บทที่ 2 แทบจะล้มทั้งยืน
บทที่ 2 แทบจะล้มทั้งยืน
เมื่อหวังซื่อเห็นฉากนี้ก็รีบวิ่งหนีไปทันที แต่เลือดสีแดงสดของเด็กหญิงทำให้นางตกใจกลัวจนเท้าอ่อนเปลี้ย วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ล้มลง
“อย่ามายุ่งกับข้า! ใครสั่งให้มันขโมยกันเล่า ข้าเพียงแค่สั่งสอนเล็กน้อยเท่านั้นเอง อย่าตามข้ามานะ! อย่าตำหนิข้า…”
มู่ซืออวี่เบิกตากว้าง จ้องเขม็งไปที่หวังซื่อซึ่งกำลังวิ่งหนีไปจนตามไม่ทัน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรีบช่วยคนก่อน จากความทรงจำเจ้าของร่างเดิมนี้ นางจำได้ว่าในชนบทมีหมอเท้าเปล่า*[1] อยู่บ้าง คิดได้ดังนั้นนางก็ตัดสินใจอุ้มลู่จื่ออวิ๋นไปหาหมอ
“อย่ามาแตะต้องตัวน้องข้า!” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยขึ้นพร้อมผลักฝ่ามือของมู่ซืออวี่ออกไป เด็กชายเข้าไปอุ้มลู่จื่ออวิ๋นแทนแล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อกลับมาเมื่อไหร่จะต้องรู้เรื่องที่ท่านรังควานพวกเรา เขาไม่มีวันอภัยให้ท่านแน่!”
เด็กน้อยเรียนรู้ที่จะใช้น้ำเสียงโหดเหี้ยมคุกคามผู้อื่น ทว่ากลับสั่นเทาไปทั้งร่าง แค่นี้ก็เปิดเผยความกลัวของเขาออกมาแล้ว
มู่ซืออวี่มีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม รับรู้ได้ว่าในสายตาของเด็กทั้งสองคนนี้มองว่าตนเปรียบดั่งนังผีดุร้ายก็ไม่ปาน หากนางเอ่ยขึ้นว่าอยากช่วยชีวิตคน ลู่ฉาวอวี่ เด็กชายที่โตกว่าวัยคนนี้จะต้องไม่เชื่อแน่นอน
“จะขวางกันไปเพื่ออะไร? น้องเจ้าจะตายอยู่แล้ว ยังจะทำให้ยุ่งยากอีก ข้าขอดูสักนิดเถิดว่านางเป็นอย่างไรบ้าง” นางแสร้งทำเป็นใจร้อน ทว่าในแววตาก็แฝงไปด้วยความเจ็บปวดใจ
เด็กชายที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำได้เพียงแค่ถอยออกไป ตอนที่มู่ซืออวี่เข้าไปอุ้มลู่จื่ออวิ๋น สายตาของเขาหยุดมองที่ร่างของนางอยู่พักใหญ่
“น้องข้า…”
ถึงแม้ว่าลู่ฉาวอวี่จะโตก่อนวัย แต่เขาก็เป็นเพียงเด็กชายวัยห้าหนาวเท่านั้น เนื่องจากเขาไม่ได้รับโภชนาการที่ดี สองพี่น้องจึงดูเหมือนเด็กอายุสามถึงสี่หนาว
“เจ้านำหน้า นำทางข้าไป” มู่ซืออวี่กล่าวกับลู่ฉาวอวี่ “อ้วกออกมาเป็นเลือดเยอะขนาดนี้ต้องตามหมอมาดูอาการ”
ก่อนหน้านี้หวังซื่อเตะลู่จื่ออวิ๋นอย่างไม่ออมแรง บวกกับร่างกายของเด็กน้อยที่เดิมทีก็บอบบางจนแทบจะไม่มีน้ำหนักอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าได้รับบาดเจ็บมากน้อยเพียงใด
หมอเท้าเปล่าในชนบทโดยปกติแล้วจะตรวจโรคให้กับชาวไร่ชาวนาใกล้ ๆ ละแวกนี้ ถือได้ว่าค่อนข้างมีฝีมือเลยทีเดียว
ระหว่างที่ลู่ฉาวอวี่วิ่งหาหมอเท้าเปล่า มู่ซืออวี่ก็รีบอุ้มลู่จื่ออวิ๋นขึ้นมาแล้วรีบตามไปทันที
ชาวไร่ชาวนาที่กำลังทำงานอยู่ในทุ่งนาเห็นฉากนี้เข้าก็ต่างพากันประณาม
“แม่นางมู่ท่านนี้ทำเกินไปแล้ว ไม่เคยปล่อยเด็ก ๆ เลยจริง ๆ ดูซิว่านางทำร้ายเด็กอย่างไร ใต้ผืนฟ้านี้พื้นที่ใดจะมีแม่เยี่ยงนางอีก!”
