“เป็นไปได้อย่างไรกัน!” จ้าววิญญาณหูเองยังไม่อยากจะเชื่อ เขารู้จักแรงกดดันของตัวเองเป็นอย่างดียิ่ง เพราะพลังจิตแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น แรงกดดันของเขานี้แม้แต่คนในระดับขั้นเดียวกันก็ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้เลยด้วยซ้ำ!
แต่ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังกลับไม่รู้สึกรู้สาเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาคือผู้แข็งแกร่งระดับจ้าววิญญาณอย่างนั้นหรือ
ผู้คนไม่น้อยคิดเช่นนี้ แต่ก็สลัดความคิดทิ้งไปในทันที จ้าววิญญาณวัยเยาว์เช่นนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า!
“พวกเจ้าต้านทานแรงกดดันของท่านอาจารย์หูได้อย่างไร บนร่างกายพวกเจ้ามีสิ่งล้ำค่าอันใดอยู่เช่นนั้นหรือ” ซีเย่ว์ซีมองทั้งสองคนอย่างสงสัย
“ข้าเองก็หวังให้พวกเรามีสิ่งล้ำค่าเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน ใช่หรือไม่ เป่ยกง?” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เป่ยกงถังพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของซือหม่าโยวเย่ว์
“หากมิใช่เพราะใช้สิ่งล้ำค่า แล้วพวกเจ้าจะต้านทานแรงกดดันเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!” ซีเย่ว์ซีไม่เชื่อ
“ถ้าหากเจ้าฝึกฝนให้มากเช่นนี้ก็ทำได้เองแหละ จริงหรือไม่ เจ้าไก่ฟ้า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบก็มองไปยังเจ้าไก่ฟ้าที่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนหลังคามาโดยตลอดปราดหนึ่ง
เจ้าไก่ฟ้าเข้าใจความหมายของเธอ จึงโฉบร่างร่อนลงมาข้างกาย
มีคนในกลุ่มโอหังจำเขาได้ จึงร้องอุทานขึ้นอย่างตกใจว่า “เฮ้ย ข้านึกขึ้นได้แล้ว เขาก็คือสัตว์อสูรเหนือเทพที่ทำให้สัตว์อสูรวิเศษในเมืองไตรวารีเกิดการจลาจลก่อนหน้านี้ตนนั้นอย่างไรเล่า!”
“สัตว์อสูรเหนือเทพหรือ!”
เบื้องล่างเกิดความโกลาหลขึ้น แต่ละคนพากันเบิกตากว้าง ปากอ้าค้างจนคางแทบจะร่วงลงพื้น
เจ้าไก่ฟ้ามองจ้าววิญญาณหูปราดหนึ่ง สายตานั้นทำให้ร่างกายเขาแข็งเกร็งไป แล้วร่วงหล่นจากกลางอากาศ
ตัวตนของเจ้าไก่ฟ้าพลิกกระแสน้ำให้วกกลับอย่างสิ้นเชิง ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นเหล่านั้นตื่นตะลึง
คนที่จากไปเหล่านั้นนึกเสียใจอยู่ไม่น้อย พวกเขารู้สึกว่าคราวนี้กลุ่มนกนางนวลคงต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา ดังนั้นจึงคิดจะออกมา แต่เพียงแค่สัตว์อสูรเหนือเทพตนนี้ปรากฎตัวขึ้น ก็เพียงพอที่จะทำลายล้างคนของกลุ่มโอหังที่มีอยู่ทั้งหมดได้แล้ว
พวกฉินหมิงตกตะลึงกันไปหมดแล้ว มีสัตว์อสูรเหนือเทพอยู่ทั้งที ยังต้องมาต่อสู้อะไรกันอีกเล่า! ถ้าหากพวกเขารู้ก่อนว่าอีกฝ่ายมีสัตว์อสูรเหนือเทพอยู่ ย่อมต้องรอให้พวกซือหม่าโยวเย่ว์จากไปก่อนแล้วค่อยเริ่มการโจมตีแน่นอนอยู่แล้ว
ตอนนี้เป็นเช่นนี้ พวกเขาอยากถอยก็ไม่ทันแล้ว!
ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะอย่างร้ายกาจ “ได้ยินว่าท่านหัวหน้ากลุ่มฉินให้ท่านลุงไป๋มอบตัวพวกเราออกมานี่ ตอนนี้พวกเราก็อยู่ที่นี่กันแล้ว ท่านคิดจะทำเช่นไรล่ะ หรือแค่อยากจะให้พวกเราโผล่หัวมาให้เห็นเล่า”
ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ เธอก็เอ่ยต่อไปว่า ”อ้อ พวกท่านยังคิดจะใช้พวกเราเป็นข้ออ้างในการล้างบางกลุ่มนกนางนวลอีกด้วย เรื่องนี้พวกเราไม่มีทางรับปากแน่”
“โยวเย่ว์ จะมัวเปลืองน้ำลายกับพวกเขาอยู่อีกทำไม บุกมาถึงหน้าบ้านเรา ถึงอย่างไรวันนี้ก็ต้องทำให้พวกเขาไปไม่กลับให้ได้” ไป๋อวิ๋นฉีประกาศก้อง
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไก่ฟ้าบอกเอาไว้แล้วว่าเขาจะไม่ลงมือกับคนที่มีพลังยุทธ์ต่ำต้อย จะเป็นการทำลายเกียรติของเขามากเกินไป ดังนั้นพวกเจ้าต้องจัดการคนระดับต่ำกว่าจ้าววิญญาณกันเอาเองนะ! อ้อ ท่านอาจารย์หูอะไรนั่น เขาคือผู้ที่ทำร้ายท่านลุงจนบาดเจ็บ เจ้าไก่ฟ้า เจ้าอย่าทำเขาตายเสียล่ะ เก็บเอาไว้ให้ท่านลุงแก้แค้นเอง!”
