เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อพวกเขาเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่ก็แบ่งคนออกเป็นสามกลุ่ม ให้ทุกคนแยกกันเสาะหา
ก่อนแยกจากกัน ซือหม่าโยวเย่ว์ได้วาดรูปหญ้าจันทร์รำเพยและดอกกระบองเพชรอัสดงออกมา และบอกลักษณะพิเศษของผึ้งน้ำตาลให้ทุกคนทราบ และให้พวกเขาส่งคนมารายงานหากพบร่องรอย
คนทั้งสามกลุ่มแยกย้ายกันไปตามหา ซือหม่าโยวเย่ว์ ซือหม่าโยวหลานและซือหม่าโยวหลินอยู่กับผู้อาวุโสใหญ่ ส่วนจวินหลินก็เข้ามาร่วมด้วย นอกเหนือจากนั้นยังมีทหารยามสี่ห้าคนร่วมกลุ่มอยู่ด้วย
พวกเขาเดินมาได้ไม่ไกลเท่าใด ก็ได้ยินเสียงสวบสาบดังขึ้น
“มีความเคลื่อนไหว!” ผู้อาวุโสใหญ่หยุดลงแล้วมองไปยังเบื้องหน้าพลางเอ่ยว่า ”คุณชาย ท่านจัดการเพียงคนเดียวได้หรือไม่”
ซือหม่าโยวหลินหลับตาลงรับสัมผัสครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ได้สิ”
จากนั้นคนอื่นๆ ต่างก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ซือหม่าโยวหลินตรงไปข้างหน้าเพียงคนเดียว เขารวบรวมปราณวิญญาณซัดออกไปเบื้องหน้า แสงสว่างวาบปรากฏขึ้นภายในกอหญ้าที่สูงกว่าความสูงมนุษย์ในทันใด
“จระเข้ยักษ์เขียว!” ทหารยามเห็นรูปลักษณ์ของสัตว์อสูรวิเศษแล้วจึงร้องอุทานอย่างตกใจ “มีมากมายเสียด้วย!”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองปราดหนึ่ง จระเข้เหล่านี้มิได้มีระดับขั้นสูงมากนัก ถึงแม้จะมีจำนวนไม่น้อย แต่ก็มิได้เป็นอันตรายมากจนเกินไปนัก
ซือหม่าโยวหลินคนเดียวก็จัดการกับจระเข้ไปสิบกว่าตัว เงาร่างพลิกพลิ้วอยู่ท่ามกลางฝูงจระเข้ด้วยความเร็วสูง กระบี่ในมือคมกริบหาใดเปรียบ ปลิดชีวิตจระเข้ตัวแล้วตัวเล่า!
“คุณชายสู้ๆ นะขอรับ!” ทหารยามเห็นพลังการต่อสู้อันแข็งแกร่งอย่างยิ่งของซือหม่าโยวหลินแล้วจึงร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งเคยเห็นซือหม่าโยวหลินลงมือเป็นครั้งแรก การโจมตีของเขาฉับไวไร้ปรานี ทุกกระบวนท่าเข้าเป้าทั้งหมดไม่มีผิดพลาดเลย
“พลังการต่อสู้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ดูท่าทางยามปกติเขาคงตั้งใจฝึกการต่อสู้เป็นอย่างยิ่ง มิได้เอาแต่คอยรับการเอาอกเอาใจเหมือนคุณชายคุณหนูทั่วไปเลย”
เพียงไม่นานซือหม่าโยวหลินก็จัดการจระเข้เหล่านั้นจนหมดสิ้น โดยที่ตัวเองไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
“ไม่เลวเลยนี่” ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้าอย่างยอมรับ “พลังยุทธ์ของท่านในตอนนี้ หากประมือกับเด็กรุ่นเยาว์ในตระกูลคนอื่นๆ สักสองสามคนก็ไม่ใช่ปัญหาเลย”
โยวหลินเดินเข้ามา เขาเก็บกระบี่ในมือลงแล้วเอ่ยว่า “ข้าว่าไม่แน่หรอกนะ ระหว่างที่ข้าแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาก็ก้าวหน้าขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะน่าหลานเจี๋ย เขาทำให้ข้ารู้สึกคาดเดาไม่ได้บางอย่างอยู่ตลอดเลย”
“น่าหลานเจี๋ยเขาได้รับโอกาสมาไม่น้อยจริงๆ นอกจากนี้ในตอนนี้คนภายนอกก็มิอาจล่วงรู้พลังยุทธ์ของเขามานานแล้วด้วย ที่แท้แล้วระดับขั้นของเขาในตอนนี้อยู่ที่เท่าไหร่ คนของแต่ละขุมอำนาจต่างก็อยากรู้กันทั้งสิ้น” ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ย
“ข้าว่าเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของข้าในงานประลองครั้งนี้เลยล่ะ” โยวหลินพูดด้วยความมั่นใจ “ดังนั้นข้าเลยต้องเดินหน้าต่อไป เพื่อไม่ให้ล้าหลังกว่าเขา”
“งานประลองอะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
จวินหลินมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “เจ้าไม่รู้จักงานประลองจริงหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งจะมาถึงที่นี่ ยังไม่เคยได้ยินใครพูดถึงงานประลองอะไรมาก่อนเลย มันคืองานประลองอะไรหรือ”
“มันคือการแข่งขันระหว่างแต่ละขุมอำนาจใหญ่ ซึ่งจะใช้ผลของการแข่งขันนี้ในการตัดสินลำดับของขุมอำนาจ” โยวหลานอธิบาย “ถ้าหากขุมอำนาจชั้นหนึ่งพ่ายแพ้ เช่นนั้นก็อาจกลายเป็นขุมอำนาจชั้นสองได้ นอกจากนี้ขุมอำนาจที่ระดับต่ำกว่าก็ยังส่งคำท้าไปยังขั้นที่เหนือกว่าขั้นหนึ่งได้ด้วย ถ้าหากเอาชนะได้ พวกเขาก็จะได้เลื่อนสถานะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว ก็หมายความว่าที่จริงแล้วงานประลองก็คือการแข่งขันจัดอันดับของแต่ละขุมอำนาจใหญ่นั่นเองสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “น่าหลานเจี๋ยผู้นั้นดูท่าทางจะมีความสามารถอยู่จริงๆ นั่นแหละ”
“แน่นอนอยู่แล้ว เมื่อหนึ่งปีก่อนลือกันว่าเขาไปถึงระดับบรรพวิญญาณขั้นสี่แล้ว ตอนนี้ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว พลังยุทธ์จะต้องก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน” จวินหลินพูด “ถ้าหากรออีกสองปี ไม่แน่ว่าเขาอาจไปถึงระดับราชันไปวิญญาณก็เป็นได้นะ!”
“พี่โยวหลินก็ร้ายกาจมากเช่นเดียวกันนั่นแหละ!” ซือหม่าโยวหลานพูด “ข้าเชื่อว่าพี่โยวหลินจะต้องเอาชนะน่าหลานเจี๋ยผู้นั้นได้อย่างแน่นอน”
“อื้ม พี่ชายคนงามผู้นั้นของเจ้าร้ายกาจมากจริงๆ แหละ” จวินหลินพูด “เมื่อครู่เขามิได้แสดงระดับขั้นออกมาเลย นอกจากนี้ยังดูเหมือนจะมิได้ใชัพลังอย่างเต็มที่อีกด้วย ข้ามองระดับขั้นของเขาไม่ออกเลย ช่างน่าประหลาดยิ่งนัก!”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเขาอย่างแปลกประหลาดแวบหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร
พอเก็บซากจระเข้ขึ้นมาแล้วพวกเขาจึงมุ่งหน้าเดินลึกเข้าไป คนทั้งสามกลุ่มเสาะหากันอยู่หนึ่งวันก็ยังหาหญ้าจันทร์รำเพยและดอกกระบองเพชรอัสดงไม่พบเลย
แต่ทุกคนก็มิได้ย่อท้อ ของสิ่งนี้หาเจอง่ายๆ เสียที่ไหนกัน
ยามราตรี ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกเคล็ดหลอมวิญญาณอยู่บนยอดเขาตามลำพัง คนส่วนใหญ่ต่างพักผ่อนกันอยู่ที่เชิงเขา ทันใดนั้นเธอก็ลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยว่า “พี่โยวหลิน มัวหลบอยู่หลังต้นไม้ทำไมกัน”
ซือหม่าโยวหลินออกมาจากหลังต้นไม้แล้วพูดว่า “เห็นเจ้าออกมาคนเดียว เลยกลัวว่าเจ้าจะเกิดอันตรายอะไรเข้าน่ะสิ”
“พวกผู้อาวุโสใหญ่ก็อยู่ข้างล่าง แล้วจะเกิดอันตรายอะไรได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางหันหน้ากลับมา
ซือหม่าโยวหลินเดินเข้าไปแล้วมองดูดวงจันทร์บนผืนฟ้าพลางเอ่ยว่า “ความสามารถในการรับสัมผัสของเจ้าช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก รู้ได้ด้วยว่าข้าอยู่ตรงนั้น”
“แค่พอถูไถน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ความสามารถในการเก็บซ่อนกลิ่นอายของเจ้าร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากมิใช่เพราะมาพบข้าเข้า คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางพบตัวเจ้าได้หรอก”
