะได้ส่งเสียงสักคำ ก็ได้ยินเสียงกู่ร้องดังกึกก้องของสัตว์อสูรจำนวนมาก ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจดีย์กำราบมารย้อนกลับเข้ามาในสมองของพระองค์ทันที
พอเงยพระพักตร์ขึ้นมา ก็เห็นเจ้านกยักษ์กำลังสยายปีกบินเข้ามา!
หัวคิ้วของตี้เสียถึงกับโลดขึ้นมา เจ้านกยักษ์เป็นสัตว์อสูรในพันธะของพระองค์!
ตอนแรกเจ้านกยักษ์บินตรงมายังตี้เสีย ตี้เสียบังเกิดความยินดี พระองค์กำลังจะเรียกเจ้าสัตว์หน้าขนนี้ลงมา แต่ขณะที่มันกำลังจะบินมาถึงเบื้องหน้าพระองค์ก็หมุนตัวกลับอย่างกระทันหัน เบนศีรษะบินไปทางจีเฉวียนแทน
หลังจากนั้นมันก็ร่อนลงมา กรงเล็บที่แหลมคมตะกุยลงไปบนพื้น เกิดเป็นประกายดอกไม้ไฟชุดใหญ่ ลากเป็นทางยาวไปจนถึงเบื้องหน้าของจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน
ในดวงตาใหญ่โตราวระฆังทองแดงที่โหดเหี้ยมและดุร้ายคู่นั้น มีน้ำตาไหลลงมาเป็นทางยาว ปีกที่ใหญ่โตเก็บแนบลำตัว กระทั่งจมูกก็มีน้ำมูกไหลออกมา
“ฝ่าบาท ผู้น้อยผิดไปแล้ว ผู้น้อยไม่สมควรสร้างความขุ่นเคืองใดๆให้กับฝ่าบาทและหวังเฟย ขอฝ่าบาททรงละเว้นผู้น้อยสักครั้ง ต่อไปภายหน้าผู้น้อยขอเป็นวัวเป็นม้ารับใช้เพื่อตอบแทนพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์”
“แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก…..”
หากว่ารู้ตั้งแต่แรก ว่าเขาก็คือมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ในยุคบรรพกาลผู้นั้น ต่อให้มันได้กินดีหมีหัวใจเสือมาก็ไม่ขอไปหาเรื่องอย่างเด็ดขาด
ดูเอาสิ ผู้ที่ขนาดพี่ใหญ่หวายอิงของพวกมันยังต้องให้ความเคารพนพนอบ แต่ว่าก่อนหน้านี้มันกลับทำความผิดยิ่งใหญ่
พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เจ้านกยักษ์ก็ตัวสั่นสะท้าน น้ำตานองมองดูจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลันด้วยความระมัดระวังและประหวั่นพรั่นพรึง
วิญญาณทมิฬนั่งอยู่บนหัวของมัน ขาสั้นๆขยับไปมา ดวงตากลมๆราวเมล็ดถั่วคู่นั้นจดจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน ร่ำร้องปานจะร้องไห้เช่นกัน “หงิง หงิง หงิง หลันหลัน เจ้าไม่เป็นไรแล้ว ช่างดีเหลือเกิน!”
ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้มันจดจำตำแหน่งของตะเกียงวิญญาณผิดไป จึงทำให้หลันหลัน…..แต่ฝ่าบาทก็ได้ทรงลงโทษมันไปแล้วมิใช่หรือ ถึงขนาดทิ้งมันที่เป็นเพียงอสูรตัวจิ๋วเอาไว้บนดวงดาวสีดำดวงนั้น ทำให้มันต้องตกอยู่ท่ามกลาง….เหล่าพี่ใหญ่สัตว์อสูรจำนวนมากมาย
ไม่รู้ว่าทำไมเหล่าสัตว์อสูรที่ยิ่งใหญ่ถึงได้ขี้เบื่อนัก ทุกวันเป็นต้องบีบบังคับให้มันทำการแสดงออกมา เพื่อรักษาชีวิตน้อยๆให้รอด มันต้องครุ่นคิดหาวิธีจะสร้างความสนุกสนานให้กับพี่ใหญ่เหล่านี้ทั้งวันทั้งคืน
ดูสิ จากเดิมทีมันเคยมีขนดำมันเงางาม ตอนนี้ใกล้จะร่วงหมดแล้ว เพราะความเครียดเป็นเหตุ
ยังดีๆ ที่หลันหลันกลับมาเป็นปกติแล้ว
ตู๋กูซิงหลันมองดูเจ้าสองตัวนั้นทำท่าทางน่าสงสาร ก็เกือบจะทนไม่ไหว