“ไอ้หยา… โยวเย่ว์ เป็นครั้งแรกเลยที่ข้ารู้สึกว่าเจ้าอำมหิตถึงเพียงนี้!” เจ้าอ้วนชวีมิอาจยับยั้งส่วนที่เป็นนักสู้ในตัวเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาชูกำปั้นขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม
การเคลื่อนไหวนี้ของเขาทำให้สมาชิกกลุ่มนกนางนวลที่หักห้ามเอาไว้มาตลอดเริ่มเปิดศึกด้วยเช่นกัน พวกเขาสะสมความโกรธแค้นเอาไว้ในใจมากมายเหลือเกินมาตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว วันนี้ได้ระบายออกมาพอดี ด้วยเหตุนี้พลังการต่อสู้ของทุกคนจึงพุ่งสูงขึ้น
ถึงแม้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะบอกว่าเจ้าไก่ฟ้าจะไม่ลงมือกับคนที่มีพลังยุทธ์ต่ำ แต่เมื่อนึกถึงว่าเขาเป็นคนของกลุ่มนกนางนวล ทหารตัวเล็กตัวน้อยของกลุ่มโอหังก็คล้ายถูกทำให้พิการ พลังการต่อสู้ลดฮวบลงไปอย่างมาก
ถึงแม้ว่าตอนนี้กลุ่มโอหังจะมีจำนวนคนมากเกือบสองเท่าของกลุ่มนกนางนวล แต่พลังการต่อสู้ตัวต่อตัวนั้นกลับห่างชั้นกับกลุ่มนกนางนวล ตกเป็นรองมาตั้งแต่เริ่มต้น
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูฉากอันโกลาหลเบื้องล่างแล้วเอ่ยว่า “ขอยกที่นี่ให้กับพวกเจ้าแล้วกันนะ!”
พอพูดจบเธอก็ลงไปเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย
“ข้าก็ขอสัมผัสพลังยุทธ์ของเจ้าสักคราหนึ่งแล้วกัน!” ซีเย่ว์ซีพูดจบก็พุ่งโจมตีเข้าใส่เป่ยกงถัง ทั้งสองคนสู้กันอยู่บนท้องฟ้าห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
ไป๋หยวนฉุนก็พุ่งเข้าใส่จ้าววิญญาณหู ทิ้งจ้าววิญญาณหลิ่วเอาไว้ให้ยืนมองเจ้าไก่ฟ้าอย่างระแวดระวัง
เจ้าไก่ฟ้าถอนหายใจแล้วพูดว่า “อันที่จริงแล้วข้าไม่ชอบ ไม่ชอบสังหารมนุษย์เอาเสียเลย แต่ใครใช้ให้พวกเจ้ามายั่วยุเขากันเล่า”
พอพูดจบเขาก็หลับตา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองก็ปรากฎแววในตาขึ้น เขาจ้องมองจ้าววิญญาณหลิ่วเขม็ง แววตาแปรเปลี่ยน จ้าววิญญาณหลิ่วผู้นั้นก็ถูกกักขังเอาไว้เสียแล้ว
“แหลกสลาย!”