“ถึงแม้ว่าลู่อี้จะน่ากลัวขึ้นมากหลังจากถูกทำให้เสียโฉม แต่เขาก็เป็นชายหนุ่มรักสงบ เต็มใจให้นางมีกินมีใช้ล้นมือ แต่นางยังไม่มองสารรูปตัวเองอีก หากมิใช่ว่าลู่อี้ยอมแต่งกับนาง ไม่แน่ว่าตอนนี้นางก็คงยังไม่ได้ออกเรือน!”
มู่ซืออวี่ไม่มีเวลาสนใจคำพูดที่ไม่มีมูลเหตุเหล่านั้น เมื่อมองเห็นบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ใกล้เข้ามาทุกที นางก็รีบก้าวยาว ๆ เดินเข้าไป หลังห่างจากตัวบ้านไม่ไกลแล้วจึงตะโกนขึ้นว่า “ท่านหมอ! ช่วยด้วย! ท่านหมอ!”
ลู่ฉาวอวี่มองมู่ซืออวี่อย่างตะลึงงันจากด้านหลัง
เขายังอายุน้อย ต้องใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อเดินตามให้ทัน ในระหว่างทางจึงหกล้มลงไปบ้าง แต่ก็ลุกขึ้นมาแล้วรีบเดินตามมู่ซืออวี่ต่อไป เด็กชายแค่กลัวว่าผู้หญิงคนนั้นจะทำร้ายน้องสาวของเขา
แต่ว่าเมื่อครู่นี้…
เขามองผิดไปแล้วหรือ… ถึงเห็นว่าในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกระวนกระวายและกังวลใจ
คงกลัวว่าท่านพ่อจะจัดการอย่างไม่ต้องสงสัย ครั้งที่แล้วท่านพ่อขังนางไว้ในห้องทึบปิดสนิท ปล่อยให้หิวไปสองวัน ไม่สนใจแม้แต่คำสาปแช่งไร้ประโยชน์ของนาง จนสุดท้ายนางก็ร้องไห้ฟูมฟาย ท่านพ่อยกโทษให้ถึงจะถูกปล่อยตัวออกมา
ทว่านั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เวลาที่ท่านพ่ออยู่บ้าน นางจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ท่านพ่ออยู่บ้าน อีกทั้งยังปฏิบัติต่อเขาและน้องสาวแย่ลง
อย่างเช่นในครั้งนี้ ท่านพ่อพาท่านอาไปหาหมอ อีกสองสามวันคงยังไม่กลับถึงบ้าน นางจึงไม่ให้พวกเขากินข้าว เขาต้องพาน้องสาวออกไปหาข้าวกินข้างนอก อย่าว่าแต่ผักป่าบนภูเขาเลย ขอแค่สามารถเอาเข้าปากได้ เห็นอะไรเขาก็กินได้หมด ครั้งนี้น้องสาวหิวมาก เมื่อเดินผ่านแปลงผักที่อยู่ในบ้านของหวังซื่อ เขาก็เกินที่จะควบคุมตัวเองแล้ว สุดท้ายจึงเข้าไปถอนออกมากิน
ชายวัยกลางคนที่อยู่บนลานบ้านเห็นมู่ซืออวี่กำลังอุ้มลู่จื่ออวิ๋นเข้ามาพร้อมคราบเลือดที่เปรอะทั่วมุมปาก เขาก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง “นี่เจ้าตีนางรึ!”