“นี่เจ้ากำลังชมข้าหรือกำลังชมตัวเองกันแน่!” ซือหม่าโยวหลินมาถึงข้างกายเธอแล้วนั่งลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ชมทั้งหมดนั่นแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเครื่องหน้าเขาพลางเอ่ยว่า “คนผู้นี้ช่างหน้าตาน่ามองเสียจริง มิน่าเล่าถึงได้ถูกจวินหลินคิดว่าเป็นสตรีแล้วมาเกี้ยวพานเข้า”
ชมจันทร์กับบุรุษรูปงามคนหนึ่ง สถานการณ์เช่นนี้หากไม่มีสุราก็คงน่าเสียดายยิ่งนัก เธอจึงหยิบสุราออกมาสองไหแล้วส่งให้ซือหม่าโยวหลินไหหนึ่ง ทั้งสองชนไหสุรากันก่อนจะดื่มลงไป
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามีความสนใจใคร่รู้ในตัวเจ้ามาโดยตลอด” ซือหม่าโยวหลินหยิบไหสุราพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์
“มีความสนใจใคร่รู้ในตัวข้าอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่งสัย
“ข้ารู้จักเจ้าตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว” ซือหม่าโยวหลินพูด “หลังจากโยวหลานกลับมาก็ได้เล่า เรื่องในตอนนั้นให้ข้าฟัง บอกว่านางหวาดหวั่นในตัวเจ้า ความรู้สึกต้องการปกป้องครอบครัวอันแรงกล้าของเจ้าทำให้จิตใจของนางมิอาจสงบลงได้อยู่นาน ข้าได้ฟังนางเล่าว่าตอนนั้นเจ้าดวลกับท่านปู่ข้า เพื่อให้ได้มาพร้อมกันกับพวกท่านปู่ของเจ้าด้วย ข้ารู้สึกตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าถ้าหากเป็นคนครอบครัวเดียวกับเจ้าคงจะโชคดีเป็นแน่”
ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้รับคำ เพียงแค่ฟังเขาอย่างเงียบๆ เท่านั้น
“ความจริงแล้วผลอสรพิษทองคำคงอยู่ในมือเจ้าตั้งแต่ตอนนั้นแล้วกระมัง” ซือหม่าโยวหลินดูคล้ายกำลังตั้งคำถาม แต่ความจริงแล้วน้ำเสียงนั้นกลับค่อนข้างแน่ใจ
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนี้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เลิกคิ้ว
“ตอนนั้นเจ้าพูดอย่างมั่นใจถึงเพียงนั้นว่าจะหาผลอสรพิษทองคำให้ได้ภายในสามปี นอกเสียจากว่ามันอยู่กับตัวเจ้าแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าจะหาจนพบได้” ซือหม่าโยวหลินอธิบาย
ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะ มิได้ปฏิเสธ พร้อมกันนั้นก็ตะลึงไปกับความเฉลียวฉลาดของเขา
“เจ้าอยากปกป้องพวกท่านปู่ของเจ้า ข้าก็อยากจะปกป้องตระกูลซือหม่าด้วยเช่นกัน” ผ่านไปครู่ใหญ่ ซือหม่าโยวหลินจึงค่อยเอ่ยต่อไปว่า “ถ้าหากพวกเราล้มเหลวในคราวนี้ คงจะมิได้จบง่ายๆ เพียงแค่ถูกลดทอนจากขุมอำนาจชั้นหนึ่งกลายเป็นขุมอำนาจชั้นสองเท่านั้น พวกเราอาจจะถูกขุมอำนาจอื่นๆ ร่วมมือกันกำจัดก็เป็นได้”
“ข้าไม่เข้าใจเรื่องระหว่างขุมอำนาจใหญ่อย่างพวกเจ้าหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าไม่มีความสนใจในเรื่องเหล่านี้เลย เจ้าเล่าให้ข้าฟังไปข้าก็ไม่เข้าใจเรื่องความบิดเบี้ยวในนั้นอยู่ดี”
ซือหม่าโยวหลินหุบยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าดูออกอยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีความสนใจในเรื่องพวกนี้เลย”
“เช่นนั้นเจ้ามาเล่าเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟังทำไม” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจ
ซือหม่าโยวหลินมองเธอพลางเอ่ยอย่างจริงจังเป็นการเป็นงานว่า “ข้าอยากขอให้เจ้าช่วยข้าน่ะสิ”
……………………………….……