เจ้าไก่ฟ้าพูดอย่างเรียบเรื่อยเสียงหนึ่ง ห้วงมิติที่กักขังจ้าววิญญาณหลิ่วเอาไว้ก็แหลกสลายไปในทันใด ร่างกายของเขาก็กลายเป็นไอโลหิตไปพร้อมกันด้วย
ฉากนี้ทำให้ผู้คนเบื้องล่างพากันตะลึงลาน เขาเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมิได้ขยับเขยื้อน ก็ทำให้จ้าววิญญาณขั้นสามผู้หนึ่งดับสูญไปโดยไม่เหลือแม้แต่ซากเสียแล้ว
แม้กระทั่งซือหม่าโยวเย่ว์เองเมื่อได้เห็นฉากนี้แล้วก็ยังหนาวสะท้าน ตอนนั้นถ้าหากตอนนั้นเขาใช้กระบวนท่านี้กับตน เพลิงชาดจะช่วยตนเอาไว้ได้หรือไม่
ฉากการตายของจ้าววิญญาณหลิ่วกระแทกหัวใจของทุกคนอย่างแรง ศักยภาพของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างมหาศาลอีกครั้ง
เดิมทีเจ้าเมืองของเมืองผิงคังยังบอกว่าจะไปช่วยซีเย่ว์ซี แต่เมื่อเห็นเจ้าไก่ฟ้าแล้วก็ตกใจจนรีบหดตัวกลับเข้าไปในจวนเจ้าเมืองทันที
“มารดาเอ๋ย… กลุ่มโอหังนี่ไปยั่วยุบุคคลเช่นนี้เข้าได้อย่างไรกัน!” เจ้าเมืองตบหน้าอกพลางสบถด่า
โชคดีที่เขามิได้แสดงใจภักดีจะไปช่วยเหลือซีเย่ว์ซีตั้งแต่แรก มิฉะนั้นเกรงว่าตอนนี้คนคงจะกลายเป็นวิญญาณใต้ดาบนี้ไปแล้ว
ขุมอำนาจจำนวนไม่น้อยก็มีความคิดแบบนี้เช่นกัน โชคดีที่มิได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ด้วย
และขุมอำนาจที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับกลุ่มนกนางนวลมาก่อนหน้านี้ แต่คราวนี้มิได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือก็นึกเสียใจไม่น้อยเลย มีสิ่งมีชีวิตอย่างสัตว์อสูรเหนือเทพอยู่ ในภายหน้ากลุ่มนกนางนวลจะยังก้าวหน้าได้น้อยอยู่อีกหรือ
“ฮ่าๆ ข้ายังไม่เคยสู้กับคนมากมายถึงเพียงนี้มาก่อนเลย!” เจ้าอ้วนชวีเหวี่ยงกำปั้น หนึ่งหมัดจัดการหนึ่งคน ทำให้เขาสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง
ซือหม่าโยวเย่ว์พยายามหาคู่ต่อสู้ที่พลังยุทธ์สูงสักหน่อย แต่คนเหล่านั้นล้วนถูกเจ้าไก่ฟ้าทำให้ตกใจกลัว ย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ของเธออยู่แล้ว จึงทำให้ความคิดของเธอที่จะหาคนมาต่อสู้ด้วยดีๆ ต้องสูญเปล่าไป
ก็เหมือนกับเธอออกหมัดแรงๆ ไปแล้วแต่กลับต่อยถูกปุยนุ่น ทำให้เธอหดหู่ใจไม่น้อยเลย
การต่อสู้ยกนี้ดำเนินไปตลอดวัน ทำให้ซากศพกองเต็มถนนหลายสายด้านหน้ากลุ่มนกนางนวล ผู้คนที่มากันต่างเป็นไปตามคำพูดประโยคนั้น… ไปไม่กลับ
พลังยุทธ์ของซีเย่ว์ซีและเป่ยกงถังนั้นใกล้เคียงกัน ในศึกชี้ขาดครั้งสุดท้าย นางก็โชคร้ายถูกเป่ยกงถังสังหาร
เจ้าอ้วนชวีมองดูซากศพที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นแล้วก็ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “เป็นองค์หญิงอยู่ดีๆ ดันมาเข้าร่วมกับเรื่องนี้ด้วย ตอนนี้จะมานึกเสียใจก็ไม่มีประโยชน์แล้วกระมัง”
“พลังยุทธ์ของนางไม่เลวเลยจริงๆ ถ้าหากมิใช่เพราะเป่ยกงฝึกฝนอยู่ในภูเขามาเนิ่นนานถึงเพียงนั้น เกรงว่าก็คงจะยังมิใช่คู่ต่อสู้ของนางหรอก” เว่ยจือฉีพูด
“ถึงอย่างไรก็มิใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว” โอวหยางเฟยพูด สิ่งที่มิได้พูดออกมาก็คือ ฆ่าไปแล้วก็ฆ่าไปเถิด
“องค์หญิงผู้นี้ได้รับความรักใคร่จากฝ่าบาทแห่งอาณาจักรจันทร์ประจิมเป็นอย่างยิ่ง พวกเราสังหารนางไป ก็เท่ากับล่วงเกินราชสำนักจันทร์ประจิมแล้วกระมัง” เป่ยกงถังพูดอย่างขอโทษขอโพยอยู่บ้าง
“จะไปกลัวอะไรกันเล่า ก็แค่ปรับไปตามสถานการณ์ ถ้าหากราชสำนักจันทร์ประจิมมีสมองสักหน่อยก็ไม่ควรจะมาหาเรื่องพวกเรา มิฉะนั้นพวกเราจะทำให้พวกเขามิได้อยู่อย่างเป็นสุขเลย!” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่ มิได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจเลย
พอถึงเวลาก็แค่บอกว่าเจ้าไก่ฟ้าฆ่านาง หากพวกเขาอยากแก้แค้นก็ย่อมได้ ก็ไปแก้แค้นเอากับเจ้าไก่ฟ้าแล้วกัน!
เจ้าไก่ฟ้าคล้ายกับจะสัมผัสได้ถึงความคิดในใจเธอจึงก้มหน้าลงมองเธอแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่