คงเป็นเพราะว่าไม่ได้เจอเจ้าวิญญาณทมิฬมาตั้งนานแล้ว พอได้เห็นก็รู้สึกคิดถึงมาเป็นพิเศษ นางจึงกวักมือเรียกมัน “มานี่สิ ข้าจะอุ้ม”
วิญญาณทมิฬ “หงิง~” ครั้งนี้มันต้องน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้ง
ขาสั้นๆของมันงอลงและออกแรงกระโดด ยังไม่ทันจะดีดตัวขึ้นไปหาอ้อมแขนของตู๋กูซิงหลัน มันก็รู้สึกได้ถึงประกายจากดวงตาที่แหลมคมที่ส่งมาถึงตัวมันก่อน แทบจะแทงเข้าหัวใจตรงๆ
สิ่งนั้นเป็นเหมือนกับกำแพงที่มองไม่เห็น สกัดกั้นมันเอาไว้อย่างจริงจัง
วิญญาณทมิฬรีบถอยกลับมาบนศีรษะของเจ้านกยักษ์ เงยหน้าขึ้นมองดูแววตาที่เย็นยะเยือกของจีเฉวียน พอเห็นก็เกือบจะช๊อคตายคาที่
อย่าได้แหยม อย่าได้ไปแหย่อย่างเด็ดขาด
มุมปากของตู๋กูซิงหลันโค้งลง นางรู้สึกได้ว่าถูกจีเฉวียนกอดเอาไว้ทั้งร่างอย่างแนบแน่นกว่าเดิม ริมหูก็ได้ยินเสียงทุ้มๆของเขาลอยเข้ามา “ไม่อนุญาตให้ซิงซิงกอดตัวอะไรทั้งนั้น กอดได้แต่เพียงข้า”
มุมปากของตู๋กูซิงหลันเหยเกในทันที “เดี๋ยวก่อนสิพี่ชาย แค่สุนัขที่เลี้ยงตัวหนึ่ง เจ้าก็ต้องหึงหวงด้วยหรือ?”
จีเฉวียน “มันเป็นอึก้อนหนึ่ง หากว่าเจ้ายังจะอุ้ม ข้าก็จะหึง”
ตู๋กูซิงหลัน “….” หากไปอุ้มอึก้อนหนึ่งจริงๆ สมองของนางก็คงต้องมีปัญหาแล้วกระมั้ง?
วิญญาณทมิฬ “?” มันรู้สึกเหมือนโดนดูถูกเลย ขอบใจนะ อืม….แต่ว่าตัวน่ารักอย่างข้าคงไม่กล้าไปเอาเรื่องเขาซึ่งๆหน้า
เฮ้อ เหม็นสาบความรักนั่นแทบตายแล้ว เชอะ!
แล้วเจ้าติ๊งต๊องของมันละ? ราชาสุนัขป่าตะวันตกของมันล่ะ? เจ้าสองตัวนั้นมิใช่ว่าคอยแต่จะคิดถึงมันอยู่ตลอดเวลาหรอกหรือ!
“อ่าวฮู้!”
เสียงกู่ร้องคำรามดังมาแต่ไกล ทำลายความตื่นเต้นที่จะได้มีความสุขกับเขาบ้างของวิญญาณทมิฬพังทลายลงไปในชั่วพริบตา
พอหันกลับไปดู ก็เห็นว่าบรรดาสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์จากดวงดาวสีดำลูกนั้นพากันแห่แหนมาถึงอย่างรีบร้อน
พริบตาเดียวก็รายล้อมพื้นที่ตรงนี้เอาไว้กว่าครึ่ง
เหล่าเทพนักรบที่ถูกเรียกตัวออกมา พอได้เห็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปด้วยตาของตนเองก็ต้องตาค้างจนบ้าใบ้ไป
นี่พึ่งจะห่างจากวันที่แดนสวรรค์ตกอยู่ในความวุ่นวายในครั้งก่อนเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
ต่อให้พวกเขาหลับฝันก็ยังคิดไม่ถึงว่า เจ้าสัตว์ประหลาดเหล่านี้จะมีความสามารถล้นเหลือจนถึงกับสามารถกลับมาเข่นฆ่าบนแดนสวรรค์ได้อีกครั้ง?
อีกทั้ง….แค่มองดูเพียงผ่านก็ยังเห็นว่าพวกมันในตอนนี้ยังแข็งแกร่งขึ้นกว่าในตอนแรกเสียอีกละมั้ง?
วันนี้ คงต้องสูญเสียชีวิตของเหล่านักรบสวรรค์ไปเกินกว่าครึ่ง จึงจะสามารถหยุดเรี่ยวแรงของเหล่าอสูรพวกนี้ไว้ได้?
เหล่าเทพต่างก็เกิดความลังเลไปหมดแล้ว จึงได้แต่หันกลับไปหาตี้เสียที่อยู่ตรงศูนย์กลาง ทยอยกันไปรายล้อมจีเฉวียนเอาไว้ตรงกลาง
ขอเพียงยังมีจักรพรรดิ์สวรรค์อยู่ ทั้งหมดก็ไม่จำเป็นต้องร้อนลนไป
…………..