มู่ซืออวี่ไม่มีเวลาอธิบายอะไรมากนัก จึงพูดออกไปตามตรงว่า “ไม่ใช่ หวังซื่อเตะนางจนกลายเป็นแบบนี้ ท่านหมอ ท่านรีบดูนางเถิด นางเป็นอย่างไรบ้าง?”
สีหน้าของท่านหมอดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาเปลี่ยนมากำชับกับนางว่า “อุ้มนางเข้าไปข้างในแล้ววางลงบนเตียง”
มู่ซืออวี่เพิ่งจะอุ้มลู่จื่ออวิ๋นมาวางไว้บนเตียง ท่านหมอจูก็ขับไล่นางด้วยความหงุดหงิดใจ “เจ้าออกไป! เหลือไว้เพียงฉาวอวี่ก็พอ”
“ท่านหมอ เขาเป็นเพียงเด็กชายคนหนึ่ง จะทำอะไรได้ ให้ข้าอยู่ช่วยที่นี่เถิด”
ครั้นมู่ซืออวี่พูดคำนี้ออกไป ท่านหมอจูและลู่ฉาวอวี่ต่างก็มองมาที่นางด้วยสายตาประหลาดใจ
สีหน้าของนางแน่นิ่งไม่ไหวติง ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ท่านพ่อของเขากำลังจะกลับมาแล้ว หากเห็นว่านางเป็นเช่นนี้ต้องตำหนิข้าอีกเป็นแน่”
“ไสหัวออกไป!” ท่านหมอจูตะคอก “ที่นี่ไม่ต้องการเจ้า!”
บนโลกนี้มีแม่ที่จิตใจโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ที่ไหนกัน ลูกสาวได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้ นางไม่แม้แต่จะกังวลใจเกี่ยวกับอันตรายหรือความปลอดภัยใด ๆ คิดเพียงแต่ว่าตัวเองจะเดือดร้อนหรือไม่ก็เท่านั้น
ลู่ฉาวอวี่กะพริบตา ก่อนจะมองมารดาด้วยสีหน้าเหน็บแนม
เด็กชายสูญเสียความไร้เดียงสาไปนานแล้ว ดวงตาของเขาคล้ายมีแสงสว่างวาบ ราวกับว่าสามารถมองทะลุทุกสิ่งได้
เขาก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อครู่นี้จึงมีความหวังขึ้นมาชั่วขณะ
ผู้หญิงคนนี้มีคุณธรรมอะไร เขาเห็นมาตั้งแต่จำความได้ เหตุใดจึงยังคาดหวังอยู่ คงจะเป็นเพราะนางอุ้มน้องสาวมาหาหมอหรือ? ถึงรู้สึกว่านางก็ยังมีหัวใจอยู่
น่าตลกสิ้นดี!
นางแค่กังวลว่าจะถูกท่านพ่อลงโทษมากกว่า
ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ท่านแม่ของพวกเขา แต่เป็นเจ้าหนี้ของพวกเขาต่างหาก คลอดพวกเขาออกมาแล้วก็ตามทวงหนี้เท่านั้น
สุดท้ายแล้วมู่ซืออวี่ก็ถูกขับไล่ออกไป แต่นางก็ยังยืนอยู่ด้านนอกประตูพลางฟังเสียงการเคลื่อนไหวภายใน
ท่านหมอจูกำลังพูดอะไรบางอย่างกับลู่ฉาวอวี่ ทั้งสองถามตอบกัน จากนั้นบทสนทนาก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ
“หวังซื่อขึ้นชื่อว่าดุร้ายในหมู่บ้านแห่งนี้ เหตุใดพวกเจ้าจึงไปแหย่นาง?” ท่านหมอจูสงสัย “แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าเป็นเด็กฉลาด รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ ไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่องใส่ตัว ครั้งนี้เหตุใดจึงเกิดเรื่องขึ้นได้?”
“ท่านลุง น้องข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ลู่ฉาวอวี่เลี่ยงที่จะตอบคำถาม
“นางตัวเล็กมาก จะทนแรงผู้หญิงหยาบคายได้อย่างไร ยังดีที่นำตัวมาส่งได้ทันเวลา ได้รับยาบำรุงร่างกายไม่นานก็ไม่เป็นไรแล้ว ช่วงนี้ยังเดินไม่ได้ ทำอาหารดี ๆ ให้นางกินเพื่อบำรุงร่างกายด้วยล่ะ”
“ขอบคุณท่านลุง หากพ่อข้ากลับมาแล้วจะมาจ่ายเงินค่าตรวจรักษาให้ ตอนนี้พวกข้าไม่มีเงิน” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยอย่างขมขื่น
“เรื่องนี้ไม่ต้องเร่งรีบ เจ้าดูแลน้องเจ้าก่อนเถิด ท่านแม่ของเจ้าไม่มีอะไรดี เจ้าดูแลน้องให้ดีล่ะ”
ประตูถูกเปิดออกมาพร้อมกับท่านหมอจูที่เอ่ยกับมู่ซืออวี่ด้วยสีหน้าเย็นชา “ผู้ชายของเจ้าจะกลับมาแล้ว ลูกก็กลายเป็นเช่นนี้ หากเจ้าไม่ดูแลนางดี ๆ ข้าก็จะรอดูว่าผู้ชายของเจ้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร หากไม่อยากถูกเฆี่ยนตีก็กลับไปต้มยาดี ๆ ให้ลูกของเจ้ากินซะ”
มู่ซืออวี่ทำตัวไม่ถูก คนทั้งหมู่บ้านคงรู้ว่านางกลัวสามีไปแล้วกระมัง
ท่านหมอจูหยิบห่อยาสองสามห่อส่งให้ลู่ฉาวอวี่ สอนวิธีการต้มยาเสร็จก็ให้มู่ซืออวี่อุ้มลู่จื่ออวิ๋นกลับไป
“ช้าหน่อย อย่าเพิ่งเลินเล่อ ตอนนี้นางกำลังอ่อนแอมาก เดี๋ยวก็ร่วงกันพอดี” ท่านหมอจูเตือนด้วยความไม่วางใจ
ถึงจะมีสถานะเป็นเพียง ‘ตัวประกอบที่ร้ายกาจ’ ก็เถอะ แต่มู่ซืออวี่ไม่กล้าที่จะโกรธหรือพูดอะไรออกมา นางพาเด็กทั้งสองคนเดินกลับไป
ระหว่างทาง สายตาประหลาดใจของเหล่าชาวบ้านก็มองมาราวกับว่านางเป็นโรคจิตที่ทำร้ายร่างกายเด็กน้อยเสียอย่างนั้น
เดิมทีใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
ตอนนี้นางใช้ชีวิตในฐานะเจ้าของร่างเดิม นางไม่สามารถช่วยเจ้าของร่างเดิมรับโทษได้เสมอไป
มู่ซืออวี่คิดได้เช่นนี้ ขอบตาก็แดงก่ำขึ้นมา ปากก็ตะเบ็งเสียงขึ้นมาดังลั่น “ในเมื่อแม่นางตระกูลหวังเตะน้องของเจ้าจนเป็นเยี่ยงนี้! เรื่องนี้ไม่จบแน่! รอสักประเดี๋ยวข้าจะไปเอาคืนนางถึงบ้าน!”
[1] หมอเท้าเปล่า คือ เกษตรกรที่ได้รับการฝึกการแพทย์และผู้ช่วยแพทย์พื้นฐานขั้นต่ำ ทำงานที่หมู่บ้านชนบทในประเทศจีน